Midterm Fantasy - ตอนที่ 177
“คุณโทนี่ เรื่องนี้หมายความว่ายังไงกัน ทำไมมีอุปกรณ์แบบนี้ในรถของเราได้” หมอเคกระชากคอเสื้อถาม
ชายผิวขาวผมทองที่ชื่อโทนี่พยายามดึงมือของหมอเคออกหากแต่มืออันเกร็งแกร่งคู่นั้นกำคอเสื้อไว้อย่างแน่นหนาเอาไม่ออก หมอเคผลักร่างของชายหนุ่มลงกับพื้นเบื้องล่างแล้วถอยไป สายตาของคนในห้องนั้นต่างจ้องมองมายังโทนี่ด้วยความโกรธเคืองเป็นตาเดียวกัน
ชายผิวคล้ำในชุดพื้นเมืองเดินไปมองที่รถตู้ทำความเย็นที่เปิดประตูท้ายไว้ ที่เบาะประตูถูกกรีดเปิดออก เผยให้เห็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณและชี้เป้าโจมตีทางดาวเทียมที่ซุกซ่อนอยู่
“แบบนี้พวกเราทั้งหมดต้องลำบากแน่ๆ” ชายในชุดพื้นเมืองคนนั้นกล่าว “พวกเราเห็นแก่ที่พวกคุณเข้ามาช่วยเหลือ เลยให้การรับรองแก่พวกนั้นไปแล้วว่าพวกคุณคือคนที่เชื่อถือได้ ถ้าหากวันที่พวกนั้นมาตามนัดแล้วพบว่ามีเครื่องมือพวกนี้อยู่ล่ะก็ พวกคุณและพวกเราที่ให้การรับรองคุณจะต้องถูกจัดการในฐานะสายลับแน่นอน”
หมอเคทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง ขณะที่หยางเทียนเก็บเครื่องตรวจโลหะขนาดพกพาลง มองไปทางผู้นำชุมชนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินทางไปตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆอย่างเรียบร้อยปราศจากปัญหาใดๆ แม้เมื่อมาถึงเมืองนี้ ผู้นำชุมชนก็ติดต่อขุนศึกที่ควบคุมพื้นที่จากนั้นก็เริ่มทำการฉีดวัคซีนและรักษาคน ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งตอนเย็น จู่ๆทหารกบฏของขุนศึกที่คุมพื้นที่ก็เข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วบอกว่าพวกเขาถูกกักบริเวณเนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ
โชคยังดีอยู่บ้างที่ชาวเมืองแห่งนี้ให้ความเชื่อถือพวกเขา ทำให้พวกทหารของขุนศึกไม่กล้าทำอะไรรุนแรง แต่ก็กักบริเวณพวกเขาโดยบอกว่าจะมีคนจากองค์กร ‘เอพริล’ ที่มีความสามารถในการตรวจสอบอุปกรณ์ไฮเทคมาตรวจสอบ
“พวกเราพอจะคุยกับขุนศึกในพื้นที่ได้บ้าง แต่ว่าสำหรับองค์กรเอพริลนี้เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีอิทธิพลเหนือขุนศึกทั้งหลายในภูมิภาคนี้” ผู้นำชุมชนบอก “พวกคุณต้องรีบหาทางจัดการกับอุปกรณ์แปลกๆนี้ให้ได้ก่อนที่พวกมันจะมากัน”
หยางเทียนมองออกไปเบื้องนอก ที่ตึกฝั่งตรงข้ามมีชายชาวจีนสองคนที่จับตามองมาที่นี่อยู่ คนพวกนั้นเฝ้ามองพวกเขามาหลายวันแล้ว
มันเป็นคนของแก๊งเมษาที่ใช้ชื่อในที่นี้ว่าองค์กรเอพริลนั่นเอง
“ไม่ต้องห่วงครับ พี่ใหญ่ของเราสัญญาแล้วว่าจะส่งคนมาช่วย ยังไงพวกเราก็ต้องรอดออกไปให้ได้”
หยางเทียนบอกออกไป แต่ตัวเขาเองก็ยังลังเล
พี่ใหญ่หลิวจะช่วยพวกเขาได้ยังไงกัน
***
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณรอนกับพี่เจนัสเดินทางกันดีๆนะครับ” พิเชฐโบกมือลา
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวพี่พารอนเค้าไปเอง เรื่องเดินทางแค่นี้สบายมาก” เจนัสบอก
“ขอบคุณพิเชฐมากนะครับที่ช่วย ไม่งั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างกับพ่อแม่ยังไง” รอนบอก “แล้วก็ขอให้แข่งขันได้เหรียญทองด้วย”
พิเชฐพยักหน้าให้แล้วก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมทีม ขณะที่เจนัสก็ดึงมือรอนมุ่งหน้าไปที่อีก Gate เพื่อต่อเครื่องบินไปยังจุดหมาย
เมื่อรู้ว่าหมอเค หยางเทียน และคนของบริษัทรุ่งโรจน์ติดอยู่ในวงล้อม รอนก็ตัดสินใจจะหาทางช่วย
แต่การจะเดินทางไปต่างประเทศมันไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องลาโรงเรียน ไหนจะต้องหาเรื่องหลอกพ่อกับแม่อีก
รอนเลยลองค้นดู ว่ามีตารางของนักเรียนที่ไหนที่จะเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่ จนกระทั่งไปเจอกับตารางการเดินทางของนักเรียนม.ต้นในการแข่งขันวิทยาศาสตร์โลกที่อินเดีย
และชื่อกัปตันทีมของประเทศก็คือ พิเชฐ!
รอนใช้เวลาไม่นานในการติดต่อพิเชฐ เล่าความจำเป็นคร่าวๆที่จะต้องเดินทาง และให้พิเชฐช่วยโกหกพ่อกับแม่ของเขาว่ารอนได้รับเลือกให้ไปสังเกตการณ์
สำหรับเรื่องของการขอวีซ่าและพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษนั้น ได้เจนัสเป็นคนจัดการให้ ก่อนที่รอนและเจนัสจะเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกับพิเชฐโดยมีพ่อกับแม่ตามไปบ่นที่สนามบินเรื่องที่รอนลืมได้แม้แต่กิจกรรมสำคัญขนาดนี้
“ว่าแต่ทำไมต้องใช้ชื่อปลอมด้วยล่ะครับ” รอนถาม
“ก็เอกสารนี่มันเป็นเอกสารปลอมทั้งหมดไง” เจนัสบอก “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถึงมันจะปลอมทั้งหมด แต่มันเป็นของปลอมเกรดเอ ข้อมูลปลอมทั้งหมดเจอแฮ็คใส่เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แล้ว”
“แต่ถึงเป็นเอกสารปลอม ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อด้วยล่ะครับ” เด็กหนุ่มถามต่อ เขากังวลว่าถ้าเจอเรียกชื่อปลอมแล้วลืมขานรับหรือตอบช้าจะความแตกเอา
“ก็เผื่อไว้ว่าเราเกิดต้องทำอะไรผิดกฎหมาย จะได้ตามตัวยากหน่อย” เจนัสบอก “อีกอย่างนะ ชื่อของเธอมันไม่เข้ากับสัญชาติ ขืนใช้ชื่อจริงไปคนจะสงสัย”
“ว่าแต่คุณพ่อคุณแม่ถึงตั้งชื่อว่ารอนล่ะ หรือว่าตอนนั้นท่านอ่านเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์” หญิงสาวถามอย่างอยากรู้ “หรือว่าตั้งชื่อตามดาราฝรั่ง”
“เปล่าหรอกครับ พ่อกับแม่ตั้งชื่อผมตามดาราในประเทศครับ”
“ดาราในประเทศ?”
“ครับ คุณรอน บรรจงสร้างครับ”
แล้วรอนก็มองตาเจนัสที่ว่างเปล่าปราศจากปฏิกริยาใดๆ จริงสิ เจนัสถูกแก๊งเมษาเอาไปเลี้ยงตั้งแต่เด็กที่ประเทศ UA คงไม่มีโอกาสได้ดูหนังดูละคร
หลังจากออกลงจากเครื่องบินเที่ยวที่สองหญิงสาวก็พารอนโบกรถแท็กซี่จากนั้นพยายามสื่อสารภาษาอังกฤษแต่ไร้ผล จนรอนต้องเข้าไปคุย
“ไปทางตะวันตก 50 กิโลเมตรที่ชายแดนตะวันตกตามพิกัดนี้ 1000ยูเอสดอลล่าห์ มัดจำล่วงหน้าครึ่งนึง” เด็กหนุ่มพูดภาษาถิ่นอย่างแคล่วคล่อง โบกเงินปึกในมือให้ดู
“อัคฮ่าๆ ขึ้นมาเลย” คนขับรถร้องตอบ รอนและเจนัสขึ้นรถแล้วรอนก็ส่งเงินให้ คนขับนับและเช็คแบงค์ในมือก่อนจะออกรถไป
“รอน เธอพูดภาษาถิ่นที่นี่ได้ด้วยเหรอ”
“ก็พอได้ครับ”
หญิงสาวมองรอนอย่างทึ่งๆ เธอเองพูดได้หลายภาษาก็จริงแต่ก็เป็นการพูดขั้นพื้นฐานสื่อสารทั่วๆไป แต่ที่รอนทำเมื่อกี้คือการพูดแบบสำเนียงจัดเต็มและใช้คำแบบไม่มีติดขัดลังเลสักนิด
รถวิ่งไป3ชั่วโมงกว่าจนในที่สุดก็ถึงชายแดน รอนและเจนัสลงรถที่นั่นแล้วไปเข้าคิวเพื่อข้ามพรมแดน
“ไปไหน” ทหารที่ประจำชายแดนถาม
“จะเดินทางไปปูเนย์ปัวครับ” รอนตอบ
“ปูเนย์ปัว? ไปทำไม?” ทหารคนนั้นถามและส่งสัญญาณให้ทหารใกล้ๆกันเดินเข้ามา รอนเปิดสมุดพกแล้วให้ดูรูปของหมอเคในชุดแพทย์ให้ดู
“ผมเป็นเพื่อนกับหมอคนนี้ เขาติดอยู่ที่เมืองปูเนย์ปัว พวกเราจะไปเจรจากับอีกฝ่ายให้ปล่อยตัวเขาออกมา” รอนตอบ
“เปิดกระเป๋า” ทหารคนนั้นสั่ง รอนและเจนัสเปิดกระเป๋าเดินทางอย่างไม่ลังเล ภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่ ทหาร4นายช่วยกันยกเอาของมากองบนโต๊ะเช็คดูทีละชิ้นๆ ม้วนเวทหลายม้วนถูกเลื่อนไปกองรวมกัน
“คุณพูดภาษาถิ่นได้คล่อง … มาก” ทหารนายนั้นพูดกับรอน หรี่ตามองอย่างสงสัย
“เพราะอย่างนั้นไงครับผมถึงต้องเดินทางมา” รอนตอบยิ้มๆ “แต่เพื่อนร่วมทางของผมพูดไม่ได้เลย”
“ไม่พบอะไรครับ” ทหารที่ค้นรายงาน
“มีอาวุธมาไหม” ทหารที่คุยกับรอนถามต่อ
“มีครับ” รอนตอบ “อยู่ในช่องลับข้างฝากระเป๋าเดินทาง”
ทหารที่ค้นอยู่หน้าเสียนิดนึงหันกลับไปเปิดดูใหม่แล้วก็พยักหน้าว่ามีช่องลับจริงแล้วล้วงมือลงไป ทหารในที่นั้นเลื่อนมือไปที่ปืนข้างกายช้าๆ ตาจับจ้องไปที่รอนและเจนัสที่ยืนยิ้มอยู่ ก่อนที่อาวุธที่ว่าจะถูกยกขึ้นมา
“ไม้ง่ามหนังสติ๊กครับ”
“พรืดดด ฮ่าๆๆ”
ทหารทั้งหมดหัวเราะออกมา ความตึงเครียดหายไป
“ผม ร้อยโทรุสลาน ข่าน ยินดีที่ได้รู้จัก คุณ….” ทหารคนนั้นยื่นมือมา
“สมชายครับ ผมชื่อสมชาย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” รอนยิ้ม “อาวุธที่ว่านี่ผมพกพาข้ามแดนได้ใช่ไหมครับ”
“ไม่มีปัญหาครับ ต้องขอโทษที่ทำให้ยุ่งยาก แต่สถานการณ์ชายแดนไม่ปกติ เราต้องระวังคนที่จะพกพาอาวุธข้ามไปเป็นพิเศษ”ร้อยโทรุสลานบอก “เชิญครับ”
รอนพยักหน้าให้ เก็บของลงกระเป๋าแล้วเดินจูงแขนเจนัสไป
“นายทหารคนนั้นสงสัยพวกเรา”
“ครับ ผมทราบ ตอนที่เขาแนะนำตัวให้ผมแนะนำตัวตอบ เขาเหลือบไปมองชื่อปลอมของผมในพาสปอร์ต”
รอนตอบพร้อมกับมองดูสถานะหน้าจอ
[คุณรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัย]
[คุณรับรู้ได้ว่ากำลังใช้Poker Face ]
ถ้าไม่มีคำเตือนนี้ เมื่อกี้เขาอาจจะหลุดชื่อจริงออกไปให้จับได้แล้ว
รอนเรียกรถแล้วว่าจ้างให้เดินทางต่อ ทั้งคู่ขึ้นรถไปด้วยกัน
“จะว่าไปชั้นว่าจะถามหลายทีแล้ว”หญิงสาวถาม “ทำไมเธอถึงยอมเสี่ยงเพื่อมาช่วยหมอเคด้วย เธอไม่ได้สนิทกับเขามากมายนักไม่ใช่เหรอ”
“เพราะความเชื่อใจของเขาและสัญญาที่ผมให้ไว้มั้งครับ” รอนตอบ
“ก่อนจะเดินทาง หมอเคไว้วางใจผม ให้เบอร์โทรผมไว้กับแฟนของเขา นั่นแปลว่าเขาไว้วางใจผมมาก และเมื่อคุณแพรวโทรมา เธอก็เชื่อมั่นว่าผมจะช่วยได้ จนผมอดไม่ได้ที่จะสัญญากับเธอไป”
“ผมจะไม่ปล่อยให้คนที่เชื่อใจในตัวผมต้องหมดหวังครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มจ้องจับไปที่นัยน์ตาของหญิงสาวจนเธอต้องหลบสายตาด้วยใบหน้าที่แดงกรุ่น เธอหันไปด้านนอกมองไปที่เมืองปูเนย์ปัวที่ใกล้เข้ามา
รอนหันไปมองตามเช่นกัน
กิ๊ง!
[Poker face level up!]
รอนยิ้มกรุ้มกริ่มในใจ
หยางเทียนเป็นสมุนคนสำคัญของหลิวลี่จงที่เขาจะสูญเสียไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องมาช่วยอยู่แล้ว
ส่วนหมอเค…
รอนผุดความคิดนึงขึ้นมาได้ตอนที่หมอเคดูคลิปแล้ววินิจฉัยโรคคอตีบจากโลกโน้นได้
ถ้าขายโทรศัพท์มือถือให้โลกโน้นใช้ถ่ายคลิป จากนั้นเอาคลิปคนป่วยหรือโรคมาให้หมอเควินิจฉัย ร้านARMAMENT ก็จะมีแผนกTelemedicine รักษาทางไกลเพิ่มขึ้นมา
หมอเคกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน หมอเคกำลังจะมีลูกทั้งที่ยังไม่ทันแต่ง ต้องรีบหาสินสอดแน่ๆ ยิ่งเดือดร้อนขนาดนี้ถ้าได้ช่วยชีวิตจะเป็นบุญคุณกันสุดๆ
ถ้าสำเร็จล่ะก็ งานนี้ร้าน ARMAMENT จะได้แรงงานทาสที่ซื่อสัตย์มาเพิ่มคนนึงแน่ๆ 555555555