Midterm Fantasy - ตอนที่ 188
“น่านะ ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อเราเถอะ อย่าโมโหเราเลย” รอนบอกกับแพททันทีที่ข้ามมิติมาที่หมู่บ้านโอลเซ่น
“เราเชื่อที่เธอบอก” แพทตอบ
“งั้นไม่โมโหเราแล้วนะ”
“โมโห”
“อ้าวไหงงั้นล่ะ”
“เราไม่ได้โมโหคิดว่าเธอกับคุณเจนัสจะไปคบอะไรกัน ยังไงเราก็ไม่คิดว่าพวกเธอสองคนจะคบกันอยู่แล้ว” แพทบอก “คุณเจนัสอายุมากกว่าเธอ10ปี จะมาคบกันได้ยังไงจริงไหม”
กิ้ง! เสียงของ System ดังขึ้นในหัวของรอนพร้อมคำพูดบนหน้าจอ
[Don’t be an Idiot]
“ใช่ๆๆ อายุห่างกันตั้งเยอะจะมาคบกันได้ยังไง” รอนตอบทันควัน “แล้วเธอโมโหเราเรื่องอะไร”
(รอด)
“ก็ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่ควรไปนั่งด้วยกันกับเค้าสองต่อสองในที่แบบนั้นแล้วพูดเรื่องอะไรที่ชวนให้เข้าใจผิดแบบนั้น” แพทบอก “เราน่ะไม่ได้โมโหคิดว่าเธอสองคนแอบคบกัน แต่เราโมโหที่เธอวางตัวไม่ดีเข้าใจไหม”
“มันก็จริงนะ ขอโทษด้วยนะแพท คราวหลังเราจะไม่ทำแบบนี้แล้ว”
“ว่าแต่เธอกับคุณเจนัสไปคุยเรื่องอะไรกันบนนั้นกันสองคนล่ะ” แพทถาม
“เรื่องนั้น …. ก็เมื่อวันก่อนที่เธอทำท่างอนเรา เราก็เลยไปปรึกษาคุณเจนัสน่ะสิ” รอนตอบโดยละส่วนที่ไม่ควรจะบอกออกไป ขืนบอกไปว่าเขาคุยกับคุณเจนัสประมาณว่าหากไม่ได้ชอบแพทอยู่ก็คบกับคุณเจนัสได้ มีหวังสถานการณ์แย่แน่ๆ
แพทเงียบไม่ได้ว่าอะไรต่อ รอนเลยถือโอกาสพูดต่อ
“ว่าแต่ที่เธอโมโหเราแบบนี้นี่ เพราะอะไรเอ่ย หึงใช่ไหมล่ะ”
รอนเตรียมแซว นี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะบอกความในใจแบบเป็นทางการ
ที่ผ่านมาถึงจะเคยจูบกัน แต่นั่นมันก็เป็นสถานการณ์คับขันที่แพททำเพื่อช่วยเขา ในความเป็นจริงเขากับแพทยังไม่ได้พูดจาตกลงเป็นแฟนเต็มปากเต็มคำเลย
“อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยเลย นี่เธอไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไมเราถึงไปหาเธอที่โกดัง” แพทตัดบท
“อ๊ะ … จริงสิ แล้วเธอไปทำไมล่ะ” รอนเปลี่ยนเรื่องตามโดยไม่คิดอะไรมาก เนื่องจากแพทมีสีหน้าปกติ
แต่ภายในใจของเด็กสาวมีแต่ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เพราะที่หน้าจอSystemของเธอ มีข้อความขึ้น
[คุณรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังใช้สกิลหน้าตาย Poker Face กับคุณ]
[คุณรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังใช้สกิลหน้าตาย Poker Face กับคุณ]
ข้อความที่ขึ้นมาระหว่างที่รอนกำลังคุยกับเธอ บอกให้รู้ว่ารอนปิดบังอะไรบางอย่างกับเธอเกี่ยวกับสิ่งที่คุยกับคุณเจนัส …ผู้หญิงคนนั้น
ยิ่งเมื่อครู่ที่รอนแซวเธอว่าหึงใช่ไหม ยิ่งทำให้เธอหงุดหงิด
เพราะเท่ากับว่ารอนก็พอจะรู้ว่าเธอรู้สึกกับเขายังไง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะปิดบังกับเธออีก เรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้เธอผิดหวังไปอีกขั้น
“เราไปที่โกดังเพื่อจะไปคุยกับคุณหลิวลี่จง ให้เขาจัดการหาของที่จะส่งมาที่นี่” แพทบอก “เราจะขนสิ่งของมาที่นี่เพื่อเสริมกำลังให้กับทหารที่นี่ในการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์”
แพทชี้ไปที่สิ่งของที่วางอยู่
“นี่เป็นเครื่องพิมพ์สามมิติกับแบตเตอรี่คุณหลิวลี่จงเห็นว่านายสั่งซื้อเครื่องนี้สองรอบแล้วก็เลยสั่งมาเตรียมไว้ เราเลยขนเอามาให้ จะได้พิมพ์กระสุนเวทมนตร์ส่งให้พวกทหาร”
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิแพท แต่แค่เครื่องเดียวเราก็ไม่มีเวลาจะทำแล้วนะ ถ้าเอามาหลายเครื่องแล้วจะทำยังไงล่ะ” รอนแย้ง
“ต่อไปนี้เดี๋ยวเราจัดการเอง มานั่งนี่เลยรอน ดูนี่ซะ” เด็กสาวควักเอาTabletออกมาแล้วเปิดไฟล์เอกสาร
“นี่คือแผนงานที่พวกเราต้องทำ”
รอนนั่งอ่านเอกสารที่แพททำขึ้นแล้วก็อึ้งไป ที่ผ่านมาเขาคิดว่าเขาทำสิ่งต่างๆได้โอเคแล้ว แต่ว่าพอเห็นที่แพทเขียนไว้แล้วรอนก็รู้ว่าที่ผ่านมานั้นเขาใช้ศักยภาพของการข้ามมิติไม่เต็มที่เลย
แพทประเมินไว้ว่าในแต่ละครั้งที่เดินทางข้ามมิติมานั้นจะสามารถขนของชิ้นใหญ่ได้ 2 ชิ้น และหากใส่เสื้อผ้าที่มีกระเป๋าและใช้เข็มขัดที่มีที่บรรจุของก็จะสามารถขนของชิ้นเล็กได้อีกวันละ 16 ชิ้น
ของที่อยู่ในช่วงแรกๆของการขนมาที่โลกนี้ แพทเน้นไปที่การขนแบตเตอรี่ เครื่องพิมพ์สามมิติ และโซล่าเซลล์
“กระสุนเวทมนตร์น่ะ เราไม่ต้องลงมือทำเองก็ได้”แพทบอก “เราก็แค่เอาเครื่องมา สอนให้พวกเด็กๆในหมู่บ้านทำ ถ้าทำแบบนี้พวกเราก็จะมีเวลาไปทำอย่างอื่นแถมยังสร้างกระสุนได้เยอะกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า”
“เด็กๆที่นี่จะทำเป็นเหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ขนาดโรล่าน่ะเธอยังสอนจนใช้เครื่องเป็นเลย ก็แค่สอนวิธีการใช้ให้เด็กประจำเครื่องผลัดเปลี่ยนกันทำงานตลอดวัน เอามาเรียหรือโรล่ามาเป็นคนคุมงานอีกที แค่นี้ก็เรียบร้อย” แพทบอก “ที่นี่ไม่มีพวกสิทธิมนุษยชน ไม่มีสหภาพแรงงาน ใช้งานเด็กๆแค่นี้ไม่น่ามีปัญหาอะไรเธอว่าไหม”
และนั่นคือกำเนิดการใช้แรงงานเด็กทางอุตสาหกรรมขนานใหญ่ครั้งแรกในทวีปซีแลนเดีย
“ที่ผ่านมา พวกเราข้ามมาโลกนี้โดยไม่ได้ขนของของหนักๆ ทำให้เสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่อจากนี้เราสองคนจะต้องขนอาวุธโลหะ ยา เมล็ดพืช อุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ป้องกัน….”
“เดี๋ยวๆๆ แพท อุปกรณ์ก่อสร้างด้วยเหรอ ทำไมไม่ใช้ของโลกนี้ล่ะ”
“เราไม่ได้ให้ขนอุปกรณ์ก่อสร้างทุกชนิดมาเสียหน่อย ก็เลือกเฉพาะของที่โลกของเราดีกว่าสิ พวกตะปู ใบเลื่อย น็อตไขควงสว่าน ส่วนพวกของขนาดใหญ่พวกไม้ปูนนั่นก็ใช้ของโลกนี้ ทำแบบนี้เราจะสามารถเพิ่มคุณภาพงานก่อสร้างของโลกนี้ได้” แพทบอก
“แล้วของตั้งเยอะขนาดนี้จะชนได้ในเดือนนึงตามกำหนดได้ยังไง” รอนเอะใจเมื่อนับแล้วสิ่งของที่ขนมันเยอะกว่าที่จะขนได้ใน30วัน
“พวกเราก็เปลี่ยนการข้ามมิติเป็นเวลาเที่ยงวันและเที่ยงคืนไง เท่านี้ก็ขนได้วันละเท่าตัวของที่เคยทำได้” แพทบอก
“เที่ยงวัน แล้วเราจะขนของได้ยังไงกันเล่า เวลานั้นพวกเรายังอยู่โรงเรียนนะ”รอนแย้ง ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดวิธีนี้ แต่จะให้ขนของลังใหญ่ๆไปโรงเรียนได้ยังไง
แพทยกมือขึ้นมา กระดิกนิ้วให้เห็นแหวนมิติเก็บสิ่งของในมือ
“ก็แค่เก็บของไว้ในแหวนไง ถึงเราจะเอาของใส่แหวนข้ามมาโลกนี้ไม่ได้ แต่ว่าเราก็ขนของไปโรงเรียนแล้วค่อยขนด้วยมือข้ามมาโลกนี้ได้”
เออ จริงแฮะ ที่ผ่านมานึกไม่ถึงเลย รอนคิด
“แต่เรายังไม่ได้สั่งของมาเลย กว่าจะเริ่มตุนของคงอีกหลายวัน น่าเสียดายเวลา” รอนบ่น
“เราจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ วันก่อนเราสั่งคุณหลิวลี่จงให้หาอาวุธ ชุดเกราะและโล่ปราบจลาจล เมล็ดพืช เครื่องพิมพ์ไว้แล้ว คุณหลิวบอกว่าอีกวันสองวันน่าจะได้” แพทบอก “เห็นเธอบอกว่าร้านอาม่ามีของที่ชอบเก็บไว้เป็นเซ็ทพร้อมขนมาโลกนี้ เธอลองไปดูว่ามีอะไรที่พอจะขนมาก่อนได้บ้างสิ”
“โอเค เดี๋ยวกลับไปแล้วเราจะจัดการเอง” รอนยิ้ม “เดี๋ยวเราโทรหาคุณเจนัสให้เตรียมของไว้คืนนี้ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้เอาไปโรงเรียนแต่เช้า”
แพทมองเพื่อนชายแล้วลอบถอนใจเบาๆ พอเผลอนิดนึงเขาก็พูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
พอกลับไปที่โลก รอนโทรหาเจนัสในคืนนั้นเพื่อให้เตรียมของ ในตอนเช้าเด็กหนุ่มก็ไปเอาของก่อนจะไปโรงเรียน
“อารอนมาทำอะไรแต่เช้าเหรออาเจนัส” อาม่าเดินมาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ
“น้องเค้ามาเอาผักแช่แข็งค่ะ เหมาไปหมดตู้เลยไม่รู้เอาไปทำไมแต่เช้า” หญิงสาวตอบ “แล้วอาม่าจะไปไหนคะนั่น”
“ป๊าม๊าของอารอนเค้าสั่งไข่ถาดนึง เดี๋ยวอาม่าจะเอาไปส่ง”
“เดี๋ยวหนูเอาไปให้เองค่ะ” เจนอาสา
“ไม่ต้องหรอก ๆ พวกเธอสามคนต้องไปทำงานนี่ ไปสายมันไม่ดีหรอกอาม่าเอาไปเองรีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะ”
แล้วอาม่าก็ถือถาดไข่เดินไปในซอย หญิงชราเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านรอนไป
“อาม่ามาพอดี เดี๋ยวหนูไปหยิบเงินก่อนนะคะ” แม่ของรอนรับถาดไข่แล้วเดินเข้าไปในครัว อาม่ายืนรอในห้องรับแขก มองไปรอบๆ ยังผนังที่มีภาพครอบครัวของรอนแขวนอยู่ มีทั้งภาพเก่าๆของเหล่ากงเหล่ามา อากงอาม่า และภาพรวมครอบครัว
สายตาอาม่าไปหยุดที่ภาพๆหนึ่ง มีพ่อแม่อุ้มรอนที่เป็นทารกและมีชายหญิงสองคนและเด็กผู้หญิงอายุประมาณ10ขวบยืนอยู่ข้างๆ ใต้ภาพนั้นมีชื่อแซ่ของทุกคนเขียนไว้ด้วยลายมืออย่างเป็นระเบียบ
“นี่ค่ะอาม่า เงินค่าไข่” แม่ของรอนเอาเงินมาให้
“เชงเม้งปีนี้บ้านเธอจะไปกันหรือเปล่า” อาม่าถาม
“ต้องไปสิคะ หนูเตรียมของไว้แล้ว” แม่ของรอนบอกพลางมองไปที่รูปภาพ “ตอนนี้เหลือบ้านนี้บ้านเดียวแล้ว ไม่ไปคงไม่ได้หรอกค่ะ อาม่าก็ไปใช่ไหมคะ”
อาม่าพยักหน้า หลุมศพสามีอาม่าอยู่ข้างๆกันกับหลุมศพของบ้านนี้ เชงเม้งแทบทุกปีพวกเขาก็จะไปพร้อมๆกัน
“น่าเสียดาย ครอบครัวพี่สามีพี่สะใภ้ ถ้ายังอยู่ป่านนี้บ้านนี้คงครึกครื้นกว่านี้ ถ้าตอนนั้นพวกเราห้ามไม่ให้ทั้งครอบครัวสามคนนั้นไปต่างประเทศได้ก็คงไม่เกิดเรื่องเศร้าแบบนี้” แม่ของรอนบอก “ไม่คิดว่านี่จะเป็นรูปครอบครัวรูปสุดท้ายของพวกเรา”
อาม่าจ้องดูรูปอย่างตั้งใจ
“จะว่าไป หลานสาวก็หน้าคล้ายแม่ของเขานะ”
“ใช่ค่ะ จะว่าไปนี่ก็15ปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
อาม่าเดินกลับมาที่ร้านหน้าปากซอย เจน แจน เจนัส สามสาวอยู่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว กำลังเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน
“อาเจนัส มานี่หน่อยสิ” อาม่าเรียก
“มีอะไรเหรอคะอาม่า” หญิงสาวเดินไปหาอาม่า
“อาม่าถามอะไรหน่อยสิ เธอมีชื่อจีนหรือเปล่า” อาม่าถามขึ้น
“แล้วจำได้ไม๊ว่าชื่อแซ่ของเธอน่ะคืออะไร”