Midterm Fantasy - ตอนที่ 254
เมืองแอมโบรเซียยามเช้าตรู่เช่นนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่สดชื่น หากแต่บรรยากาศในเมืองล้วนเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
กำแพงเมืองเต็มไปด้วยทหารที่อยู่เวรยาม ภายในเมืองมีทั้งคนที่อาศัยอยู๋เดิมและผู้อพยพที่เข้ามาพึ่งพิง
แตกต่างจากหมู่บ้านโอลเซ่นที่มีระบบไฟฟ้า ที่นี่ยังไม่มีการวางระบบไฟฟ้ากัน ทำให้เมืองปกคลุมอยู่ในความมืดจากหมอกลึกลับ มีเพียงแสงสว่างจากหุ่นนิชลีนบนรถม้า แสงไฟฟ้าจากสาขาของร้านARMAMENT แสงจากเวทแสงสว่างของนักบวช
แต่ท่ามกลางความมืดมนนั้น ที่ลานกว้างทางใต้ของเมือง เสียงเพลงที่ดังในที่นั้นดึงดูดผู้คนให้มารวมกัน
“ไม่ว่าจะฟังกี่ที เพลงของรัสเซลก็ยังเพราะเสมอ”
“ใช่ ฟังแล้วความรู้สึกหดหู่หายไปจนหมด”
ใบหน้าของชาวเมืองและผู้อพยพที่มาฟังเพลงนั้นเป็นสีหน้าที่มีความหวัง ไม่ว่าแต่ละคนจะมาด้วยความกลัวและรู้สึกไม่มั่นคงเพียงใด แต่เมื่อได้ฟังเพลงนี้ก็รู้สึกดีขึ้น
เสียงลูทที่เล่นอยู่หยุดลง รัสเซลหยุดร้องเพลงของเขาและเตรียมเก็บของ ผู้ที่ฟังอยู่ต่างโยนเหรียญทองแดงให้กับเขากันคนละเล็กละน้อย
“รัสเซลอยู่นี่เอง”
“ทีน่า แม็กซ์”
“ไปซื้ออาหารกันเถอะ”
เด็กทั้งสามคนเดินไปด้วยกันไปยังบริเวณตลาด ซื้ออาหาร ก่อนจะกลับไปที่สาขาของร้านARMAMENT
“อาหารของสัปดาห์นี้ครับ” รัสเซลยื่นตะกร้าอาหารให้ หญิงสามคนที่อยู่ตรงนั้นรับไว้และไปที่บ้านที่อยู่ข้างร้านARMAMENT มีเด็กเล็กอีก6คนนั่งเล่นกันที่พื้นบริเวณนั้น
ถ้าคนจากหมู่บ้านโอลเซ่นมาเห็นทั้งสามครอบครัวก็คงจะจำได้ นี่คือครอบครัวของเดรา แชท จอร์ดี้ สามคนที่ยักยอกเงินจนทำให้สมาชิกหมู่บ้านโอลเซ่นต้องตายจากการขาดอุปกรณ์ป้องกัน
ฉากหน้ารอนขับไล่ทั้งสามครอบครัวออกจากหมู่บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวของคนที่ตายเพราะการยักยอกมาแก้แค้น ได้นักผจญภัยเผ่าสัตว์ช่วยคุ้มกันมาจนถึงแอมโบรเซีย จากนั้นก็ให้มาเช่าบ้านของร้าน ARMAMENT อยู่ก่อนแล้วค่อยคิดขยับขยายอีกครั้ง
ทีน่ากับแม็กซ์เข้าไปหยิบอาวุธจากในบ้านมาฝึก ขณะที่รัสเซลหยิบลูทมาปรับสาย เขาเงยหน้ามองฝั่งตรงข้ามแล้วชะงัก
“ทีน่า แม็กซ์”
“ห๊ะ อะไรเหรอ”
“นั่นมันอะไรล่ะนั่น”
รัสเซลชี้ไปที่รถตู้วัคซีนที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม สภาพรถในตอนนี้ด้านหน้ายับเยินไปหมด ด้านข้างมีรอยอาวุธ รอยไหม้ และธนูปักอยู่เต็ม และเมื่อหันไปมองที่ถนนเห็นคนที่เดินกลับมาทั้งสามคนก็ต้องชะงัก
“คุณรอน!””
ที่หน้าบ้านของทั้งสามครอบครัว รอนนั่งเล่าเรื่องราวให้ฟัง เขาออกเดินทางจากโอลเซ่นตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ หลังจากมาได้ครึ่งทางก็พบว่ากองทัพก็อบลินเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีการประทะกันระหว่างทางหลายครั้ง แม้จะพยายามต่อสู้อย่างระมัดระวัง แต่ว่าด้วยความเร็วที่ใช้ทำให้รอนหยุดรถไม่ทันและชนกับมอนสเตอร์หลายครั้ง บางครั้งรถก็ตกอยู่ในวงล้อมและต้องลงรถไปสู้ก่อนจะเดินทางได้
แม้จะมีหน้าไม้ที่ดี แต่ว่าขับรถอยู่มันยิงไม่ได้ยังไงเล่า!
เมื่อมาถึงแอมโบรเซียในตอนตีห้า รอนจึงรีบไปที่กิลด์นักผจญภัยและทหารรับจ้างเพื่อจะจ้างทีมให้ขึ้นไปบนหลังคาแล้วใช้หน้าไม้ยิงสู้เปิดทาง แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นนักผจญภัยที่บ้าบิ่นแค่ไหนก็ไม่มีสักรายที่กล้ารับงาน
“เรื่องในตอนนั้นผมต้องขอโทษด้วย” รอนบอกกับทั้งสามครอบครัว เดรา แชท และจอร์ดี้ตายไปทำให้ครอบครัวลำบาก แม้ว่าจะมีความผิดจริงแต่รอนก็ถือเป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินให้ตาย
“ไม่หรอกค่ะ เป็นความผิดของจอร์ดี้ ถ้าเขาไม่ยักยอกเงิน เพื่อนบ้านคนรู้จักของเราทั้งหลายก็คงไม่ต้องตาย” ภรรยาของจอร์ดี้ตอบ
“พวกเราต้องขอบคุณท่านรอนมากกว่า วันนั้นที่ท่านไล่พวกเราออกมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เราเจอครอบครัวอื่นๆมาทำร้ายล้างแค้น” ภรรยาของแชทบอก “ทั้งยังให้นักผจญภัยเผ่าสัตว์มาช่วยเราพามาจนถึงที่นี่อีก”
รอนพยักหน้า
“แต่ตอนนี้จะไปที่เมืองหลวงวาเลนเทียเห็นทีจะยากแล้วล่ะค่ะ เมื่อวานนี้ทหารที่มาจากทางนั้นบอกว่าบนถนนมีก็อบลินออกมาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้หน่วยลาดตระเวนต้องหยุดไปทางเส้นทางนั้นแล้ว” ภรรยาของเดราพูดขึ้น “ท่านรอนอยู่ที่นี่ก่อนดีไหมคะ ไว้ทหารเคลียร์เส้นทางได้แล้วค่อยเดินทางต่อ”
“ไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้โอลเซ่นถูกล้อมไว้แล้ว และมีกองทัพมอนสเตอร์โจมตีเมืองกาล่าอยู่” รอนบอก “ผมต้องเดินทางไปวาเลนเทียเพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้พระราชาและพากำลังเสริมไปช่วยโอลเซ่นครับ”
“โอลเซ่นถูกล้อม?” ภรรยาของเดราถาม
“ครับ ตอนที่ผมฝ่าออกมา เห็นกองทัพก็อบลินหลายหมื่นมุ่งหน้าไปทางนั้น” รอนบอก “เดี๋ยวผมคงต้องเดินทางต่อแล้ว พวกคุณดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
รอนขอตัวลา เขาซื้ออาหารเอาขึ้นรถ จัดการตรวจลมยาง กับเอาน้ำมันในถังแกลลอนมาเติมจนเต็ม จากนั้นแวะไปที่จวนเจ้าเมืองก่อนเพื่อกะว่าจะยืมทหาร
แต่ว่าน่าเสียดาย ไม่มีแม้สักคนที่ยอมไปด้วย
ไม่ว่ารอนจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน แต่การฝ่าสายหมอกแห่งความมืดไปในเส้นทางที่มอนสเตอร์มากมายนี้มันเป็นเหมือนการฆ่าตัวตายชัดๆ
“ท่านรอนไม่อยู่รอจนหมอกสงบลงก่อนเหรอครับ” นายทหารประจำประตูเมืองบอก
“ไม่ได้หรอกครับ ถ้ารอนานไปกว่านี้มอนสเตอร์ยิ่งเยอะขึ้นจะไปต่อไม่ได้” รอนบอก “พอเปิดประตูเมืองแล้วผมจะเคลียร์พื้นที่ด้านหน้า ช่วยยิงสนับสนุนผมด้วยนะครับ”
ครืน ๆ ๆ ๆ
ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ ไฟหน้ารถตู้สาดส่องออกไปสลายม่านหมอกสีดำ …
“ก็อบลินเต็มไปหมดเลย!” ทหารร้องออกมา ม่านหมอกที่สลายไปเผยให้เห็นว่าก็อบลินนับร้อยตั้งกำลังรออยู่ในหมอก
“ยิง!”
ธนูถูกยิงลงไปจากกำแพงเมืองขณะที่ก็อบลินก็พุ่งฮือเข้ามา รอนยกโล่กันกระสุน Level IV บุกเข้าไปพร้อมดาบสั้น
ฉัวะ! ก็อบลินตัวขาดกระเด็นไปตัวหนึ่ง ก่อนที่อีกสองตัวจะพุ่งเข้ามา
“ยิงเข้าไป”
“คุณรอนเร็วเข้า”
รอนวิ่งเข้าไปในหมอกหวังสำรวจถนน เขาวิ่งหายเข้าไปแวบเดียวก่อนที่จะลอยปลิวกลับออกมา
ตูม!
“โทรล!”
รอนลุกขึ้นมองดาบในมือที่หักไปแล้ว โยนทิ้งไปแล้วเปิดสกิล
[Rage] นักรบคลั่ง!
เปิดใช้เวทมนตร์ Might! เพิ่มพลัง
[-100]
รอนกระอักเลือดออกมากองหนึ่ง เขาทิ้งโล่ในมือแล้วพุ่งเข้าหาโทรล มอนสเตอร์สูงกว่า 4 เมตรถือกระบองยักษ์พุ่งเข้าใส่ ฟาดหวดอาวุธอย่างไม่ยั้ง
ปึง ปึง ปึง
รอนรัวหมัดเข้าใส่อย่างทันควัน
“ว้ากกกกก โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า”
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ แคร๊ก! ไม้กระบองยักษ์หักสะบั้นลง โทรลทิ้งไม้แล้วรัวหมัดเข้าใส่รอน
[-12] [-23] [-11] ….
“แย่แล้วคุณรอนสู้ได้แค่สูสี”
“นั่น โทรลมาอีกตัว แย่แล้ว ใครก็ได้จัดการที”
รอนมองโทรลอีกตัวแล้วใจหายวาบ โทรลเป็นมอนสเตอร์ที่พลังสูงในระดับที่หากต้องสู้ประชิดแล้วสามารถสู้กับทหารทั้งเซ็นจูเรี่ยนได้ ถ้ามันมาสองตัวแบบนี้คงไม่ไหวแน่
และก่อนที่รอนจะตัดใจหนีกลับเข้าเมืองนั่นเอง เสียงดีดลูทก็ดังมา
ตึด ตึด ตึด ตะตึด ตื้ดๆ ตึดตึดตึด ตึดตึด ตือ ตื้อออออ
ตื่อตือตื้อตือ ตึ้ดๆตื้ดตาตึด ตื้ดๆตื้ดตาตึด ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตือออออ
“เฮ้ย มานาในร่างมันเพิ่มขึ้น”
“พวกเรายิงมันเร็วเข้า อาศัยจังหวะนี้แหละ”
รอนเองก็รับรู้ได้ถึงมานาที่ไหลเข้ามา เป็นครั้งแรกที่เขาซึ่งไม่มีเวทมนตร์รับรู้ได้ถึงกระแสมานาที่ไหลเข้ามาเสริมพลังให้กับเวท Might … หมัดของเขาประเคนต่อยใส่โทรลตัวแรกจนล้มกลิ้งไป
โทรลตัวที่สองเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ พุ่งตรงเข้ามาหวังช่วยเพื่อน และมันก็พบกับลูกพลาสติกสีชมพูสองลูกพุ่งเข้าหน้ามัน
ตูม! ตูม!
รอนกระซวกหมัดทะลวงปากโทรลทะลุฐานกระโหลกแล้วกระชากสมองของมันออกมา จากนั้นมองไปด้านหลัง
ทีน่ากับแม็กซ์ล้วงกระสุนเวทมนตร์ยิงด้วยไม้หนังสติ๊กใส่โทรลตัวนั้น
ไม้หนังสติ๊กเหล็ก อาวุธที่มีเฉพาะชาวหมู่บ้านโอลเซ่น!
รอนกินสมองโทรลในมือ
[+15] [+15] [+15]
ท่านปลดปล่อย [ความกลัวของโทรล] 10 นาที
โทรลที่ชะงักจากแรงระเบิดจ้องมองรอนอย่างหวาดกลัว มันลังเลว่าจะบุกหรือจะหนีดี แล้วรอนก็พุ่งเข้าใส่
“โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า”
แคร๊ก ปึด ปึด ปึด
โทรลร่างใหญ่โตตายลงอีกตัวหนึ่ง ดูเหมือนกระโหลกที่หนาแข็งของโทรลจะหนาเฉพาะด้านนอก ถ้าโจมตีจากภายในปากแล้วก็ไม่เท่าไหร่
รอนหันกลับไปมอง ทีน่าและแม็กซ์ถือไม้หนังสติ๊กอยู่ ขณะที่รัสเซลดีดลูธและร้องเพลงบัฟพลังอยู่ที่รถตู้ ธนูของทหารบนกำแพงร้ายกาจขึ้นเท่าตัวผลักดันฝูงก็อบลินให้ถอยไป
“พวกเธอทั้งสาม…”
“พวกเราจะไปกับคุณรอน”
รอนมองหน้าคนทั้งสาม อยากจะเอ่ยปากถามเหตุผล แต่เมื่อมองนัยน์ตาอันแน่วแน่แล้วเขาก็ไม่ถามอะไรอีก
“เอาล่ะทุกคน นี่หน้าไม้ นั่นกระสุน ขึ้นมาได้”
********
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน หมอกสีดำมืดดูเหมือนจะจางลงเล็กน้อย จวบจนตกเข้าช่วงบ่าย ทุกชีวิตบนทวีปซีแลนเดียก็ได้เห็นว่าหมอกที่มืดมิดจนมองเห็นได้เพียงแค่10เมตร ตอนนี้เริ่มจางลง ระยะการมองไกลขึ้นเรื่อยๆ
ไฟที่จุดไม่ติดมาตลอดสามวัน มาตอนนี้เริ่มจุดได้เห็นเป็นเปลวเล็กๆ
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชาวเมืองวาเลนเทียและทหารที่เฝ้าเมืองอยู่คลายความกังวลไป
“เรียนท่านกิลเลี่ยน เราพบกองทัพออร์คบนถนนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ครับ” ทหารรายงาน
“จำนวนแค่ไหน” หัวหน้าทหารองครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนถาม
“ไม่ทราบครับ พวกมันหลบในพื้นที่หมอก มีไวเวิร์นโจมตีจากท้องฟ้าด้วย หน่วยสอดแนมเลยบอกจำนวนไม่ได้ครับ”
บึม ครืน ๆ ๆ
“ฟ้าร้องเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นมีแสงเลย”
ทหารบนกำแพงเมืองหันไปมอง
บรืนนนน
เสียงบางอย่างลอยมาตามลม
ตึด ตึด ตึด ตะตึด ตื้ดๆ ตึดตึดตึด ตึดตึด ตือ ตื้อออออ
ตื่อตือตื้อตือ ตึ้ดๆตื้ดตาตึด ตื้ดๆตื้ดตาตึด ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตือออออ
“เสียงอะไรกัน”
“เอ๊ะ ทำไมมานาไหลเข้ามาในตัว”
กิลเลี่ยนยกแขนขึ้นดู มานาในอากาศกำลังเข้ามาในร่างของเขาจนผิวหนังเรืองแสงขึ้น
รึว่า!
“กองทหารตั้งแนวรบ เตรียมเปิดประตู ข้างหน้ามีบาธมุ่งมาทางเรา” กิลเลี่ยนตะโกน “มีคนกำลังหนีมาทางนี้”
เสียงเกราะโลหะดังลั่น กองทหารเซ็นจูเรียนที่30และ31 เคลื่อนกำลังไปที่หน้าประตูเมืองที่กำลังเปิด
ใครกันนะที่เสี่ยงมุ่งหน้ามาทางนี้
บึม บึม แกว๊ก!
แสงวาบขึ้นในอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องของไวเวิร์นโหยหวนตกจากท้องฟ้าลงมา
ใครกัน !
ตึด ตึด ตึด ตะตึด ตื้ดๆ ตึดตึดตึด ตึดตึด ตือ ตื้อออออ
ตื่อตือตื้อตือ ตึ้ดๆตื้ดตาตึด ตื้ดๆตื้ดตาตึด ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตือออออ
เสียงเพลงดังมาจากในรถตู้ที่กำลังแล่นด้วยความเร็ว ประตูท้ายรถนั้นหายไปแล้ว รัสเซลนั่งในรถดีดลูธและกล่าวขานลำนำ ทีน่าและแม็กซ์นั่งบนหลังคา ผูกตัวเองไว้กับแท่นยึดสัมภาระหันหน้าไม้ขึ้นฟ้า
“ทีน่ายิงหัวมัน”
“ได้”
เฟี้ยว เฟี้ยว ตูม ตูม
แกว๊กกก ไวเวิร์นที่กำลังโถมลงมาถูกระเบิดใส่หน้าจนเสียหลักหัวปักลงพื้น
“ทางขวา ระวัง!”
โทรลวิ่งเข้าประชิดรถยกกระบองขึ้นเตรียมฟาดลงมา ทีน่าหันกลับไปไม่ทัน
ตูม!
โฮกกกก
โทรลหงายหลังล้มลง รอนลดหน้าไม้ลงจากกระจกข้างที่แตกไปแล้ว ใช้สองมือจับพวงมาลัยต่อ
ปึง ปึง กรึก กรึก กรึก
ร่างของออร์คนับสิบกระเด็นไปคนละทิศละทาง กันชนหน้าหลุดกระเด็นออกไป
ปัง! ยางหน้าแตกออก
“รถจะไม่ไหวแล้ว เตรียมตัวลงรถ” รอนตะโกนบอกทุกคนแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ล้วงเอาม้วนเวทโกเลมอัลปาก้าออกมา “ไปเลย ม้าหญ้าโคลน!”
โกเลมม้าหญ้าโคลน (อัลปาก้า) นับร้อยก่อตัวขึ้นที่พื้นก่อนจะควบพุ่งเข้าใส่กองทัพออร์คที่ไม่ทันตั้งตัว กองทัพที่รวมกำลังกันเป็นระเบียบตอนนี้กระจายออกอย่างสับสนวิ่งไล่ฟันโกเลม
“คุณรอน ออร์คไรเดอร์ตามมาทันแล้ว”
“ทิ้งรถเร็วเข้า”
“ระเบิดนี่ล่ะ”
“หยิบมาเท่าที่หยิบได้ ที่เหลือ Activateให้หมดเลย ใช้ไอ้ลูกใหญ่นั่นด้วย!” รอนร้องสั่ง
ทีน่าและแม็กซ์กระโดดจากหลังคาพร้อมหน้าไม้ทั้งสี่อัน รอนยัดหน้าไม้ลงเป้แล้วหยิบโล่กันกระสุนลงมา
รัสเซลกระตุ้นระเบิดที่เหลือทั้งลังกับเจ้าลูกใหญ่สุดแล้ววิ่งลงจากรถโดยไม่หยุดเล่นลูธ
“ไปเร็วเข้าครับ”
ลูทในมือเปลี่ยนจังหวะ บัฟสีฟ้าเรืองขึ้นที่ร่างของทุกคน รอนมองดูหน้าจอสกิลของตน
[Wind Walk]
“ไปเร็วเข้า มันจะระเบิดแล้ว”
ทั้งสี่คนวิ่งฝ่ากองทัพออร์คไปด้วยความเร็วสูง ชั่วจังหวะนั้นไม่ถึง 5 วินาที ออร์คไรเดอร์กว่า 50 นายตรงเข้าล้อมรถตู้
“ตายซะ” ออร์คตัวนึงลงไปที่รถตู้ มองเข้าไปภายในที่ปราศจากผู้คน
“นั่นอะไร”
มันมองไปที่กลางรถตู้ ลูกกลมๆสีแดงขนาดเท่าลูกแตงโมวางอยู่ลูกหนึ่งกำลังเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ
“5.. 4 .. 3 .. 2 .. 1 ทุกคนหยุดหลบหลังผม” รอนสั่งแล้วหันโล่กลับกระชากสร้อยออกมาขว้างลงพื้น
บรึม!!!!!!
แสงสว่างเจิดจ้าปรากฎขึ้น ลูกไฟสีเหลืองแดงพวยพุ่ง เศษดินหินปลิวทั่วกระจัดกระจาย ฝูงออร์คที่กำลังพุ่งเข้าใส่รอนและพวกเอามือกุมหน้าที่ถูกดินหินพุ่งใส่ ก่อนที่คลื่นความร้อนจะประทะเผาผลาญพวกมันจนล้มลงหมด
รัศมี300เมตรรอบรถตู้ กลายเป็น Ground Zero ที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ยกเว้นแต่รอนและพวกที่อยู่รอบนอกสุดพอดี
ถ้าไม่มีเวทป้องกันระดับ 5 Holy Shield ที่ใช้รับแรงกระแทก กับไม่มีโล่โลหะหนาที่กันคลื่นความร้อนล่ะก็ …
ฉ่าๆๆๆ
โล่ร้อนจนถือไม่ได้ รอนทิ้งโล่ไปแล้วชักดาบออกมา
“ไปเร็วเข้า กำแพงเมืองอยู่นั่นแล้ว”
“ไป ไป ไป”
ทั้งสี่คนวิ่งตรงไปที่ประตูเมืองที่เปิดอยู่ ที่นั่นกองทหารสองกองร้อยกำลังเคลื่อนออกมาหาพวกเขา
และสิ่งที่คั่นกลางอยู่คือโทรลสี่ตัว
ไม่ว่าใช้เวทเพิ่มพลังหรือลูทเพิ่มพลัง รอนก็สู้พร้อมกันสี่ตัวไม่ไหวแน่
“คุณรอนไปเลย”
“พวกเราจะล่อไว้ให้เอง”
“เพื่อโอลเซ่น!”
รัสเซลถือลูธออกไป ปากร้องลำนำขับขาน
ไม่ว่ายังไงจะให้คุณรอนมาหยุดอยู่ที่นี่ไม่ได้
คุณรอนคือความหวังของทุกคน
ตึด ตึด ตึด ตะตึด ตื้ดๆ ตึดตึดตึด ตึดตึด ตือ ตื้อออออ
ตื่อตือตื้อตือ ตึ้ดๆตื้ดตาตึด ตื้ดๆตื้ดตาตึด ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตื่อตือตื้อ ตือออออ
เด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนลงไปปักหลักที่นอกถนน โทรลทั้งสี่เปลี่ยนทิศเข้าหา
รอนลืมตากว้างมองดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้
เสียงเพลงแห่งบาธดังท่ามกลางเสียงคำรามของโทรลทั้งสี่
ฉับพลันนั้นรอนได้ยินเสียงดังจากทางประตูเมือง
“[Time Stop]”
เหมือนภาพตัดไป จู่ๆแสงสว่างก็เจิดจ้าไปหมด
“[Dragon Flame]”
เปลวไฟมังกรสี่สายพุ่งจากท้องฟ้าอัดลงมา โทรลทั้งสี่ถูกไฟเวทมนตร์อัดลงกับพื้น เผาผลาญผิวหนัง ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
เจ้าชายดีโอยืนอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มสาวทั้งสามท่ามกลางเสียงลูท เขาเสยผมที่ปรกดวงตาขึ้นและมองไปยังซากศพโทรลทั้งสี่ตัวและเอ่ยออกมาเบาๆ
“เปล่าประโยชน์”