Midterm Fantasy - ตอนที่ 257
รอนติดตามทหารองครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนนายนั้นไปขึ้นรถม้า ก่อนไปสั่งคุณกลาสเรื่องการจัดการกับโดรนติดมือถือ(เปิ้ล) เขามีโดรนอยู่10กว่าตัวที่ชาร์จไฟเต็ม น่าจะเพียงพอสำหรับภารกิจทำแผนที่ระยะรัศมี5กิโลเมตรรอบเมือง และสั่ง ‘ฮัสเลอร์’ คอมพิวเตอร์ของเขาเครื่องนั้นให้ดูแลความเรียบร้อยให้ดี
ใช่แล้ว ชื่อฮัสเลอร์นั้นเป็นชื่อที่มันเรียกตัวเองขึ้นมา
ทุกคนในที่นั้นไม่มีใครที่เข้าใจแม้สักคนเดียว จะมีก็แต่เจ้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นและรอนแค่สองคนที่เข้าใจ … แต่นั่นเป็นความลับของทั้งสองซึ่งเราจะไม่กล่าวถึงอีก
เด็กหนุ่มนั่งรถม้าไปจนถึงพระราชวังตอน5ทุ่ม เดินขึ้นบันไดสูงชันไปจนถึงห้องโถงและเข้าสู่ท้องพระโรง
ที่นั่นเพรเตอร์ลูเซียสนั่งรออยู่พร้อมกับเหล่าขุนนางและแม่ทัพ
สิ่งที่แปลกตาไปจากการพบกันเมื่อครั้งที่แล้วก็คือ ในตอนนี้ภายในท้องพระโรงมีธงเวกซิลุ่มของกองทัพและเสาซิกนั่มจำนวนมากตั้งอยู่
และเสาที่โดดเด่นที่สุดคือเสายอดอินทรีเหนือธงสีแดง ปักลายช่อมะกอกสีทองและตัวอักษร SPQR
ส่วนเสาที่อยู่ข้างพระราชาลูเซียส คือเสาธงแดงรูปวัว Legio VIIII Hispana สัญลักษณ์แห่งกองพลที่9
รอนดูจากบรรยากาศภายในท้องพระโรงแล้ว ดูเหมือนการพูดคุยจะยังไม่จบลง
“เจ้ามาพอดี ดีโอบอกว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญขนาดที่ต้องฝ่าวงล้อมจากเมืองกาล่ามาที่นี่และจะต้องพูดกับข้าก่อนเที่ยงคืน” พระราชาลูเซียสถาม “ดูท่าทางเจ้าต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนที่จะกลับไปที่โลกฝั่งโน้นสินะ”
“ครับ” รอนตอบ
“พระราชา แต่ว่าพวกเรายังประชุมเรื่องนั้นไม่เสร็จ” นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้น แต่พระราชายกมือโบก
“ตอนนี้เรากำลังประชุมอย่างเป็นทางการ อย่าเรียกข้าว่าพระราชา จงเรียกข้าว่าเพรเตอร์” พระราชาลูเซียสบอก “จักรพรรดิที่แท้จริงมีเพียงจักรพรรดิแห่งโรมเท่านั้น”
“และเรื่องของรอนผู้เป็นนักรบมังกรคนหนึ่ง ต้องทำให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนที่เขาจะข้ามไปยังอีกโลกหนึ่ง เรื่องของพวกเรารอไว้สักครู่ก็ได้” พระราชาบอก
นายทหารทั้งหลายหันมองรอนเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่นายทหารคนหนึ่งจะกล่าวขึ้น
“ท่านรอน ท่านเป็นนักรบมังกร ท่านช่วยชักจูงพระราช …เพรเตอร์ลูเซียสด้วย”
“ใช้ ถ้าเป็นท่านรอนต้องช่วยพูดได้แน่”
รอนมองกลับไปมาอย่างงุนงง พระราชาลูเซียสโบกมืออีกครั้งแล้วอธิบายให้รอนฟัง
“พวกเรากำลังประชุมเรื่องการจัดกำลัง ตอนนี้หมอกแห่งความมืดเริ่มสลายตัวลงแล้ว ข้อมูลจากเมืองใกล้เคียงหลั่งไหลเข้ามา มีกองทัพผสมของมอนสเตอร์กำลังมุ่งหน้าตรงมาที่เมืองหลวงวาเลนเทียแห่งนี้” พระราชาบอก “พวกมันจงใจเดินทัพหลีกเลี่ยงเมืองใหญ่ เดินทัพมุ่งหน้ามาที่วาเลนเทียนี้โดยตรง เห็นได้ชัดว่าต้องการจะบุกโจมตีเมืองหลวง พวกเราจึงตัดสินใจนำกองทัพออกไปสู้”
รอนกำลังงงว่าทำไมต้องยกทัพออกไป เหตุใดไม่อยู่เฝ้าป้องกันเมืองที่มีกำแพงเมืองป้องกัน ท่านกิลเลี่ยนก็พูดขึ้นมา
“จากรายงาน อีกฝ่ายมีมอนสเตอร์ที่บินได้จำนวนมาก ถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับจะเสียเปรียบ” กิลเลี่ยนบอก “ถ้าเรารออยู่ในเมืองแล้วพวกมันใช้ก้อนหินปล่อยลงมาจากท้องฟ้า ความเสียหายของเราจะหนักมากไม่คุ้มกัน”
“กองทัพของเวก้าที่มุ่งหน้ามาทางนี้มีจำนวน 3 แสน และมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากมาย” พระราชาบอก “พวกเราจะยกกำลัง 1 แสน 9 หมื่นไปยันกองทัพของมันที่ริมแม่น้ำออเรเรียส เราจะอาศัยจังหวะที่พวกมันเพิ่งข้ามแม่น้ำมาโจมตีทัพบกของมัน จากนั้นจะใช้กองพันไวเวิร์นและกริฟฟอนในการโจมตีพวกมัน”
รอนฟังแผนแล้วก็ดูเข้าท่า แต่แล้วเขาก็เอะใจ
“1แสน9หมื่น?”
“ใช่ เพราะองครักษ์เพรเตอเรี่ยนทั้ง1หมื่นจะต้องเฝ้าเมืองหลวง” พระราชาบอก “ข้าจะยกทัพของกองพลที่9ออกไป กิลเลี่ยนและองครักษ์เพรเตอเรียนจะเฝ้าเมืองหลวงนี้”
“ท่านได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยเถิด องครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของแอสคาลอน ท่านควรจะให้เพรเตอร์เรี่ยนออกรบและให้กองทหารอื่นเฝ้าเมืองหลวงแทน”
“ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้กองทัพข้าศึกทั้งมีกำลังมากกว่าและมีความพร้อมกว่าทุกกองทัพที่เราเจอมา หากไม่ให้หน่วยเพรเตอร์เรี่ยนออกรบล่ะก็เราคงไม่มีโอกาสแน่”
“พอได้แล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว องครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนจะต้องเฝ้าประตูสู่โรมเพื่อรอคอยคำมั่นสัญญาที่เทพีเวโรน่าให้ไว้ พวกเจ้าอย่าลืมว่าพวกเราคือพลเมืองแห่งโรม จะให้ละทิ้งเส้นทางเดียวที่จะกลับบ้านเกิดของบรรพบุรุษได้อย่างไร” พระราชาบอก “และครั้งนี้ กองทัพที่ยกออกไปมีหน้าที่เป็นตัวล่อเพื่อถ่วงเวลาให้กำลังเสริมจากอาณาจักรคาร์พาเธียและเอมโพเรียเดินทางมาได้ ถ้ามีข้าซึ่งเป็นเพรเตอร์นำทัพออกไป ต้องเป็นตัวล่อที่ดีอย่างแน่นอน”
รอนฟังคำอธิบายต่อจากนั้นอย่างสะท้านใจ ที่แท้ระหว่างที่เขาเดินทางมาที่เมืองหลวงนี้ หมอกก็เริ่มจางลง เครื่องมือสื่อสารเวทมนตร์ระหว่างอาณาจักรเริ่มทำงานแล้ว
ระหว่างที่หมอกแห่งความมืดลงปกคลุม กองทัพก็อบลินได้โจมตีหมู่บ้านต่างๆในอาณาจักรมนุษย์ทั้ง3พร้อมกันจนทั้ง3อาณาจักรไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเวก้าคืออาณาจักรใด
จนกระทั่ง3ชั่วโมงก่อนจึงได้มีรายงานจากป้อมและเมืองต่างๆกลับมาว่ามีการเคลื่อนทัพกองกำลังผสมมอนสเตอร์จำนวนสองกองทัพใหญ่ จำนวน 2 แสนมุ่งหน้าไปทางเมืองกาล่า จำนวน 3 แสนมุ่งหน้ามาทางเมืองหลวงวาเลนเทีย
เป้าหมายของเวก้าก็คืออาณาจักรแอสคาลอน อาณาจักรที่มีกำลังทหารน้อยที่สุดในบรรดาอาณาจักรมนุษย์ทั้ง3
“ตอนนี้ความหวังของอาณาจักรเราอยู่ที่การเปิดประตูมิติให้กองทัพคาร์พาเธียและเอ็มโพเรียยกกำลังมาช่วย” พระราชาบอก “ต่อหน้านักรบมังกรเวก้าที่มีสกิลที่จัดการกับนักรบมังกรแห่งแสงได้ พวกเราทำได้เพียงแต่ล่อดึงดูดความสนใจของมันมาทางนี้ และฝากความหวังเดียวทั้งหมดไว้กับแพท ที่มีศิลานักปราชญ์แห่งความมืดเหมือนกับเวก้าเท่านั้น”
“ท่านลูเซียส แพทไม่ใช่ความหวังเดียวของเราครับ”
“หืม ยังมีทางอื่นอีกหรือ?”
ทุกคนหันมองอย่างสนใจ ยังมีความหวังอื่นอีกหรือ?
“นักรบมังกรเท็นสไควร์ครับ”
ปึง!
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
โต๊ะแตกเปรื่อง กำปั้นของพระราชาที่ทุบลงไปยกขึ้นกำหมัดอย่างโมโห
“ถึงแม้ว่าเจ้านั่นจะไม่ถูกกับเวก้า แต่ว่ามันก็คือนักรบมังกรแห่งความมืด มันไม่มีทางช่วยพวกเราแน่” พระราชาลูเซียสพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็นึกได้ “จริงสิ เจ้าใช้ศิลานักปราชญ์ของท่านอารย่า แสดงว่าท่านมาจาก“โลกนั้น” หรือว่าท่านได้เจอกับเท็นสไควร์ที่โลกฝั่งโน้นแล้ว”
“ท่านรอนอย่าไปหลงเชื่อคำพูดของมันเด็ดขาด เจ้านั่นมันเป็นคนหลอกลวงและชั่วร้าย”
“ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ตอนนี้ท่านอารย่าคงยังมีชีวิตอยู่”
ดูบรรยากาศในแล้วนักปราชญ์คนหนึ่งก็ลุกขึ้น
“ทุกคนสงบใจไว้ อย่าลืมสิว่าเรามีกรงเทพสังหารอยู่ ต่อให้ท่านรอนถูกหลอกและเจ้าหมอนั่นกลับมาจริง มันก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเราในทันทีที่กลับมา”
“โอ้ จริงด้วย”
“ข้าลืมไปจริงๆ”
เสียงทั้งหมดสงบลงในทันที
“กรงเทพสังหาร? มันคืออะไรครับ” รอนถาม
“มันคือกรงค่ายกลเวทมนตร์ที่สามารถกักขังสิ่งมีชีวิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนักรบมังกร , มังกรดำ หรือต่อให้เป็นมังกรบรรพกาล ถ้าเข้ามาในกรงก็จะถูกโจมตีในทันที” นักปราชญ์ชราตอบ “นั่นไง กรงอยู่ตรงนั้น”
รอนมองไปตามจุดที่ชี้ เป็นกรงที่ห้อยอยู่กลางอากาศเหนือท้องพระโรง และที่ชั้นสองของท้องพระโรงนั้นก็มีบัลลิสต้านับสิบที่เล็งไปที่กรง
และที่พื้นกรงนั้นเอง มี Rally Point ของศิลานักปราชญ์วางอยู่!
“โอ้ ของแบบนี้ แต่กรงแบบนี้มันถูกทำลายได้นี่ครับ ตั้งไว้แบบนี้ไม่เสี่ยงไปเหรอครับ” รอนถามอย่างสนใจ
“ฮ่าๆๆ ต่อให้เท็นสไควร์กลับมา มันก็ต้องติดในกรง และกรงนี้ได้รับพลังงานจากถังพลังเวทสีเขียวที่อยู่หลังบัลลังค์ของข้า ถ้าเจ้าเท็นสไควร์กลับมามันก็ต้องติดอยู่ในกรงและถูกยิงพรุนเป็นเม่นอย่างแน่นอน …. อ๊ะ!”
“[Rage]”
“[Might] [Swift]”
-150
-50
รอนกระอักเลือดออกมากองหนึ่ง แลกกับการร่ายเวทเพิ่มพลังและเวทเพิ่มความเร็ว แล้วร่างของเด็กหนุ่มก็พุ่งไปที่บัลลังก์ทันที
กิลเลี่ยนชักดาบออกมา พุ่งตรงสุดแรงหวังชนเด็กหนุ่มให้เปลี่ยนทิศทาง
“หยุดเดี๋ยวนี้”
“ครับ” รอนตกใจหยุดตามคำสั่ง …. หัวหน้าองครักษ์ที่กำลังโถมเข้าใส่เบิกตากว้าง ก่อนจะพุ่งผ่านหน้ารอนไป ชนเข้ากับกำแพง
ใครจะคิดว่ารอนจะหยุดจริงๆ
รอนชะงักเพียงครู่เดียวแล้วพุ่งตัวต่อไป ที่ข้างบัลลังก์มีหญิงรับใช้สองคน ทั้งคู่หยิบดาบสั้นออกมา
“[Wind Slash]”
“[Stone Spike]”
ดาบสายลมนับสิบพุ่งเข้าหา และพื้นหินท้องพระโรงก่อตัวเป็นหอกแหลมคมจากพื้น
“[สตรีศึกษา]”
เด็กหนุ่มกระตุ้นสกิลของตน ทิศทางการโจมตีของหญิงสาวทั้งสองล้วนแต่ตกอยู่ในสายตาของรอนทั้งสิ้น เด็กหนุ่มก้าวเท้าหลบการโจมตีทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เข้าประชิดหญิงสาวแล้วก็ต่อยเข้าที่ท้องของทั้งคู่จนล้มตัวงอ
“อย่าาาาาา”
หมัดของรอนไม่สนใจเสียงห้าม ต่อยเข้าที่ถังพลังเวทหลังบัลลังก์อย่างจัง
ตูม
ถังกระเด็นลอยออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะแตกระเบิดออกในความมืดยามเที่ยงคืน และขณะที่ทุกคนมองตามแสงจากแรงระเบิดนั้นรอนก็กระโดดลอยไปในอากาศ หมัดของเขาคว้าเข้าไปในลูกกรง
เปรี๊ยะ ๆ ๆ ๆ ๆ
พลังของกรงเทพสังหารต่อต้านแขนของรอนที่พุ่งผ่านลูกกรงเข้าไป พลังเวทโจมตีเข้าที่แขนของเด็กหนุ่มจนเนื้อหนังแตกเลือดชำแรกพุ่งเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด แล้วเขาก็ดึงแขนโชกเลือดของตนออกมา
Rally Point ของเท็นสไควร์อยู่ในมือของเขาแล้ว รอนทิ้งร่างลงจากเพดาน
ตุบ!
“เจ้าทำอะไรลงไป” พระราชาลูเซียสร้องขึ้น “[Dragon Flame]”
เปลวไฟรูปมังกรปรากฎขึ้นที่มือของราชา เป้าหมายคือรอนที่ยืนอยู่ที่พื้น
5 .. 4 .. 3 ..
“คืนสิ่งนั้นมาเดี๋ยวนี้” พระราชาร้องอย่างโกรธจัด มังกรเพลิงพุ่งออกจากมือเข้าหาเด็กหนุ่ม “โจมตี!”
2 .. 1 .. วาร์ป!
รอนหายวับไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน … เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ตอนนี้รอบตัวของเขาสว่างยามเที่ยง เขากลับมาที่โลก อยู่ที่บ้านของแพทแล้ว
กิ๊ง!
[เควสพิเศษ]
[เพรเตอร์แห่งแอสคาลอนยังยึดติดกับคำสัญญาของเทพีเวโรน่าที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษว่าสักวันจะนำพาทุกคนกลับสู่โรม โดยที่เขาไม่ทราบว่าโรมได้ล่มสลายไปแล้ว , จงทำให้เพรเตอร์แห่งแอสคาลอนรู้ความจริงเรื่องนี้ เพื่อจะได้ไม่ยึดติดกับอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมา]
รอนจ้องมองตัวหนังสือที่ขึ้นบนหน้าจออย่างงงงวย เกิดอะไรขึ้นกัน ที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรแบบนี้นี่นา
“เป็นยังไงบ้าง เจ้าลูเซียสยอมรับปากให้พ่อไปทางโน้นไหม” วิทวัสถาม
“ท่าทางจะไม่ครับ” รอนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้วิทวัสและอารยาฟัง
“เจ้านั่นมันยังยึดติดกับเรื่องในตำนาน มันไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าโรมที่เทพีเวโรน่าสัญญาไว้น่ะล่มสลายไปเป็นพันปีแล้ว” วิทวัสส่ายหน้า “ช่างเถอะ ถ้ามันงี่เง่ายึดติดกับเรื่องที่ว่าจนไม่ยอมนำทหารที่ฝีมือสูงสุดออกรบ ก็ให้มันล่มสลายไปทั้งอาณาจักรนั่นแหละ”
“คุณคะ” อารยาแตะไหล่
“โอเค โอเค ผมจะคุยกับเจ้าหมอนั่นให้ก็ได้ แต่มันจะยอมฟังผมหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ” วิทวัสตอบภรรยา “ยังไงหน้าที่หลักของผมคือช่วยลูก ถ้าเจ้าพวกโง่นั่นไม่ฟังผมก็ช่วยไม่ได้”
วิทวัสเดินไปที่กำแพง กดปุ่มลงไป ผนังเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นชุดและอาวุธอุปกรณ์มากมาย
“ฟังจากที่รอนเล่า ดูเหมือนว่าตอนที่ไปโลกโน้นพวกเราคงไม่ได้รับการต้อนรับ คงต้องเตรียมลุยกันให้แหลกไปข้าง” วิทวัสหยิบสูทออกมา “คงเอาของไปได้ไม่มาก ยังไงหลังจากนี้ชั้นคงกลับมาไม่ได้อีกนาน ของที่เหลือคงต้องฝากรอนขนไป”
รอนมองดูวิทวัสที่หยิบอาวุธขึ้นส่องแล้วก็ไม่สบายใจเท่าไหร่ เขาไม่ได้อยากให้พ่อของแพทกับพระราชาแห่งแอสคาลอนเป็นศัตรูกัน
แต่ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเข้ากันไม่ได้สุดๆ
ดูเหมือนทางฝั่งนั้นไม่ว่าพระราชาและบรรดาขุนนางแม่ทัพนายกองล้วนแล้วแต่โกรธแค้นเพราะคิดว่าเท็นสไควร์ฆ่านักรบมังกรอารย่า
เมื่อกี้เขาก็ไม่ทันมีจังหวะอธิบายด้วยว่าจริงๆแล้วนักรบมังกรอารย่าน่ะแสดงละครแกล้งตายแล้วหนีตามนักรบมังกรเท็นสไควร์มาต่างหาก
จริงสิ!
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขอยืมของบางอย่างหน่อยนะครับ แล้วก็คุณแม่ช่วยทำอะไรให้ผมหน่อย”
******
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว รอนเตรียมโล่กันกระสุนอันใหญ่และเช็คข้อมูลที่โหลดมาในโทรศัพท์มือถือ ส่วนวิทวัสอยู่ในชุดสูทตัวเก่งโดยมีอารยากำลังตรวจความเรียบร้อยให้
“คุณดูแลตัวเองดีๆนะคะ” อารยาบอก “อย่าหายไปนานนักนะคะ ฉันอยู่ทางนี้คนเดียวตรงนี้เหงานะ”
“คุณก็ว่าไป ปีๆนึงคุณไปทำงานต่างประเทศ จะกลับบ้านก็แค่สัปดาห์เดียว” วิทวัสเอามือลูบหัวภรรยา “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะจัดการเจ้าเวก้าให้ได้”
“เอาล่ะรอน ไปกัน” วิทวัสหยิบลูกแก้วสีดำสนิทขึ้นมา หลับตา
ลูกแก้วสีดำในมือค่อยเรืองแสงสีดำมืดขึ้น แล้วค่อยๆหลอมรวมเข้ากับร่างของวิทวัส
5 .. 4 .. 3 .. 2 .. 1 วาร์ป!
“[Dragon Flame] โจมตี!”
ตูม!!!
เปลวไฟรูปมังกร4ตัวพุ่งชนโล่กันกระสุนของรอน เด็กหนุ่มยันไว้เต็มกำลัง เปลวไฟมังกรทั้งสี่ตัวหันหัวกลับ ก่อนจะวนอ้อมโล่ รัดตัวเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วยกขึ้น
“คืนศิลานักปราชญ์มา!” พระราชาร้อง
“คือว่า…” รอนร้อง
“ไม่คืนสินะ จัดการเลย!”
“เดี๋ยววว…”
ตูม ๆ ๆ ๆ
มังกรเพลิงพุ่งลงพื้นดึงร่างรอนที่ลุกไหม้ตามลงไปด้วย พื้นศิลาของท้องพระโรงแตกกระจาย เกราะปราบจลาจลของรอนที่รับแรงกระแทกไว้ฉีกขาดไปหลายจุด
“คืนมาเดี๋ยวนี้….” พระราชาค้างเสียงไว้เพียงเท่านั้น เพราะที่ด้านหลังของรอน ร่างในชุดสูทสีดำปรากฎขึ้นอย่างฉับพลัน
แม้จะผ่านไปหลายสิบปี แต่โครงหน้านี้ไม่ผิดแน่
“ท ท เท็นสไควร์!” พระราชาร้องออกมา “[Dragon Flame]!”
มังกรเพลิงสี่สายปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง วิทวัสยิ้มที่มุมปากและพูดขึ้น
“<System> คืนกลับ Bonus Stat ทั้งหมด”
“[รับทราบ] ทำการ [คืนกลับ Bonus Stat] เข้าสู่สภาพเดิม” เสียงดังขึ้นในหัวของวิทวัส “และ … ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง”
“ได้ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง” วิทวัสพูดและยกมือขึ้น “[Void Shield]”
ตูม ๆ ๆ ๆ
มังกรเพลิงที่ร้ายกาจเมื่อครู่กระแทกเข้ากับโล่สีดำนิลที่ปรากฎขึ้น เปลวเพลิงแตกกระจายและหมุนไปตั้งหลัก พระราชาแห่งแอสคาลอนชักดาบออกมา เอ่ยปากร่ายเวทออกมา มังกรเพลิงทั้งสี่รวมกันเป็นสายเดียว
“[Dragon Stream]”
วิทวัสมองอย่างไม่รู้สึกอะไร ร่ายเวทของตนออกมา
“[Power…….”
มังกรเพลิงพุ่งเข้าหาวิทวัส
“…..Overwhelming]”
ก๊าซซซซ
เสียงแห่งมังกรเพลิงดังขึ้นอย่างเจ็บปวดจนรอนที่นอนหมอบอยู่เงยหน้าขึ้นมอง มังกรเพลิงตัวนั้นดิ้นรนไปมาโดยมีมือของวิทวัสบีบลำคอของมันเอาไว้
“สลายไปซะ” วิทวัสพูดขึ้นก่อนจะบีบมืออย่างแรง
ซ่า
เวทมังกรไฟขั้นสูงสุดของแอสคาลอน ถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนั้นเอง