Midterm Fantasy - ตอนที่ 27
“เข้ามา!” ……… “ย้ากกก”
แป้ก แป้ก แป้ก แป้ก … เสียงดาบไม้กระแทกโล่เล็กอย่างต่อเนื่อง รอนและพอลพลัดกันรุกผลัดกันรับไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้ใคร
[Shield Bash]
รอนใช้โล่ในมือซ้ายผลักดันดาบของพอลออกไป … พริบตาเดียวปลายดาบไม้ก็ไปพาดที่คอทางด้านหลัง
“หยุดได้ พอลเป็นฝ่ายชนะ” เบรเซอร์ร้องขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนรอนเองยังตามไม่ทัน เพราะในจังหวะที่เขาพุ่งแล้วใช้Shield Bash ปัดดาบออก พอลกลับหมุนตัวแล้วใช้ดาบกลับมาพาดที่หลังคอของรอนได้
“คุณรอน … ก็อย่างที่ข้าบอก สกิลที่ท่านใช้มันเป็นสกิลสำหรับโล่ขนาดกลาง ไม่ควรเอามาใช้กับโล่เล็ก … และถ้าหากท่านพุ่งเข้าไปแล้วใช้โล่ปัดดาบคู่ต่อสู้ไปแล้ว ท่านจะต้องใช้ดาบฟันหรือแทงต่อทันทีห้ามหยุดยืนนิ่งให้คู่ต่อสู้โต้กลับได้แบบนั้น”
รอนเกาหัวแกรกๆ หลังจากใช้มาหลายครั้งจนติดเป็นนิสัย เขาเลยเผลอใช้ไปในการต่อสู้ติดพัน … แถมเจ้าShield Bashที่เห็นในเกมเกือบทุกเกมก็เป็นการเหวี่ยงแขนเอาโล่ฟาดเฉยๆ ไม่เห็นมีการตามซ้ำเลย
ส่วนเบรเซอร์เดินไปหาพอล ยกไม้เท้าขึ้นแล้วตีลงไปที่หัวเบาๆ
“แล้วเจ้าพอล ใครสั่งใครสอนให้หมุนตัวไปฟัน ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้หยุดยืนเฉยๆแบบคุณรอน ป่านนี้เจออีกฝ่ายรุกเข้ามาแทงข้างหลังไปแล้ว”
“ผู้ใหญ่บ้าน… ข้ารู้แล้วน่า ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ข้าจะไปชนะคุณรอนได้ยังไง ท่านอย่าลืมสิว่าข้าหัดใช้ดาบได้แค่ปีเดียวเท่านั้น จะไปสู้คุณรอนได้ยังไงกัน”
เบรเซอร์และรอนต่างมองหน้ากัน นี่ถ้าหากเขารู้ว่าจริงๆรอนเพิ่งหัดใช้ดาบได้ครึ่งวันมีหวังเลิกฝึกดาบไปเลยแน่ๆ
“มีฝูงบราวนี่10กว่าตัวมากินซากก็อบลิน” เสียงคนตะโกนมาจากทางเข้าหมู่บ้าน พอลโบกมือตอบ
“เดี๋ยวผมขอพาคนออกไปจัดการนะครับ” พอลบอกกับเบรเซอร์ ผู้เฒ่าพยักหน้า พอลพาคนไป10คน แต่ละคนในตอนนี้ถือหอก เหน็บไม้ง่ามหนังสติ๊ก และมีดทองแดงไม่ก็ดาบไม้ไว้ที่เอว
คน10คนค่อยๆเดินออกไปตามการนำของชายหนุ่ม
รอนกับเบรเซอร์มองกลุ่มคนทั้งหมดเดินไปจนลับสายตา
“พอลเขาเป็นลูกของสมิธ … หัวหน้ากลุ่มป้องกันหมู่บ้าน … ข้าเป็นคนสอนการใช้ดาบให้สมิธตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเหมือนกับพอลนี่แหละ”
รอนพยักหน้าตาม … ในหมู่บ้านสมัยก่อนนั้นจะให้ชาวบ้านที่ทำการเกษตรมาจัดเวรยามป้องกันหมู่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องสะดวก ดังนั้นจะมีบางคนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านอย่างเดียวโดยไม่ต้องออกไปทำไร่นา
“ถ้าสมิธไม่ตายไปในการบุกของก็อบลินครั้งที่แล้ว เขาน่าจะเป็นคู่มือให้เจ้าได้ดีกว่านี้แน่…. พอลเองก็ยังอายุน้อยไม่มีประสบการณ์และชอบทำอะไรไม่จริงจังเป็นเรื่องเล่นๆไปหมด”
รอนมองหน้าตาที่ไร้ซึ่งความกระจ่างใสเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาตรงหน้า
“คุณเบรเซอร์ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะช่วยเป็นกำลังให้หมู่บ้านนี้เอง คุณเบรเซอร์วางใจได้”
“แล้วคุณรอนจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน”
“ผมก็ยังไม่รู้เลย …. แต่ว่าผมคิดว่าผมไม่อยากจะไปอยู่ที่อื่นที่ไหนนอกจากที่นี่อีก”
เด็กหนุ่มตอบ … ยังไงก็ตามจุดมุ่งหมายสูงสุดของเขาในตอนนี้ก็คือการหาที่อ่านหนังสือสอบ …หมู่บ้านที่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะสงบสุขย่อมเป็นที่ที่เหมาะสมต่อการอ่านหนังสืออย่างมาก
“อ้อ คุณเบรเซอร์ครับ ผมมีของจะมอบให้แจกจ่ายทุกคน” เด็กหนุ่มบอก … เขาดึงมือชายชรากลับไปที่บ้าน
“นี่คือ ….?” เบรเซอร์หยิบจับกระป๋องโลหะในมือขึ้นดู
“ปลาครับ …ปลากระป๋อง ” เด็กหนุ่มดึงห่วงเหล็กเปิดฝาขึ้นให้ดู เผยให้เห็นเนื้อปลาสีขาวที่แช่น้ำมันพืชภายใน”
ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านรับกระป๋องที่เปิดแล้วไปดู เขาหยิบขึ้นชิมดู
“เราสามารถเก็บอาหารกระป๋องนี้ได้นาน …ตอนนี้ผมเห็นพวกเราหาอาหารได้บ้างแล้ว แต่ว่าผมคิดว่าเราน่าจะมีอาหารไว้สำรองยามฉุกเฉินบ้าง”
….
จากนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบแผงพลาสติกอีกอันมา มีห่อกระดาษสีซีดๆรูปผักอยู่หลายอัน
” แล้วนี่คือ”
“เมล็ดพันธุ์ผักครับ”
เบรเซอร์หยิบเมล็ดผักหลากหลายชนิดที่อยู่ในซองขึ้นมา มันบรรจุห่อในภาษาที่เขาไม่รู้จัก
“ผมไม่รู้ว่าที่นี่จะปลูกอะไรได้บ้าง แต่ว่าถ้าเราเริ่มปลูกตั้งแต่ตอนนี้ ในอีกสองสามเดือนเราน่าจะเริ่มเก็บผลผลิตได้ครับ” รอนบอก ” ผมลองแยกประเภทไว้ให้แล้ว กลุ่มนี้คือพวกที่ปลูกกินใบ , กลุ่มนี้คือปลูกกินหัวใต้ดิน , และอีกกลุ่มคือพวกที่ให้ผลและเมล็ด
ตอนแรกรอนว่าจะหาซื้อเมล็ดพันธุ์จากร้านขายเมล็ดพันธุ์ แต่ว่าไม่มีร้านแบบนั้นใกล้ๆ บ้านของเขา เมื่อวานเขาเลยแวะที่ร้านขายของชำของอาม่าหน้าปากซอย … เขาจำได้ว่าอาม่าแขวนถุงซองเมล็ดพันธุ์ผักไว้ที่หน้าร้านและขายไม่ค่อยออก ….ก็อย่างว่า บ้านของเขาตั้งอยู่กลางเมือง ในยุคที่พื้นที่เมืองมีที่เพาะปลูกน้อยลง ใครจะซื้อผักไปปลูกกัน
ถุงซองเมล็ดผักของร้านอาม่าจึงล้วนแต่สีซีดจางจากการเจอแดดเลีย
แต่นั่นก็ทำให้รอนมั่นใจว่าถุงเหล่านี้ไม่ได้รับการเคลื่อนย้ายไปไหนตลอดช่วง 1-2เดือนนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาในการวาร์ปข้ามมิติ
“ได้ …เดี๋ยวจะให้มาเรียจัดการนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ถ้าหากทุกคนหายป่วยดีแล้วพวกเราจะได้เริ่มกลับไปเพาะปลูกกันเสียที “
เบรเซอร์รับไว้อย่างยินดี … ช่วงก่อนหน้านี้หมู่บ้านตกในภาวะขาดแคลนอาหาร จนเมล็ดพันธุ์ที่ควรเอาไปเพาะปลูกก็ถูกนำไปกินจนหมดแล้ว … เขากำลังคิดถึงว่าจะหาอาหารจากที่ไหนนอกจากการหาผลไม้ ขุดรากหน่อมันต้นไม้ หรือจับสัตว์จับปลา … ก็พอดีที่เด็กหนุ่มคนนี้นำเมล็ดพันธุ์มาให้
“ว่าแต่ก่อนหน้านี้ที่นี่ปลูกอะไรครับ” รอนถาม
“ไร่ของเราเป็นไร่ข้าวบาร์เล่ย์และข้าวโอ๊ต” เบรเซอร์ตอบ “ถ้าช่วงเร่งด่วนแบบนี้หรือขาดน้ำเราจะปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็วเช่นพวกแรดิชหรือข้าวฟ่างเบา …แต่ว่าตอนนี้เราไม่เหลือเมล็ดพันธุ์แล้ว”
“ข้าวฟ่าง …..” รอนลองเปิดดูในมือถือก่อนจะนึกได้ว่าไม่มีสัญญาณ .. “อืม เดี๋ยวผมจะลองหาดูครับว่าจะหาได้หรือเปล่า”
ช่วงเย็น รอนไปที่โบสถ์ ตอนนี้คนป่วยที่ต้องนอนพักมีเหลือแค่สองคน นักบวชรอคโค่ยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างยินดี หลายวันมานี้งานของเขาเบาและผ่อนคลายลงมาก
“คุณรอนมาที่นี่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า” นักบวชถาม
“ผมอยากจะถามเรื่องเกี่ยวกับศาสนาของที่นี่ครับ ….. ขอบอกตามตรงว่าผมไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เลยไม่รู้ว่ามีอะไรที่ผมห้ามหรือควรระมัดระวังไหม”
นักบวชรอคโค่ยิ้มให้และค่อยๆเล่าเรื่องศาสนา ความเชื่อ และเรื่องทั่วๆไปให้ฟัง … เขาพอจะเดาได้จากเครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มว่าไม่ใช่คนในอาณาจักรใกล้ๆนี้เป็นแน่ รอนฟังอย่างตั้งใจจนเวลาล่วงเลยไป พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้ายามสายัณห์
“คุณรอนคะ … ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ” โรล่าเข้ามาตามในโบสถ์อย่างเงียบๆ รอนขอบคุณนักบวชรอคโค่ที่เล่าเรื่องราวให้ฟังก่อนจะเดินตามออกไป
โรล่าเดินนำไปช้าๆ ผมยาวประบ่าสีทองปลิวไปตามแรงลมปราศจากกลิ่นแชมพูหรือเครื่องหอมใดๆ ร่างบอบบางขาวสะท้อนแสงสีส้มยามเย็น ดูงดงามเหมือนรูปปั้นเทพธิดากรีกโบราณ เด็กหนุ่มจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาแล้วเดินตามไปข้างๆ
” ฉันเห็นเมล็ดพันธุ์ที่คุณรอนให้กับคุณตาแล้ว …. ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ” เธอก้มศีรษะให้เล็กน้อย ” ถ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะปลูก เราก็จะต้องเดินทางเข้าไปที่ตัวเมืองหรือหมู่บ้านอื่นเพื่อซื้อและเดินทางกลับ ….. ในช่วงเวลาที่มอนสเตอร์อาละวาดแบบนี้คงเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยแน่ๆ”
” ถ้ายังไงขอให้คุณรอนอยู่ช่วยพวกเราให้ตลอดรอดฝั่งด้วยนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าที่เศร้า ที่ขอบตาเหมือนปริ่มๆน้ำตาจะไหลออกมา
รอนนึกได้ถึงวันแรกที่เขาพบกับเธอคนนี้ วันนั้นเธอต้องเสียคนในครอบครัวไปคนนึง และคนในหมู่บ้านที่ตายไป3คนจากฝูงของบราวนี่ สภาพหมู่บ้านที่บ้านหลายหลังว่างเปล่าปราศจากผู้คน ทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาวังเวง …. ทั้งที่ในภาวะปกติ สถานที่แห่งนี้น่าจะมีความคึกคัก มีเด็กวิ่งเล่นกันมากกว่านี้แท้ๆ
” โรล่าไม่ต้องกังวลหรอก ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าจะอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆและยังไม่มีแผนว่าจะไปที่อื่น” รอนปลอบ
” คุณรอนไม่คิดจะไปอยู่ในเมืองเหรอคะ” ….เด็กสาวถาม
ในความรู้สึกของเธอ ในเมืองมีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากกว่าหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ จนเธอกังวลว่ารอนจะเดินทางต่อไปยังตัวเมืองกาล่าที่อยู่ใกล้ๆ
“ไม่หรอก ผมตั้งใจจะอยู่ที่นี่แหละ” รอนตอบ “ผมสัญญาครับ ว่าจะช่วยคนที่นี่ไปให้ตลอดรอดฝั่ง”
… และจับมือของเด็กสาวมา ตบที่หลังมือเบาๆเป็นการยืนยันสัญญา …. แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าบดบังแก้มและใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอายไปจนหมด
ทั้งคู่เดินคียงข้างกันไปจนถึงลานกลางหมู่บ้าน ที่นั่นคนที่คุมกองไฟกำลังช่วยกันตักข้าวต้มในหม้อแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่มารอรับอาหาร ใกล้กันนั้นเป็นโต๊ะที่พอลและเพื่อนๆกำลังช่วยกันปิ้งย่างเนื้อปลาและเนื้อบราวนี่ที่พวกตนจัดการมาในวันนี้
“ท่านรอน … นี่ค่ะอาหาร ข้าตักเตรียมเอาไว้ให้ท่านแล้ว” มาเรียเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างรอนและโรล่า เธอถือถ้วยข้าวซึ่งมีเนื้อปลาและบราวนี่โปะอยู่ “มานั่งตรงนี้ดีกว่า”
มาเรียดึงรอนให้เดินไปทางพ่อเฒ่าเบรเซอร์ รอนนั่งลงนั่งและรับชามข้าวไปถือไว้ … จากนั้นมาเรียก็ขอตัวไปดูความเรียบร้อยของอาหารต่อ
“รอน … จะให้ข้าเอาปลากระป๋องของท่านออกมาไหม” ชายหัวหน้าหมู่บ้านถาม ….
เด็กหนุ่มมองไปที่พอลและเพื่อนๆที่กำลังล่าถึงการต่อสู้กับบราวนี่ให้ชาวบ้านฟังอย่างออกรส
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ” รอนยิ้ม
หลังกินข้าวเสร็จแล้วคนในหมู่บ้านแยกย้ายกันไปพักผ่อนในบ้านของตนเอง รอนเดินไปตรวจดูที่ทางเข้าหมู่บ้าน … วินเซนต์ ช่างไม้ประจำหมู่บ้านต่อไม้กระดานทำเป็นแผ่นสูงประมาณ1เมตร ปิดกั้นที่ตรงทางเข้าทั้งด้านนอกและด้านในตามที่รอนขอ
…เมื่อประกอบกับที่รอนทำเป็นกำแพงรั้วไม้ยาวเข้ามาประมาณ5เมตร ทำให้มีพื้นที่ว่างๆเกิดขึ้นตรงทางเข้า
ก่อนหน้านี้ชาวบ้านใช้การยืนตรงใกล้ทางออก ทำให้การเฝ้าเวรยามแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความน่ากลัว
แต่ว่าการมีไม้กั้น และมีพื้นที่ว่างเล็กๆเป็นกันชนนี้ ทำให้คนที่มาเฝ้าเกิดความอุ่นใจมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะมีมอนสเตอร์ที่มาดักซุ่มทำร้าย
นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รอนคิดไว้ … เขาเรียนรู้จากเกมว่า Fog of War เป็นส่วนที่มีผลทางจิตวิทยาอย่างมาก มันทำให้คนที่รับผิดชอบพื้นที่บางพื้นที่เคร่งเครียดตลอดการเล่นเกม …. ดังนั้นเวลาเล่นเกมวางแผนทั้งหลาย รอนจะให้ความสำคัญกับอุปกรณ์พวก Watch tower / Security camera / กริ่งสัญญาณเตือน / หรือไฟส่องสว่าง แทนทุกคนในทีมเสมอๆ
เพราะแม้ว่ามันจะไม่ได้มีผลต่อการต่อสู้โดยตรง แต่ว่าสำหรับคนในทีมที่เล่นเกมหลังหน้าจอ การรู้ว่ามีสัญญาณเตือนหรือสิ่งเตือนการมาของศัตรู ก็ทำให้ความเคร่งเครียดลดลงไปได้เยอะและมีผลต่อPerformanceในการเล่น
ชาวบ้านที่อยู่เวรยามทักทายรอนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย พวกเขานั่งบนท่อนไม้ที่นำมาวางไว้ข้างๆกำแพงรั้ว … ไม่ต้องหวาดระแวงกับการลอบโจมตีของมอนสเตอร์แบบคืนก่อนๆ
รอนทักและคุยกับชาวบ้านครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปนั่งแยกออกไป ….ชาวบ้านที่ต้องอยู่เวรมีอาการเหนื่อยล้าจากการอดนอนบ้าง แต่สำหรับเขาที่มีสกิลประหลาดจากลูกแก้วลึกลับนั่น ไม่มีอาการเหนื่อยล้าหรือความรู้สึกต้องการนอนแต่อย่างใด …รอนเลยไม่อยากรบกวนชาวบ้านที่อาจจะอยากนอนงีบหลับบ้าง
เด็กหนุ่มควักโทรศัพท์มือถือกดเปิดเครื่อง … แบตเตอรี่ยังมีอยู่50% เขาเปิดรูปถ่ายหนังสือเรียนที่ถ่ายเอาไว้ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือเรียนมัธยมต้นไปอย่างเงียบๆ