Midterm Fantasy - ตอนที่ 287
16 ปีผ่านไป
“สตีฟ อย่าลืมกระเป๋านะลูก”
“ครับแม่”
เด็กหนุ่มวิ่งลงมาจากชั้นสอง ตรงไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ มารดาเดินมาหาแล้วจัดปกเสื้อให้เข้าที่ ปัดผมสีทองของเด็กหนุ่มให้เข้าทรง
“พี่สตีฟ อย่าลืมของฝากนะพี่”
“หนูเอาพวงกุญแจ”
“ผมเอาหมวก”
“ผมเอาอะไรก็ได้”
“หนูเอา…”
เสียงเซ็งแซ่ดังมาจากโต๊ะกินข้าว เหล่าเด็กๆอายุตั้งแต่ 4 ขวบเรื่อยไปจนถึง 13 ขวบ รวม 8 คน แข่งกันส่งเสียงร้องจะเอาของฝากจนหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต้องเคาะโต๊ะเตือน
“ทุกคนพอได้แล้ว พี่สตีฟเค้าจะไปทัศนศึกษาทางไกล ให้ขนของฝากมามันเหมาะที่ไหน” หญิงคนนั้นพูด
“ไม่เป็นไรครับแม่เจนัส เดี๋ยวผมซื้อจากสถานีรถไฟตอนขากลับก็ได้” สตีฟบอก
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนโรงเรียนนานาชาติเดินผ่านห้องรับแขกไป ที่นั่นเด็กสาวในชุดนักเรียนอีกคนกำลังนั่งอยู่กับคุณตาคุณยาย
“สวัสดีครับ คุณตา คุณยาย” สตีฟยกมือไหว้และเหลือบไปมองเด็กสาวและยิ้มกริ่ม “… คุณน้าลลิตา”
“หนอยยยย พี่สตีฟ”
“คุณน้า”
“พี่สตีฟ!”
สตีฟหยอกเด็กสาวเช่นเคย น้าลลิตาเป็นลูกคุณยายแต่อายุอ่อนกว่าเขาอยู่ปีนึง และจะฉุนทุกครั้งที่เจอเขาเรียกว่าคุณน้า
“เอาน่า อย่าไปหยอกน้องสิ” เสียงของชายหนุ่มวัย 30 ดังขึ้นจากด้านหลัง
สตีฟหันกลับไปแล้วยกมือไหว้
“สวัสดีครับพ่อ”
รอนเดินมาแล้วหยิบกระเป๋าคาดใบเล็กส่งให้ เด็กชายรับเอากระเป๋าเอาไว้แล้วเปิดดู เสียงทักทายดังออกมาจากกระเป๋า
“สวัสดีค่ะคุณหนูสตีฟ”
“สวัสดีคุณเปิ้ล … เอ๊ะ นี่เปลี่ยนรุ่นแล้วเหรอ”
“ค่ะ คุณรอนเพิ่งย้ายเครื่องให้เมื่อคืนนี้”
เด็กหนุ่มทักทายเอไอโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแล้วก็สำรวจอีกนิดหน่อย ข้างในมีลูกพลาสติกสีชมพูอีก 10 ลูก
“พกไว้เผื่อฉุกเฉิน” รอนตบบ่าแล้วทำท่านึกได้ “อ้อ ฝนลูกคุณหมอเคก็ไปด้วยใช่ไหม”
“ครับพ่อ” สตีฟตอบ
“อือ” รอนไม่ว่าอะไร ตบบ่าลูกชายเบาๆ “ไปเถอะ ลุงบัวมารอแล้ว”
สตีฟโบกมือให้กับคนในบ้านแล้วไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ลุงบัวนั่งอยู่ในนั้นพร้อมเด็กอีก 2 คน
“สวัสดีครับตาบัว” ว่าแล้วสตีฟก็หันไปทักทายเด็กๆ “จูเน่ จูโน่”
“พี่สตีฟ” เด็กทั้งสองประสานเสียงทักทาย
“ตาบัวจะพาลูกๆไปไหนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม
“เดี๋ยวไปส่งคุณหนูที่โรงเรียนแล้วผมจะพาลูกๆไปหาแม่ของเค้าน่ะครับ” ตาบัวเล่า
“คุณจีน่ากลับมาวันนี้เหรอครับเนี่ย” เด็กหนุ่มถาม
“ใช่ครับคุณหนู ทางนั้นเปิดสนามบินแล้ว ผมเลยให้จีน่ากลับมาก่อน ไม่งั้นถ้าเจอปิดสนามบินอีกก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเปิดใหม่อีก” ตาบัวตอบ
รถยนต์สีดำวิ่งไปตามถนน สตีฟจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ผู้คนภายนอกเริ่มใส่หน้ากากอนามัยกันน้อยลง ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะการระบาดในระยะหลังนี้ไม่ค่อยมีความรุนแรงแล้ว
รถไปจอดที่หน้าโรงเรียน เด็กหนุ่มลาลุง(ตา)บัว แล้วสะพายกระเป๋าเป้ตรงไปที่ลานสถานีรถไฟประจำโรงเรียน
“สตีฟ ทางนี้” เสียงร้องเรียกของเด็กสาวดังมาจากชานชลาที่ 9
“ได้ยินแล้วครับ … หัวหน้าห้อง” เด็กหนุ่มโบกมือให้แล้ววิ่งตรงไป ที่นั่นเด็กนักเรียนห้อง 6 กว่า 30 คนกำลังยืนรออยู่ เด็กสาวในชุดนักเรียนยิ้มให้กับเขา
“ตาไวจริงนะฝน” เด็กหนุ่มเย้า
“ตาไวอะไรกัน นายน่ะหัวสีทองคนเดียวในดงหัวดำ โผล่มาถึงใครๆก็เห็นทั้งนั้นแหละ” เด็กสาวตอบ “ห้องเรามากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถไฟได้”
นักเรียนทั้ง 36 คนเดินขึ้นรถไฟและจับจองที่นั่ง สตีฟหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างโดยฝนลงมานั่งข้างๆ
“ตื่นสายเหรอ” ฝนถาม
“ใช่ … เมื่อคืนเล่นเกมกับน้องๆหนักไปหน่อย” สตีฟตอบ
“น้องเยอะก็งี้แหละ ฮิฮิ” เด็กสาวยิ้ม “บ้านนายนี่ท่าจะครึกครื้นดีนะ”
สตีฟยิ้มไม่ตอบอะไร มองออกไปนอกหน้าต่าง
ครึกครื้นเหรอ
แน่ล่ะ
ตั้งแต่จำความได้เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างของครอบครัวเขาเมื่อเทียบกับครอบครัวอื่นๆ
ในบ้านของเขามีแม่สองคน แม่แพทแม่แท้ๆของเขา กับแม่เจนัส
เขาเป็นลูกคนเดียวของแม่แพท ในขณะที่ทางแม่เจนัสมีลูกกับพ่อของเขา 8 คน
ฟังดูแปลกใช่ไหมล่ะ แต่ว่ามากไปกว่านั้น เขายังมีน้องอีก 4 คน
นั่นเป็นเพราะว่าพ่อรอนของเขาไปมีภรรยาอยู่ที่ต่างประเทศอีก 2 คน
น้องชายสองคนของคุณแม่โรล่า
น้องสาวสองคนของคุณแม่มาเรีย
ไม่สิ น้องสาวหนึ่งคนกับคุณแม่มาเรีย เพราะถึงน้องอีกคนจะมาจากแม่มาเรีย แต่ก็เกิดกับคุณลุงดีโอ
เป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงน่าดู
ถึงจะรู้จักกัน แต่ดูเหมือนระบบโทรคมนาคมทางนั้นจะไม่ดี เพราะเขาไม่เคยคุยโดยตรงกับญาติๆทางนั้นเลย มีแต่การส่งคลิปคุยโต้ตอบกันเหมือนกับส่งจดหมาย และทุกครั้งที่ส่งก็ต้องผ่านคุณพ่อหรือคุณแม่แพทเท่านั้น
รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองเดลต้า เมืองศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่บริเวณชายทะเลภาคตะวันออก
เสียงเพื่อนร่วมชั้นคุยกันดังจอแจภายในรถไฟอย่างสนุกสนาน แต่สตีฟไม่ได้รู้สึกอยากจะเข้าไปร่วมแจมแต่อย่างใด
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาแปลกแยกจากกลุ่มเพื่อนฝูง ด้วยเส้นผมสีทองและตาสีฟ้า เค้าโครงใบหน้าเป็นของคนยุโรป ทำให้สตีฟถูกเพื่อนล้อว่าพ่อแม่หยิบมาผิดหรือล้อว่าแม่ไปมีคนอื่น
แม้พ่อจะเอาคลิปตอนทำคลอดให้ดู หรือกระทั่งเอาผลตรวจDNAมายืนยัน แต่ก็ทำได้แค่ให้เขารับรู้เท่านั้น ไม่สามารถไปห้ามคำพูดนินทาของคนอื่นๆได้
นอกจากนี้ยังมีความไม่ปกติของครอบครัวอย่างอื่นอีก เช่นแม่เจนัสสอนศิลปะป้องกันตัว คุณยายอารยาสอนเรื่องการใช้ปืน พ่อสอนเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณ ตาบัวสอนเรื่องการต่อสู้เชิงยุทธวิธี ทำให้แทนที่จะได้ไปไหนมาไหนแบบเด็กมัธยมคนอื่นๆ กลายเป็นว่าเขาต้องกลับบ้านเร็ว ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนเหมือนเด็กวัยรุ่นในวัยเดียวกัน
ทำไมต้องเกิดมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะเนี่ย
สตีฟนั่งจ้องมองไปนอกหน้าต่างดูทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ แล้วฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน … ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
เกิดอะไรขึ้น ?
กริ๊งๆๆๆๆ
ตู๊ดดด
กริ๊งๆๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือของนักเรียนในขบวนดังขึ้นทีละคน ละคน จนพริบตาเดียวนักเรียนเกือบทั้งหมดก็ยกโทรศัพท์ขึ้น
“ไม่จริงน่า”
“ล้อเล่นหรือเปล่าแม่”
เสียงนักเรียนแต่ละคนคุยกับปลายสายที่น่าจะเป็นผู้ปกครอง สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลและไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยิน
“คุณสตีฟคะ คุณรอนโทรมาค่ะ” เสียงของA.I.เปิ้ลดังขึ้น เด็กหนุ่มรับสายทันที
“พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครั…”
“สตีฟ ฟังพ่อให้ดีนะลูก เรื่องที่พ่อจะพูดต่อไปนี้สำคัญมาก” เสียงของรอนพูดอย่างจริงจังอย่างที่สตีฟไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ครับพ่อ”
“ตอนนี้มีเชื้อโรคประหลาด ทำให้คนเป็นซอมบี้”
“เดี๋ยวๆพ่อ อย่าล้อ..” สตีฟเบรก
“เงียบแล้วฟังพ่อ!” รอนตวาดจนเด็กหนุ่มชะงัก พ่อไม่เคยดุขนาดนี้มาก่อน
“จุดอ่อนของมันอยู่ที่หัวใจ สมอง และระบบประสาท”
“ในกระเป๋าที่พ่อให้ไป ที่ซิปด้านหน้ามีแหวนที่เก็บอาวุธของลูกไว้”
“ข้อมูลที่จำเป็นที่เหลือ A.I.เปิ้ลจะบอกลูกเอง”
รอนย้ำสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ลูกต้องหาทางไปที่โรงพยาบาลคาซึย่าที่คุณหมอเค พ่อของหนูฝนทำงานอยู่ให้ได้ ที่นั่นมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มั่นคงพอ” รอนบอก “เอาชีวิตรอดให้ได้ พ่อจะรีบไปช่วยแกให้เร็วที่สุด”
“ค ค ครับพ่อ”
“สตีฟ … แม่รักลูกนะ” เสียงของแพทดังขึ้นจากโทรศัพท์
“ผมก็รักแม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง รถไฟยังคงวิ่งต่อไป แต่ภายนอกหน้าต่างนั้นกลุ่มควันไฟพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณบ้านเรือนอย่างผิดปกติ
“สตีฟ อีกอย่างนึง … พ่ออยากให้ลูกรู้เอาไว้ ไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาของลูกจะเป็นยังไง ลูกคือลูกของพวกเรา เป็นลูกที่เกิดจากความรักของพ่อกับแม่ รักษาตัวให้ดี zzzzzzzzz”
สัญญาณขาดหายไป สตีฟถอยโทรศัพท์ออก
“สัญญาณขาดหายไปค่ะคุณหนู ดูเหมือนระบบเสาสัญญาณบริเวณนี้จะถูกทำลาย” เสียงของเปิ้ลบอก
สตีฟเก็บโทรศัพท์แล้วมองไปรอบๆ เพื่อนๆต่างอยู่ในอาการหวาดผวา บางคนนั่งหน้าซีด บางคนร้องไห้อย่างตกใจ และในเวลาเดียวกันหลายคนมีอาการหน้ามืดเป็นลมล้มกับพื้นแน่นิ่งไป ? เป็นลมแบบชักกระตุก ?
“สตีฟ เมื่อกี้พ่อเราบอกให้พวกเราไปหาที่โรงพยาบาล พ่อบอกว่าห้ามโดนซอมบี้กัดเด็ดขาด” ฝนพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัว “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ … สตีฟ เป็นอะไรไป สตีฟฟฟ”
ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงพร้อมกับสติที่เลือนหาย
“นี่เราอยู่ไหนกัน ที่นี่ที่ไหน”
เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้น เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องสีขาวกว้างใหญ่
“สวัสดีสตีฟ”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงหันกลับไปมอง ด้านหลังของเขาปรากฎผู้หญิงสองคน ทั้งคู่อยู่ในชุดผ้าบางเบาสีขาว ดูเหมือนกับเทพธิดาในตำนานกรีกยังไงยังงั้น
“พวกคุณเป็นใคร” เขาถามอย่างสงสัย
“นี่เปิ้ลเองค่ะ” หญิงสาวที่ยืนด้านหลังโบกมือ
เปิ้ล? เดี๋ยวสิ เสียงนี้ …. แว้ก A.I. เปิ้ลในโทรศัพท์มือถือนั่นน่ะเหรอ
“ฉันคือเทพีเวโรน่า” หญิงสาวด้านหน้าที่ดูงามสง่าพูดขึ้น “เป็น …. ช่างเถอะ ยังไงก็ต้องปลุกเธอขึ้นมาอยู่แล้ว … เอาล่ะ จงตื่นขึ้นเถิด”
เด็กหนุ่มมองหญิงสาวที่ชื่อเวโรน่าอย่างงุนงง แต่เมื่อสิ้นเสียงพูดของหญิงสาวเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง
ภาพบางอย่างที่เขาเหมือนเคยเห็นในฝันสมัยเด็ก ผุดปรากฎขึ้นมาเต็มไปหมด
นี่มันความทรงจำอะไรกัน
ทำไมมีดาบ มีเวทมนตร์ มีมังกร มีมอนสเตอร์
นี่มันอะไรกัน
ภาพจำนวนมากปรากฎขึ้นในห้วงความคิดของเด็กหนุ่ม ร่างของเขาแข็งเกร็งไปหมด ความทรงจำจากอีกชีวิตหนึ่งย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด
ใช่แล้ว
เขาคือสตีเฟ่น วอน เจอโรม แม่ทัพแห่งเมืองป้อมปราการศาสนจักรเวโรน่า
ในการรบครั้งสุดท้ายของเขา เขานำกำลังหน่วยกล้าตายบุกเข้าไปต่อสู้กับแม่ทัพของฝ่ายอันเดทเพื่อปกป้องคนรักของเขา
แต่ระเบิดที่เตรียมไว้จัดการกับอีกฝ่ายทำงานผิดพลาด ตัวตั้งเวลาจุดระเบิดไม่ทำงาน สุดท้ายเขาต้องย้อนกลับเข้าไปและระเบิดตัวเองไปพร้อมกับศัตรู
จากนั้น เทพีเวโรน่าก็ดึงเอาวิญญาณและความทรงจำของเขา ไปใส่ไว้ในร่างของคุณแม่แพทที่ข้ามมิติไปอยู่ที่โลกใบนั้น และถือกำเนิดขึ้นมาเป็นสตีฟในโลกใบนี้
“ผมเป็นใครกันแน่ ผมคือสตีเฟ่น หรือสตีฟ”
“นายคือสตีเฟ่นวอนเจอโรม ที่มาเกิดใหม่เป็นสตีฟ ตั้งรอนตระกูล” เทพีเวโรน่าพูดยิ้มๆ
“อ๊ะ!” เด็กหนุ่มนึกได้ เขาคุกเข่าลงกับพื้นและทำความเคารพต่อเทพีเวโรน่า
ในฐานะของแม่ทัพแห่งศาสนจักรเวโรน่า สตรีผู้นี้คือพระเจ้าที่เขานับถือสูงสุด
“เอาล่ะ เราไม่มีเวลามากนัก ข้าจะบรีฟให้เจ้าฟังคร่าวๆ ที่เหลือให้เจ้าถามเอาจากเปิ้ลแทน” เทพีเวโรน่าบอก
“ชีวิตที่แล้วของเจ้านั้นได้ถูกวางไว้เพื่อเป็นหมากให้กับศาสนจักรเวโรน่า ดังนั้นเพื่อความยุติธรรม ข้าจึงดึงเจ้ามายังโลกใบนี้ หวังว่าจะชดเชยให้เจ้าได้อาศัยในโลกอีกใบที่มีความสงบสุข แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุขึ้นกับโลกใบนี้จนได้” เทพีเวโรน่ากล่าว “เพื่อไม่ให้ผิดต่อเจ้าจนเกินไป ข้าจึงปลุกความทรงจำในอดีตของเจ้าขึ้นมา เจ้าจะสามารถฝึกหัดใช้เวทมนตร์ได้อีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งเจ้ายังเป็น สตีเฟ่น วอน เจอโรม”
“เวทมนตร์”
“ใช่ มนุษย์ในโลกนี้ไม่มีแก่นพลังเวทมนตร์ แต่ว่าเจ้ามีที่มาจากการจัดการของข้า ดังนั้นเจ้าจึงมีแกนเวทมนตร์ในตัว … และโลกนี้ปกติจะไม่มีมานาในธรรมชาติ หากแต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจนก่อให้เกิดซอมบี้นี้ ได้รบกวนธรรมชาติและเกิดมานาธรรมชาติขึ้นมา … แม้จะชั่วคราว แต่จนกว่าวิกฤตนี้จะผ่านพ้นไป เจ้าจะสามารถใช้มานาได้เหมือนตอนอยู่ที่โลกใบเก่าของเจ้า”
มานา … จริงสินะ ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อครู่นี้ มันคือการที่มานาได้ซึมซับเข้ามาในร่างกายนี่นา
“เอาล่ะ สตีเฟ่น วอน เจอโรม … ขอให้เจ้าโชคดี”
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องในตู้รถไฟ ร่างของเขาเหมือนกับถูกกดทับด้วยอะไรบางอย่าง
“สตีฟ ตื่นเร็ว ตื่น” เสียงร้องของฝนดังมาเหนือร่างของเขา “อย่าเข้ามานะ อย่าาาา”
เด็กหนุ่มมองข้ามไหล่ของฝนไป เทพพนม เพื่อนร่วมห้องของเขาอยู่ในสภาพใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดสีดำโผล่ขึ้นที่ใบหน้าและลำคอ อ้าปากส่งเสียงไม่เป็นภาษากำลังเดินตรงมาที่เขาและฝน เสื้อของเทพพนมเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด โดยมีร่างของเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคนนอนจมกองเลือดอยู่ด้านหลัง
“อย่าาาา”
“โฮกกกก”
แม้จะตื่นกลัวแค่ไหนแต่ฝนก็ไม่ถอยออกจากร่างของสตีฟที่นอนอยู่ ซอมบี้พุ่งเข้าหา ฟันงับลงไปบนหนัง … รองเท้าสีดำ
พลั่ก!
ซอมบี้ที่อมรองเท้ากระเด็นไปอีกฟากของตู้ สตีฟพุ่งตามเข้าไป ซัดฝ่ามือเข้าที่ปลายคาง
พลั่ก พลั่ก
ซอมบี้ถอยหลังอย่างงุนงง อ้าปากเตรียมจะงับ หากแต่ฝ่ามือที่ระดมสวนเข้ามาทำให้มันมึนงงไปหมด สตีฟกระชากที่วางแขนของรถไฟออกมา จากนั้นเหวี่ยงเข้าไปสุดแรง
ปั่ก! ก้านที่วางแขนปักทะลุขมับ ร่างของเทพพนมทรุดล้มลงกับพื้น
“กรี๊ดดดดด ฆ่าคนตาย”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น สตีฟหันไปมองแล้วเบิกตากว้าง ที่เบื้องหลังเพื่อนผู้หญิงคนนั้น ร่างที่จมกองเลือดเมื่อครู่ลุกขึ้นยืนช้าๆขึ้นมาสองร่าง
“ระวัง!”
แต่ไม่ทันแล้วฟันงับฉับลงไปที่ต้นคอ เลือดหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา เด็กสาวที่ถูกกัดคอตาเหลือกและล้มลง สตีฟพุ่งเข้าไปจัดการกับซอมบี้อีกสองตัว
ครืนๆๆ ครืนๆๆ ครืนๆๆ
เสียงร้องไห้กระซิกดังจากรอบๆ คนในตู้รถไฟทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งหลบมุม มองรอบๆอย่างไม่มั่นใจ ที่พื้นกองก่ายไปด้วยศพของเพื่อนที่กลายเป็นซอมบี้ไป 5 ศพ ที่ประตูรถไฟมีเสียงดังมาเป็นระยะ เป็นเสียงของคนในอีกตู้ที่กลายเป็นซอมบี้ไปทั้งหมดแล้ว
มองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้เป็นตัวเมืองแล้ว ภายนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซอมบี้ไล่กัดกินคนที่อยู่ข้างนอก
“อีก 10 นาทีจะถึงจุดหมาย เมืองเดลต้า ข้อมูลดาวเทียมเมื่อ15 นาทีก่อน พบฝูงซอมบี้มากกว่า 1 พันตัวที่สถานีรถไฟ”
เสียงของเปิ้ลดังออกมาจากกระเป๋า ทำให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นทันที สตีฟนึกถึงคำของรอนได้ เขาค้นกระเป๋าของตน
“อาวุธ อาวุธ ไหนดูซิ”
ไม่ยักมีอาวุธในกระเป๋า มีแต่แหวนสีเงินวงหนึ่ง … เดี๋ยวสิ นี่มัน! แหวนเก็บของต่างมิติ
สตีฟสวมแหวนและปล่อยพลังเวทในตัวเข้าไป ปรากฎภาพสิ่งของที่เก็บไว้ภายในออกมา
“ออกมา”
ชิ้ง!
ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน ดาบสีดำปรากฎขึ้นในมือของเด็กหนุ่ม
“ไง สตีเฟ่น” ดาบพูดขึ้น
“ดูแรนดาล!”
เด็กหนุ่มจับดาบในมืออย่างอบอุ่นใจ
นี่คือดาบที่เขาเคยใช้ในชีวิตที่แล้ว ดาบดูแรนดาลแห่งเวโรน่า
ครืนๆๆ ครืนๆๆ เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด
“ฝน อยู่ข้างหลังผมไว้นะ”
“คะ?”
“ผมจะคุ้มครองคุณเอง”
กระชับดาบในมือมั่น สตีฟเก็บเป้สะพายหลังเข้าไปในแหวนเก็บของต่างมิติ แล้วก็ดึงแขนเพื่อนสาวไปอยู่ที่ประตูทางออก
ตั้งแต่จำความได้ ฝนเป็นเพื่อนที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างเคียงเขามาตลอด ไม่เคยล้อว่าหรือพูดอะไรให้เขาเจ็บช้ำ คอยปกป้องเขาในยามที่เพื่อนในรุ่นกลั่นแกล้ง
“อีก 15 วินาที ประตูจะเปิด เปิ้ลแนะนำให้คุณสตีฟวิ่งไปที่ม้านั่งตัวสีฟ้าตรงนั้นค่ะ คุณรอนกำลังส่งความช่วยเหลือมา”
“อะไรนะ”
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้วค่ะ คุณสตีฟต้องไปตรงนั้น เดี๋ยวนี้” A.I.เปิ้ลร้อง
เอี๊ยดดดดดด ฉ่าาา
ประตูบานเลื่อนเปิดออก สตีฟดึงมือเพื่อนสาว
“ไปกัน ฝน”
“อือ”
ซอมบี้ร่วม 50 ตัวหันมาทางประตูรถไฟที่เปิดออกก่อนจะวิ่งตรงมา
ฉับ ฉับ ฉับ
ศีรษะของซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาปลิดปลิว สตีฟเหลือบมอง ฝนยังคงวิ่งตามเขามา ประตูรถไฟอื่นๆที่เปิดออกต่างมีซอมบี้พุ่งออกมา มีเพียงตู้ที่เขาโดยสารมาเท่านั้นที่ถูกคนข้างในปิดงับลงอีกครั้งอย่างหวาดกลัว
ดาบในมือเหวี่ยงไปมาอย่างรวดเร็ว ซอมบี้ที่หัวขาดล้มลงอย่างบ้าคลั่ง เด็กทั่้งสองมองไปข้างหน้า อีก 10 เมตรก็จะถึงม้านั่งตัวสีฟ้า …
แต่ถึงตรงนั้นแล้วจะทำไงต่อล่ะ ซอมบี้มากันเป็นร้อยตัวเลย
ซูมมมมมมมมมมมมมม ตู้ม!
แสงวาบลงมาจากท้องฟ้า ตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้องทำให้กระจกสถานีแตกกระจาย ก่อนที่จะมีเสียงดังขึ้นที่เพดานสถานี
ตูม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ร่างสีเงิน10ร่างพุ่งทะลุลงมาจากเพดานสถานีรถไฟตกลงสู่พื้นล้อมรอบสตีฟและฝนเอาไว้ ทั้งหมดชักดาบยาวสีเงินออกมา เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นจากร่างสีเงินที่มีแถบสีแดงทาหน้าอก
“หน่วยจู่โจมอวกาศเมคานิคัลโกเลม ที่ 15 รายงานตัว”
“นายคุ้มครองคุณหนูสตีฟออกจากที่นี่” เปิ้ลสั่ง “ที่เหลือ ล่อซอมบี้เอาไว้”
“ครับมาดาม”
หุ่นโกเลมทั้ง9ตัวชูดาบขึ้น ฟาดฟันซอมบี้ที่พุ่งเข้ามา ขณะที่หุ่นตัวหัวหน้ากวักมือเรียกสตีฟแล้วก็พุ่งไปที่บันไดหนีไฟ
“คุณสตีฟ เร็วเข้า พวกนี้ทำได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น” เปิ้ลร้องเตือน
“ได้เลยเปิ้ล” สตีฟบอกแล้วดึงมือเพื่อนสาว “ไปกันเถอะ ฝน”
เด็กหนุ่มสาวทั้งสองวิ่งตามหุ่นยนต์รบเข้าบันไดหนีไฟไป
ต้องรอด
ต้องรอดกลับไปให้ได้!
Midterm Fantasy อวสาน