Midterm Fantasy - ตอนที่ 38
รอนวางโทรศัพท์ในมือลง แพทพยักหน้าให้เบาๆ …. บางครั้งความจริงมันก็ทำร้ายเราได้เหมือนกัน
คนที่ไม่มีเพื่อนอาจจะเหงาเศร้าเปล่าเปลี่ยว
แต่คนที่คิดว่าตนเองมีเพื่อน แต่อีกฝ่ายไม่ได้คิดว่าเป็นเพื่อน … มันคือการย้ำซ้ำด้วยความเจ็บปวด
รอนดูนาฬิกา … ตอนนี้เย็นแล้วและพ่อกับแม่ก็ไม่อยู่บ้าน คงไม่เหมาะที่แพทจะมาอยู่ที่นี่กับเขาสองต่อสองนานๆ เขาเลยบอกแพทให้กลับบ้านและฝากผลึกทั้งสองชิ้นให้กับคุณพ่อของเธอด้วย เด็กหนุ่มรอจนแพทขึ้นTaxiไปแล้วจึงแกะดูแผลใต้ผ้าก็อซซึ่งหายเรียบร้อย
รอนเดินไปร้านขายข้าว ซื้อข้าวอีก1กระสอบจากนั้นให้พี่ประเสริฐเอาไปไว้ที่บ้านตามเดิม
แล้วก็เดินเลยไปตลาดนัด
เด็กหนุ่มซื้อเสื้อผ้าชุดรด.มือสองมาอีกสามชุด แม้ผ้าจะหนาหนักแต่ว่าเมื่อไปอยู่โลกโน้นและเจอมีดดาบของก็อบลิน กางเกงดีๆก็เยินอย่างรวดเร็ว จากนั้นหาซื้อเป้ผ้าราคาอันละ100บาท
รอนเอาของที่กะจะข้ามไปฝั่งนั้นไปวางไว้ในห้องนอนทีละชิ้นๆ
ข้าวสาร มีดทำครัวที่ยึดมา มีดดาบที่ยึดมา มีดร้านอาม่า พร้อมหมดแล้ว …. ส่วนเป้เขาก็ใส่เสื้อยืดตัวที่เพิ่งถูกแทงวันนี้ลงไปโดยไม่ได้ซักคราบเลือดออก
‘เอี๊ยด’
เสียงประตูรั้วบ้านดังขึ้น พ่อกับแม่กลับมาแล้วและกำลังปิดประตูบ้านอยู่ รอนถือกระดาษA4เตรียมเอาลงไปPrintลงไปชั้นล่าง
“เป็นไงมั่งครับ งานสนุกไหม” รอนถามพ่อกับแม่ที่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน พ่อกำลังปิดประตูบ้านอยู่
“อืม ก็ดีลูก เจอเพื่อนๆกันเยอะเลย … ” แม่บอก มองไปที่รอนก่อนจะเหลือบมองไปที่โซฟาด้านหลังแล้วมองรอนใหม่
“ใช่ๆ นี่ไม่ได้เจอกันหลายปี เผลอแวบเดียวเด็กๆโตแต่งงานกันแล้ว” พ่อซึ่งปิดประตูเสร็จเดินมา ตามองไปที่โซฟาก่อนจะหันกลับมามองลูกชาย
รอนเดินไปที่โต๊ะคอม ก้มตัวลงไปจนสุดให้เส้นผมตกมาปิดหน้า กดสวิทซ์คอมพิวเตอร์และเครื่องปริ้นท์ วางกระดาษลงแล้วค้นหาของที่โต๊ะคอมฯ เขาหาทั้งฝั่งซ้ายขวาเสียงดัง
“หาอะไรอยู่เหรอลูก” พ่อถาม
“หาที่คาดผมกับยางรัดกระดาษชีทครับ” รอนหันไปตอบ เสยผมที่ห้อยลงมาปรกตาแล้วหันกลับไปหาต่อ
พ่อเดินไปที่โซฟา “อันนี้หรือเปล่าลูก ”
“อ้อ ใช่ครับ” รอนเดินไปรับที่คาดผมสีชมพูมาคาดที่หน้าผากแล้วดันผมที่ปรกตาขึ้นไป … และหยิบกำไลผ้าสีน้ำตาลขึ้นมา ม้วนกระดาษA4เป็นทรงกระบอกแล้วสอดเข้าไป จากนั้นลงไปนั่งพิมพ์งานต่อ แม่เดินขึ้นไปอาบน้ำ ส่วนพ่อก็นั่งดูทีวีตรงโซฟา
แม่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินลงมา เตรียมของเพื่อทำกับข้าวเช้าพรุ่งนี้ พ่อขึ้นไปอาบน้ำเสร็จก็ลงมาดูทีวีต่อ ส่วนรอนนั่งเซฟไฟล์หนังสือเรียนโอนลงมือถือก่อนจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
“ผมขึ้นไปนอนก่อนนะครับ” รอนบอกพ่อกับแม่ ถอดที่คาดผมสีชมพูวางไว้ที่โต๊ะคอมฯก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสอง พ่อกับแม่มองที่คาดผมแล้วก็หันมามองหน้ากัน
“ลูกเราใส่ที่คาดผมด้วยเหรอแม่”
“แม่เคยเห็นใส่กันผมปิดตาบ้างนะ แต่ที่เคยเห็นจำได้ว่าเป็นสีดำ” แม่บอก “สงสัยกลัวหาไม่เจอนั่งทับหักมั้งเลยซื้อสีชมพูมาใส่”
รอนเดินขึ้นห้องไปแล้วกดล็อคห้อง หายใจเข้าลึกๆและถอนหายใจออกมายาวๆ
“เฮ้อออออออ”
[Deception Lv 2 05/100]
รอนส่งข้อความไปหาแพท
<แพท ยังตื่นอยู่รึเปล่า>
…..สักครู่เดียวแพทโทรเข้ามา
“ตื่นอยู่ ทำไมเหรอรอน”
“เธอลืมอะไรไว้หรือเปล่า” เขาถาม …. อีกฝั่งเงียบไปครู่นึงแล้วนึกได้
“ตายล่ะ เราลืมที่คาดผมกับกำไลผ้าไว้ที่โซฟาบ้านเธอ!” แพทนึกขึ้นได้
“ใช่ …. คืองี้นะ สองชิ้นนี้เราขอแล้วกัน” รอนบอก
“หืม?”
“คือพ่อกับแม่เราเข้ามาในบ้านแล้วเห็นพอดี…เราเลยเนียนบอกว่าเป็นที่คาดผมเราใส่กันผมปิดหน้า ส่วนกำไลผ้าของเธอเราก็เนียนว่าเป็นยางที่รัดกระดาษชีท”
‘คิกๆ’ เสียงปิดหัวเราะดังมาจากอีกฝั่ง
“อย่าหัวเราะเซ่ เธอก็ด้วย ถอดทิ้งไว้ตรงโซฟาแล้วไม่ยอมใส่กลับไปด้วย นี่ยังดีไม่ลืมนาฬิกานะไม่งั้นเราแก้ตัวไม่ไปแน่”
“ก็มันขำนี่ นึกภาพเธอใส่ที่คาดผมสีชมพูแล้วตลกพิลึก …. ได้ๆ เธอเก็บไว้แล้วกัน แล้วจะใส่อีกไหม”
“ก็ต้องใส่สักสัปดาห์สองสัปดาห์แหละ ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่สงสัย”
เสียงหัวเราะดังมาจากปลายสายอีกครั้ง
“ได้ๆ เดี๋ยววันไหนวีดีโอคอลกันเราจะได้ใส่สีชมพูมั่งเผื่อพ่อแม่เธอถามเราจะได้บอกว่าเราเลือกสีให้เอาจะได้เข้าคู่กัน” แพทตอบ “แล้วทนกลิ่นนิดนึงนะ น่าจะมีกลิ่นโคโลญน์ของเราติดไปด้วย”
รอนยกกำไลผ้าขึ้นมาดม … มีกลิ่นน้ำหอมที่แพทใช้ติดอยู่จริงๆ
“อ้อ รอน เราเอาผลึกแก้วให้พ่อแล้ว พ่อบอกว่าทั้งสองอันนี้ให้ราคาอันละ1000บาท และถ้ามีอันที่คุณภาพดีๆกว่านี้ก็ให้เอามาด้วย” แพทบอก “พอดีเราเอาไปให้พ่อช้าหน่อย พ่อบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้โอนให้ตอนเช้าๆ”
“ได้ๆ”รอนบอกอย่างดีใจ ดูเหมือนเขาจะได้แหล่งเงินสำรองแล้ว
** ** ** **
รอนกลับมาที่บ้านของเบรเซอร์อีกครั้ง เขาวางถุงข้าวสารและโทรศัพท์มือถือในมือสองข้างลง ดึงมีด(ดาบ)ร้านอาม่าที่เหน็บกับเข็มขัดทั้งสองฝั่ง ถอดเป้ที่มีเสื้อเปื้อนเลือดลง ดึงมีดทำครัว4เล่มที่ยึดมาอันใส่ไว้ที่กระเป๋าเสื้อ2ข้างและกระเป๋ากางเกง2 มีดเหล็กที่ยึดมาอีกสองอันในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
ส่วนมีด150บาทร้านอาม่า เนื่องจากช่องเต็ม เขาเลยไม่ได้นำมาด้วย
และครั้งนี้คือการครั้งแรกที่รอนอัดเอาไอเทมข้ามมาฝั่งนี้ได้จนเต็ม
เด็กหนุ่มหยิบมีดดาบร้านอาม่าอันที่เขาใช้สู้กับก็อบลิน กับอีกเล่มที่เพิ่งซื้อใหม่ล่าสุดขึ้นมาแล้วก็เปิดหน้าต่าง ปีนออกไปอย่างเงียบเชียบ รอนไม่อยากเปิดประตูผ่านทุกคนที่นอนในบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเรียกับโรล่าที่น่าจะยังตื่นอยู่
รอนงับปิดหน้าต่างลงแล้วเดินออกจากบริเวณบ้านของเบรเซอร์ออกมาตรงลานของหมู่บ้าน กองไฟอุ่นหม้ออาหารยังลุกแดงอยู่ ณ เวลาเที่ยงคืนแบบนี้คนที่เฝ้ากองไฟอาหารหลับไปหมดแล้ว ตอนนี้ที่ยังตื่นอยู่มีเพียงคนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้านและทหารม้าคนนึงที่นั่งเฝ้าที่หน้าโรงไม้ที่ม้าทั้งหลายถูกนำไปพักไว้
รอนมองไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดสนิทแบบนี้ทำให้มองเห็นหมู่ดาวมากมายอย่างที่เขาไม่มีโอกาสเห็นในโลกของเขา รอนมองไปที่หมู่ดาวหมีใหญ่ทางทิศเหนือ มองไปที่ดาวที่โคนหางหมี … ไมซ่าและอัลคอร์ ที่อยู่คู่กันอย่างจางๆ
สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตมาสักระยะนึงแล้วก็คือ ดวงดาวและท้องฟ้าของที่นี่มีหมู่ดาวที่เหมือนที่โลก เหมือนกันแม้ในรายละเอียดเล็กๆเช่นเจ้าดาวสองดวงนี้
“คุณรอนดูดาวเหรอครับ”
รอนหันกลับไป เรย์ กัปตันหนุ่มแห่งหน่วยทหารม้าเดินมาจากด้านหลัง
“ครับ ผมกำลังมองดาวนั่นอยู่ … ผมกำลังคิดว่ามองจากที่นี่มันก็เหมือนจากที่มองที่บ้านของผมจริงๆ”
“คุณรอนเห็นดาวตรงนั้นกี่ดวงครับ”
“สองดวงครับ สองดวงอยู่ใกล้ๆกัน”
เรย์ยิ้มให้ “หนึ่งในคุณสมบัติที่ทหารม้าเบาต้องมีคือต้องบอกได้ว่าดาวตรงนั้นมีสองดวงไม่ใช่ดวงเดียว”
รอนพยักหน้ารับ ที่โลกในยุคโบราณในวัฒนธรรมตะวันออกกลางก็มีอะไรแบบนี้ เพราะคนที่จะเป็นทหารม้าที่ต้องออกสอดแนมต้องไม่ใช่คนสายตาสั้น และถ้าสายตาสั้นเกิน100ก็จะมองดาวคู่นี้ไม่ชัด
“ที่นี่มีตำนานหรือนิทานเกี่ยวกับดาวคู่นี้ไหมครับ” รอนถาม
“มีครับ ในซีแลนเดีย ดาวสองดวงนี้คือดาวแห่งคู่ครอง ดวงนึงชื่อวสิษฐ อีกดวงชื่ออรุณธตี ตั้งชื่อตามนักบวชโบราณและภรรยา …”เรย์บอก
“อืม ผมเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลย” รอนตอบ ” ผมรู้จักกลุ่มดาวนี้ทั้งหมดว่าหมีใหญ่ … แต่ถ้าเป็นประเทศของผม เราเรียกกลุ่มดาวนี้ว่ากระบวยตักน้ำ”
เรย์นึกในใจตาม …. ที่นี่เรียกกลุ่มดาวนี้ว่าหมีใหญ่เช่นกัน
และเท่าที่เขาทราบ เขานึกไม่ออกเลยว่ามีที่ใดที่เรียกดาวกลุ่มนี้ว่ากระบวยตักน้ำ …. ว่าแต่กระบวยคืออะไรเขายังไม่รู้จักเลย
เด็กหนุ่มคนนี้มาจากที่ไหนกันนะ
รอนกับกัปตันเรย์เดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนเฝ้าตรงทางเข้า โดยพอลนั่งสัปหงกอยู่ตรงทางเข้า พอลมาเฝ้าที่นี่ทุกวัน ชายหนุ่มคนนี้รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบที่เขาต้องทำหลังจากพ่อของเขาที่เคยทำหน้าที่นี้ได้จากไป ทำให้ชาวบ้านคนอื่นๆที่อายุมากกว่ารู้สึกร่วมไปด้วยว่าจะน้อยหน้ากว่าพอลไม่ได้และมาร่วมกันอยู่เวรยามอย่างขันแข็ง
ชาวบ้านที่เห็นรอนเดินมากับกัปตันเรย์ลุกขึ้นยืนและทักทาย จนพอลตื่นขึ้นมา
“อ้าว ท่านรอนยังไม่นอนเหรอครับ” ชายหนุ่มทัก
รอนส่ายหน้ายิ้มให้ “ยังครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะมานั่งตรงนี้ด้วย….แล้วนี่ผมมานี่ว่าจะของมาให้”
เด็กหนุ่มยกมีดดาบร้านอาม่าในมือขึ้นส่องไฟ อันนึงคืออันที่เขาใช้สู้กับก็อบลินซึ่งมีรอยแตกบิ่นเล็กๆทั่วไป ส่วนอีกอันคืออันใหม่ที่เพิ่งซื้อมา … รอนยกอันที่เพิ่งซื้อให้กับพอล
“แค่หอกกับมีดสั้นผมว่าไม่น่าจะพอ ผมคิดว่าคุณพอลควรมีดาบสั้นติดตัวบ้าง” เด็กหนุ่มบอก
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” พอลปฏิเสธทันที เขาเห็นประสิทธิภาพของดาบนี้จากตอนที่รอนบุกเข้าไปในดงก็อบลินแล้ว ของแบบนี้ต้องไม่ใช่ของราคาถูกแน่ๆ
” คุณพอลอย่าปฏิเสธเลยครับ ยังไงพวกเราต้องช่วยกันปกป้องหมู่บ้านนี้ … อาวุธที่มีคนใช้. ย่อมมีประโยชน์กว่าอาวุธดีที่เก็บไว้เฉยๆ” รอนบอก “ถ้าหากคุณพอลเกรงใจ มีดดาบเล่มนี้จะถือเป็นของหมู่บ้านก็ได้ แต่ใจจริงผมก็อยากให้คุณพอลถือเอง เพราะว่าตำแหน่งที่คุณพอลอยู่เวลาเกิดเหตุทุกครั้งเป็นตำแหน่งสำคัญ และผมก็อยากให้คนที่ใช้ดาบนี้ใช้ได้คล่อง มากกว่าจะผลัดกันใช้ไปแต่ไม่มีประสิทธิภาพ”
พอลรับมีดดาบไปถือไว้ เขาเหวี่ยงขึ้นลงดู น้ำหนักของมันหนักกว่าอาวุธอื่นที่มีใช้ในหมู่บ้าน ดูท่าทางต้องใช้เวลาสักนิดกว่าจะใช้ได้คล่อง
“ดาบนี่น่าสนใจดี ราคาของมันเท่าไหร่หรือครับ” กัปตันเรย์เอ่ยปาก
“ห้าร้อย….” รอนชะงัก “ช่างมันเถอะครับ อย่าไปสนใจราคาของมันเลย”
รอนบอกปัดไปเพราะราคาค่าเงินของที่โลกและที่นี่มันคนละแบบ …. แต่ทั้งหมดไม่พ้นจากการได้ยินของทั้งพอลและเรย์ที่กำลังฟังอยู่ ทั้งคู่ทำตาโตและมองไปที่มีด … ที่ด้ามมีดมีหมึกที่อาม่าเขียนราคาไว้ 500
แม้จะอ่านเลขไม่ออก แต่เลข 0 ก็เป็นเลขสากลที่โลกนี้ใช้เหมือนกัน … และบนด้ามมีดนี้มีเลข 0 สองตัว !
กัปตันเรย์นึกถึงดาบโอริค่อนของคนแคระที่ประมูลเมื่อปีที่แล้วและแม่ทัพใต้ประมูลได้ไปในราคา 700 เหรียญทอง …. ดังนั้นหากดาบเล่มนี้จะมีราคาถึง 500เหรียญทองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
นี่เด็กหนุ่มคนนี้มอบของราคาแพงเช่นนี้ให้ชาวบ้านโดยที่ไม่ได้ขออะไรตอบแทนเลยรึเนี่ย …. !
นอกจากนี้เรย์ยังสังเกตและชื่นชม เพราะว่า แทนที่รอนจะมอบดาบที่ใช้ต่อสู้กับก็อบลินไปแล้วและมีร่องรอยบิ่นแตกเล็กๆ เขากลับเลือกที่จะมอบดาบที่ใหม่กว่าให้ … ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ลักษณะที่คนธรรมดาจะทำกันกับของราคาแบบนี้ มีแต่พวกขุนนางหรืออัศวินที่ยึดศักดิ์ศรีเท่านั้น ที่จะทำอะไรแบบนี้
กัปตันเรย์ขอตัวไปนอนพักผ่อน ในขณะที่รอนก็มานั่งอยู่ยามกับชาวบ้านคนอื่น … แต่คืนนี้นับว่าบรรยากาศทุกอย่างสงบเงียบดี เพราะว่ากลุ่มของก็อบลินกลุ่มใหญ่เพิ่งแตกพ่ายไป …. รอนนั่งอ่านหนังสือเรียนสลับกับลองหัดอาวุธประจำตัวของตนเองให้ชินมือ
** ** **
ในวันถัดมาช่วงสาย ธงสีแดงสี่เหลี่ยมบนเสาค่อยๆเคลื่อนตัวมาตามถนน ทหารราบกลุ่มหนึ่งเคลื่อนเดินมาช้าๆ ทั้งหมดอยู่ในชุดเกราะแผ่นโลหะแบบโรมัน โดยมีเสื้อคลุมสีแดงอยู่ภายใน … เป็นแบบโรมันจริงๆ คล้ายกับทหารโรมันที่เห็นในหนังหรือในเกม ต่างกันเพียงว่าเกราะของทหารเป็นเหล็กที่สีด้านไม่แวววาว โล่ที่ใช้เป็นโล่กลม และที่สำคัญการจัดขบวนเป็นแบบกระจายตัว ไม่เรียงแถวเป็นระเบียบ
กัปตันเรย์ไปยืนที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน เขายืนตรงกำมือขวาพาดไปที่หน้าอกซ้ายแสดงความเคารพผู้บังคับหน่วยทหารที่เดินมา
“ตามสบายเรย์” นายร้อยถอดหมวกโลหะที่มีพู่สีแดงประดับออก “พาข้าไปพบหัวหน้าหมู่บ้านหน่อย”
เรย์พานายร้อยเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปคุยกับเบรเซอร์ รอนยืนมองทหารราบตรงหน้าเขา มีคนที่ดูเหมือนจอมเวทหนึ่งคนอยู่ใจกลางกลุ่ม อาวุธประจำกายขของทหารเกือบทุกคนมีสองชนิด โดยทุกคนจะมีหอกบรอนซ์ยาวประมาณสองเมตร ประมาณ20คนมีธนูห้อยที่หลัง และที่เหลือมีดาบบรอนซ์
ดูแล้วชุดเกราะกับการแต่งกายเหมือนโรมัน แต่อาวุธกลับเหมือนไปทางกรีกมากกว่า
และที่รอนแปลกใจอีกนิดคือ เขานับดูคร่าวๆในกลุ่มนี้มีประมาณ80คน … ถ้าเป็นกองร้อยแบบโรมันจะต้องมี100คนไม่ใช่รึ???
*** *** ***
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกชาวบ้านทุกคนรู้ทั่วๆกัน แล้วถามความเห็นทุกคน … แต่ข้าเชื่อว่าทุกคนจะเห็นตรงกัน”เบรเซอร์บอกนายร้อยก่อนจะเดินออกมาที่หน้าบ้าน เขาเรียกมาเรีย
“มาเรีย ไปบอกทุกคน” ชายชราพูด ” ประชุมหมู่บ้านด่วน”