Midterm Fantasy - ตอนที่ 39
หลังจากเบรเซอร์เรียกประชุมทุกคนก็ทยอยมารวมกันที่กลางลานหมู่บ้านทั้งชาวหมู่บ้านโอลเซ่นและอัลเลน … แต่ละคนสงสัยถึงการเรียกประชุมที่มาพร้อมกับการมาถึงของทหาร
เบรเซอร์ยืนที่กลางลานหมู่บ้าน
“ทุกๆคน ท่านผู้นี้คือนายกองโยฮันแห่งกองร้อยเซ็นจูรี่ที่1 ที่ทางเมืองส่งมา และท่านนี้คือกัปตันเรย์แห่งหน่วยทหารม้าเบาสอดแนมที่1” เบรเซอร์ผายมือไปยังชายทั้งสอง “ซึ่งความจริงตอนแรกท่านเจ้าเมืองกาล่าต้องการส่งเพื่อมาปราบก็อบลิน แต่ว่าตอนนี้มีสถานการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลงซึ่งข้าต้องถามการตัดสินใจจากทุกๆคน”
นายกองร้อยในชุดเต็มยศเดินมาด้านหน้าและมองไปรอบๆ
“ข้าโยฮัน ผู้บังคับหน่วยกองร้อยที่1 เมื่อสามวันที่แล้วได้รับคำสั่งให้เดินทางมาช่วยหมู่บ้านอัลเลนที่ถูกก็อบลินโจมตี พวกเราเดินทางมาตามถนนสายหลัก” เขาพูด “แต่ในวันที่สองของการเดินทาง พวกเราถูกโจมตี”
ชาวบ้านทุกคนเงียบกริบและต่างสงสัยกัน อะไรกันที่กล้าโจมตีกองร้อยที่กำลังเดินทัพได้
“พวกเราถูกโจมตีแบบซึ่งหน้า จากออร์ค…” เขาพูดต่อ
ชาวบ้านส่งเสียงฮือขึ้นมาก่อนจะหันคุยกันด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด โยฮันไม่ได้พูดอะไร … เขามองไปรอบๆ … ครู่เดียวชาวบ้านทั้งหมดก็รอฟังต่อ
“หลังจากการโจมตีรอบแรก พวกมันล่าถอยไป พวกข้าเดินทางไปถึงหมู่บ้านอัลเลนและพบว่าหมู่บ้านถูกทำลายไปแล้ว ….และเนื่องจากเราไม่พบชาวบ้านที่หนีไปทางเราเลย ข้าจึงนำกองทหารมาทางหมู่บ้านโอลเซ่นเพราะเชื่อว่าทุกคนจะหนีมาที่นี่ และขณะเดินทางมาเมื่อวานนี้ พวกเราได้ประทะกับออร์คอีกครั้ง”
“โดยออร์คกลุ่มนี้ รวมกลุ่มกับก็อบลิน …… และเป็นออร์คคนละกลุ่มกับที่เราประทะในครั้งแรก … “
ครั้งนี้ทุกคนส่งเสียงฮือขึ้นมาดังกว่าปกติ ใครคนนึงยกมือร้องถามขึ้น
“เป็นไปได้ยังไงที่ออร์คกับก็อบลินจะรวมกลุ่มกัน”
“เป็นความจริง … กองร้อยของเราเสียทหารไปกับการประทะทั้งสองครั้งรวม18นาย” โยฮันบอก “และออร์คกลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มปกติ ทั้งสองกลุ่มมีกำลังกลุ่มละประมาณ40ตัว มีอาวุธครบมือ มีการรบเป็นแบบแผน และรบคู่กับก็อบลินได้ อย่างน้อยที่สุดพวกมันมีกำลังเท่าๆกับพวกเราหรือมากกว่า”
ชาวบ้านที่รับฟังกลั้นใจฟังอย่างเงียบกริบ แล้วนึกถึงตอนที่ก็อบลินบุกครั้งที่ผ่านมา … บทเรียนสอนให้รู้ว่าการกะจำนวนมอนสเตอร์ผิดนั้นอันตรายมากเพียงใด
รอนฟังแล้วหันไปถามพอลแล้วก็ได้ความว่า ปกติออร์คจะเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่เป็นเผ่าเล็กๆ มีกลุ่มละ20-30ตัวโดยมีตัวเมียและลูกรวมในกลุ่ม ในกรณีปกติพวกมันจะใช้อาวุธไม้หรือหินและออกหากินเป็นกลุ่ม กลุ่มละ5-6ตัว และแม้ว่าโดยหลักแล้วออร์คและก็อบลินจะเป็นมอนสเตอร์ที่ใกล้เคียงกันมาก แต่พวกมันไม่เคยรวมกลุ่มกันได้
ดังนั้นสิ่งที่นายกองโยฮันพูดมาจึงเป็นสิ่งผิดปกติอย่างยิ่ง
” เอาล่ะทุกคน ฟังข้าก่อน” เรย์ก้าวออกไปข้างหน้าบ้าง “ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หน่วยทหารสอดแนมทุกหน่วย รวมถึงข่าวที่ได้จากกิลด์นักผจญภัยบอกตรงกันว่าพบออร์คและก็อบลินมากกว่าปกติและมีคนเห็นการย้ายถิ่นของออร์คหลายกลุ่มมุ่งหน้าไปที่เหมืองเหล็กที่เนินเขาไลก้า … ซึ่งกองทัพสงสัยว่าอาจจะมีการพยายามรวมเป็น Hoard “
“เอาล่ะ ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าต้องการความเห็นจากทุกคนว่า พวกเราจะเลือกทางใดดีระหว่าง ปักหลักอยู่ที่นี่ต่อไป หรือจะอพยพไปอยู่ที่เมืองกาล่าก่อน “
“เอาล่ะ ข้าให้เวลาคิดกันสักครู่ …. แต่ข้าขอออกความเห็นก่อนว่า พวกเราทุกคนรู้ดีว่า ออร์คไม่ใช่ศัตรูที่โง่เหมือนก็อบลิน และพละกำลังมากกว่ามนุษย์ ” เบรเซอร์บอก “และปกติออร์คไม่รวมกลุ่มกัน ข้าเชื่อว่าทุกคนรู้ดีว่าการรวมกลุ่มเป็น Hoard ของออร์คหมายความว่าอะไร”
“แต่ท่านเบรเซอร์ พวกพ้อง เพื่อนบ้าน ญาติมิตรของพวกเราสละชีวิตปกป้องหมู่บ้านกันไว้ ท่านจะให้เราทิ้งหมู่บ้านไปเหรอ” ใครบางคนตะโกนขึ้น
เบรเซอร์หันไปตอบสั้นๆ “คนที่สละชีวิตไป พวกเค้าไม่ได้ตายเพื่อปกป้องหมู่บ้าน แต่ตายเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
ผลการออกเสียงของชาวบ้านเห็นเป็นเอกฉันท์ … เตรียมการอพยพเข้าเมือง
******
ช่วงสาย ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงจอแจของชาวบ้านที่เก็บของเตรียมการอพยพ แต่ละบ้านเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางและการไปอาศัยในบริเวณเมืองซึ่งทุกคนยังไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่นานแค่ไหน เบรเซอร์ มาเรีย และโรล่าต่างวุ่นวายกับการเก็บข้าวของเพราะนอกจากของในบ้านแล้ว พวกเขายังต้องจัดการของส่วนกลางของหมู่บ้านบางอย่างที่จะต้องขนไปด้วย
เพราะหลังจากออกจากหมู่บ้านไปแล้ว พวกเขาทุกคนต้องพยายามใช้ชีวิตที่พื้นที่อพยพในตัวเมืองให้ได้จนกว่าทางการจะจัดการมอนสเตอร์ได้หมด หากไม่ได้นำสิ่งของจำเป็นไปก็จะไม่อาจกลับมาเอาได้อีกเว้นแต่จะเดินทางกลับมาโดยไม่มีทหารคุ้มกันและเสี่ยงต่อการถูกมอนสเตอร์จัดการระหว่างทาง และหลังจากการปราบมอนสเตอร์เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อกลับมาหมู่บ้านอีกครั้งก็ไม่แน่ว่าข้าวของเครื่องใช้ในบ้านอาจจะถูกคนเข้ามาขโมยลักไปแล้วก็ได้
แต่หากนำของติดตัวมากเกินไป การเคลื่อนตัวอาจจะทำได้ช้า หากจำเป็นต้องหนีขึ้นมาก็จะลำบากเช่นกัน
รอนเดินออกจากบ้านไปตามถนนในหมู่บ้าน เขาไม่มีของอะไรให้เก็บมากนัก สิ่งที่เขานึกไว้ว่าพอจะช่วยได้คือการสอบถามสถานการณ์เผื่อว่าจะวางแผนช่วยอะไรได้บ้าง … ความรู้จากหนังสือในห้องศิลาที่เขาถ่ายรูปใส่มาในโทรศัพท์มือถือไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะในนั้นบอกว่าออร์คเป็นเหมือนก็อบลินตัวโตที่ใช้อาวุธทำจากไม้หรือหินและออกหากินเป็นกลุ่มเล็กๆ แตกต่างจากที่นายทหารโยฮันเล่าอย่างสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มตั้งใจจะไปหากัปตันเรย์เพื่อสอบถาม
“กัปตันเรย์และกองทหารม้าออกไปทำการลาดตระเวนรอบๆอยู่” ทหารที่ตั้งค่ายตรงหน้าทางเข้าหมู่บ้านตอบ
รอนลืมไปสนิทเลยว่าทหารม้ามีหน้าที่ลาดตระเวนด้วย แล้วแบบนี้เขาจะถามใครดี
” เธอใช่ไหมที่ชื่อรอน” เสียงดังมาจากด้านหลัง รอนหันไปดู
“ใช่ครับ สวัสดีครับท่านโยฮัน” เขาตอบไป
” เห็นเรย์บอกว่าเธอเป็นนักเดินทางที่มาพักและช่วยปกป้องหมู่บ้านนี้ …. เขาบอกว่าหากเธอมาถามข้อมูลของออร์คให้ลองบอกดูเผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง” โยฮันเอ่ย และยิ้มเมื่อเห็นรอนทำหน้าแปลกใจ “ไม่ต้องแปลกใจหรอก ลักษณะของออร์คและก็อบลินในครั้งนี้มันไม่เหมือนกับที่ผ่านๆมา ทหารอย่างพวกเราเสียอีกที่น่าจะรู้น้อยกว่าพวกนักผจญภัยกับทหารรับจ้าง”
รอนพยักหน้าและนึกถึงคำถามที่เมื่อครู่นี้เขาอยากจะถามกับกัปตันเรย์
” สามวันนี้พวกเราจะพักตรงพื้นที่แบบไหนบ้างครับ” รอนถาม
” วันแรกเราจะมุ่งหน้าไปที่ซากหมู่บ้านอัลเลน วันที่สองเราจะพักตรงใกล้ตาน้ำบนพื้นที่เนินเขา วันที่สามพักตรงทุ่งโล่งเป็นพื้นที่ไร่ และบ่ายวันที่สี่เราก็จะเข้าถึงตัวเมือง” โยฮันตอบ
” เอ๊ะ แต่ที่ท่านเล่า เหมือนว่าทหารเดินทางมาที่นี่ในเวลาสามวันนี่ครับ” รอนถาม “ทำไมกลายเป็น4วันได้ล่ะครับ”
“เธอลืมไปรึเปล่าว่าการเดินทางเข้าเมืองรอบนี้คือการเดินทางโดยมีชาวบ้านไปด้วย” นายทหารถาม
“จริงด้วย” รอนนึกขึ้นได้ว่าถ้าจัดการเดินแบบทหารราบที่ต้องแบบน้ำหนักประมาณ20-30กิโลกรัม จะสามารถทำระยะได้วันละประมาณ30-35กิโลเมตร แต่หากเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือผู้หญิงที่อุ้มลูกเล็ก ระยะทางต่อวันก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นระยะทางที่กองทัพทำได้ใน3วันและต้องรบสองครั้ง ชาวบ้านน่าจะใช้เวลาประมาณ4-5วัน
“แล้วอาวุธและเทคนิกการรบของออร์คที่เจอมาเป็นยังไงบ้างครับ”
“แถวหน้าสุดพวกมันใช้โล่ไม้ขนาดใหญ่เรียงเป็นหน้ากระดาน และแถวที่สองและสาม พวกมันยกโล่ไม้ที่ว่าเรียงซ้อนกันเป็นแนวเหนือศีรษะ แล้วเคลื่อนตัวมาช้าๆ พวกเราไม่สามารถยิงธนูทำอะไรพวกมันได้เลย ทำได้เพียงแค่ให้นักเวทและทหารที่ใช้เวทไฟเป็น ใช้ไฟจัดการ ” โยฮันบอก ” และระยะที่เราจะยิงเวทไฟได้มันก็ใกล้มาก ถ้าเราไม่ยิง พวกมันก็จะเคลื่อนเข้าหาช้าๆ แต่ถ้าพวกเรายิงไฟใส่ พวกมันก็จะแตกกลุ่มออกมาจัดการพวกเรา”
“ตอนแรกที่พวกเราสู้กับกลุ่มแรก พวกเราทั้งหมดตั้งแถวป้องกัน แต่ว่าโล่ของพวกเราเล็กกว่าและออร์คก็แข็งแรงกว่า พอต้องชนกันพวกเราก็แพ้ ต้องถอยหนี”
” ครั้งที่สอง ข้าพยายามจะแยกคนไปล้อมจากด้านหลังแล้วยิงธนูเข้าไป แต่ว่าตรงไหนที่คนน้อยพวกมันก็ส่งก็อบลินที่เคลื่อนที่เร็วบุกโจมตี ทำให้สุดท้ายพวกเราก็ต้องถอยมา”
รอนฟังสิ่งที่นายร้อยโยฮันพูดแล้วเอะใจ
“ท่านครับ การจัดแถวของออร์คที่ท่านว่า มันออกมาเป็นแบบนี้หรือเปล่าครับ”
รอนเอากิ่งไม้ขีดไปบนพื้นวาดรูปคร่าวๆ โยฮันมองดูแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้ว พวกมันจัดกำลังแบบน้ีแหละ” เขากล่าว “เจ้ารู้จักด้วยเรอะ แล้วมันมีจุดอ่อนตรงไหนพอจะรู้ไหม”
รอนหายใจเข้าลึกๆมองนายทหารในชุดทหารโรมันและกองทหารหนึ่งเซ็นจูเรี่ยนตรงหน้าพลางคิดในใจ
‘ตลกร้าย ตลกร้ายมากๆ’
เพราะรูปที่เขาวาดลงบนพื้น คือรูปการจัดแถวแบบTestudo formation หรือการจัดแนวโล่แบบเต่า ซึ่งที่โลก กองทัพที่ใช้กระบวนทัพแบบนี้คือกองทัพโรมัน
ในขณะที่ที่นี่ ทหารที่ใส่ชุดเกราะเหมือนทหารโรมัน ดันใช้แต่โล่กลมๆ และไม่รู้จัก Testudo formation
” ปกติแนวโล่แบบนี้ต้องใช้เครื่องยิงหิน เครื่องยิงหอก หรือหน้าไม้ใหญ่ๆ”
” พวกเราไม่มีมาด้วย”
“งั้นก็ใช้ไฟ หรือเวทไฟ”
” อย่างที่บอกไป ระยะมันใกล้มากไป … พวกเรามีนักเวทแค่คนเดียวที่พอจะยิงลูกไฟได้ไกลๆ ซึ่งพอไหม้โล่เดียวพวกมันก็ทิ้งโล่แล้วเคลื่อนมาช้าๆ แต่พอเข้าระยะที่ทหารทั่วไปใช้เวทไฟระดับล่างได้ ก็ใกล้เกินไปแล้ว พวกมันก็แตกกลุ่มแล้วบุกทันทีอยู่ดี”
“ท่านมีกับดักหรือวงแหวนเวทที่เป็นกับดักไหม พวกกับดักไฟอะไรพวกนั้น”
” คุณรอน …. วงแหวนเวทที่เป็นกับดักต้องใช้เวลาโรยผงเวท มานาที่ใช้ในการจุดไฟก็มากต้องยืนป้อนพลังตรงจุดนั้นซึ่งทำไม่ได้หรอก ออร์ควิ่งออกมาฟันหัวแบะ” โยฮันส่ายหน้า “หรือถ้าจะทำกับดักแบบเหยียบแล้วมีไฟขึ้นมา ก็ต้องใช้ผลึกแกนมอนสเตอร์ระดับ4ขึ้นไปจึงจะจุดไฟได้นานหน่อย สำหรับพวกเราตอนนี้มีแต่ผลึกระดับ2-3ซึ่งจุดไฟได้แค่พริบตาเดียว ข้าว่าขนหน้าแข้งพวกมันอาจจะยังไม่ทันไหม้เลยด้วยซ้ำ”
รอนใช้ความคิดเต็มที่ เค้าจำได้ว่าถึงแม้กระบวนแถวแบบนี้จะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ข้อเสียคือมันช้ามาก และมีวิธีทำลายอยู่ ….. เพียงแต่เขาไม่เห็นอาวุธแบบที่ว่าในกองทหารราบของโยฮันเลยนี่สิ
“ท่านมีอาวุธที่คล้ายๆหอก แต่ว่าตรงส่วนโลหะมันเรียวๆเล็กๆแบบนี้ไหม” รอนวาดรูปลงบนพื้น …โยฮันมองดู
“ท่านหมายถึงหอกไพลั่ม?” โยฮันถาม
“ใช่แล้ว หอกไพลั่ม”
” มี …แต่พวกเราไม่ได้พกมา”
” ห๊ะ ไม่ได้พกมา ทำไมล่ะท่านโยฮัน” รอนร้องเสียงหลง …. หอกนี่มันเป็นอาวุธประจำกายของทหารโรมันเลยนะ …. แล้วนี่พวกท่านแต่เกราะโรมัน แต่ไม่คิดจะใช้อาวุธหรือโล่แบบโรมันสักหน่อยเลยรึ …. รอนคิดในใจ
“ท่านรอนคงไม่รู้อะไร หอกไพลั่มเป็นอาวุธประจำกายแค่ในพิธีเท่านั้น เพราะเวลาพวกเราสู้กับมอนสเตอร์แล้วปาหอกไพลั่มใส่ ส่วนโลหะที่เป็นเหล็กจะงอบิดจนเสียรูปร่าง ถ้าจะใช้ต่อก็ใช้ในการรบนั้นไม่ได้ …. ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมบรรพบุรุษของพวกเราถึงใช้อาวุธนี้ แต่ในยุคนี้นอกจากการสวนสนามเต็มอัตรา ทหารราบแทบจะไม่พกอาวุธนี้กันแล้ว”
“เอ่อ ท่านโยฮัน … ที่ข้ารู้มา หอกไพลั่มเราเอาไว้ปาใส่แถวทหารที่ถือโล่เข้ามาแบบนี้ เพราะพอเราปาเข้าไป ปลายหอกที่งอจะทำให้ด้ามไม้ลงไปปักที่พื้น โล่ที่ถูกหอกปักอยู่จะถูกดันทำให้โล่นั้นเดินตามโล่อื่นๆไม่ทันจนเสียกระบวนแถว”
นายร้อยหรี่ตาคิดตาม แล้วลืมตาโต “จริงด้วย”
“ว่าแต่ถ้าทหารราบไม่มี แล้วทางทหารม้าจะมีพกมาด้วยหรือไม่”
“ข้าจะลองถามเรย์อีกครั้งแล้วกัน” นายทหารบอก
รอนเดินกลับเข้ามาอย่างงงๆท่าทางศึกรอบนี้น่าจะปวดหัวกว่าที่เขาคิดซะแล้ว