Midterm Fantasy - ตอนที่ 41
รอนแวะไปคุยกับเบรเซอร์ก่อนจะออกไปเดินดูรอบๆ หมู่บ้านอัลเลน … พอใกล้เที่ยงคืนเขาก็ไปหลบหลังซากบ้านที่ไฟไหม้หลังหนึ่งไม่ให้ใครเห็น วางดาบและสิ่งของทั้งหมด สะพายแต่เป้เปล่าแล้วรอให้วาร์ปกลับมาที่ห้องในบ้านตัวเอง … เก็บระเบิดปิงปองที่ซื้อมาแต่เอาข้ามไปโลกโน้นไม่ได้ไปไว้ในตู้ … จากนั้นนอน
วันอังคาร หลังจากติวให้แพทหลังเลิกเรียน ฝากผลึกให้พ่อแพทอีก รอนก็ไปซื้อของเพิ่มเติม … ร้านอาม่ายังคงปิดเงียบ
เที่ยงคืน เขาวาร์ปกลับมาที่หมู่บ้านอัลเลนอีกครั้ง นำของที่ขนมาจากโลกของเขามาวางเรียงกัน
– ยา : เขาถามจากโอเดียน พบว่าตอนที่หนีมาจากหมู่บ้าน ไม่ได้เจอกับพ่อค้าเร่กลาสที่เขาฝากยาไปให้ … ดังนั้นรอนเลยซื้อยามา คงต้องฝากคุณรอคโค่ให้ตรวจว่าใครเป็นบ้างแล้วจ่ายยาไป
– ไฟฉาย : ไฟฉายอันเดียวอาจจะไม่พอ รอนเลยซื้ออันใหม่มา เผื่อว่าให้คนที่อยู่เวรยามได้ส่องไฟ
– ถ่านไฟฉาย : 6 ก้อน … น่าเสียดายที่เขาหาซื้อเป็นแพ็คกล่องใหญ่กว่านี้ไม่ได้
รอนกลับไปตรงลาน แล้วก็นั่งอ่านหนังสือในโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ … การมีสกิลไม่ต้องนอนมันก็ดีตรงที่ไม่รู้สึกง่วงเลย แต่ข้อเสียคือถ้าไม่มีอะไรให้ทำเลยเขาก็เบื่อสุดๆ ดังนั้นรอนเลยนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เขาอ่านไปจนถึงตี3
“คุณรอนยังไม่นอนเหรอครับ” ชายคนนึงเดินเข้ามา รอนเงยหน้ามองดู … เป็นนักเวทคนเดียวประจำกองร้อยนี่เอง
“อ๋อ ผมพักไปแล้วช่วงนึงครับ” รอนบอกไปเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย “มีอะไรเหรอครับ”
“พอดีผมเห็นคุณรอนถือหนังสือเวทมนตร์อยู่ เลยสนใจมาดูน่ะครับ” นักเวทคนนั้นชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือซึ่งมีแสงสว่างออกมา “ผมเคยเห็นหนังสือเวทมนตร์สมัยที่เรียนอยู่ แต่ไม่เคยเห็นเล่มไหนที่เล็กแบบนี้เลย”
รอนยิ้มและส่งโทรศัพท์ให้นักเวทคนนั้นดู เขาใช้นิ้วเลื่อนภาพให้ นักเวทคนนั้นรับไปดูอย่างสนใจ
“เปิดดูได้เร็ว มีแสงสว่างในตัวเอง ผมไม่เคยเห็นหนังสือเวทมนตร์แบบนี้มาก่อนเลย” เขาบอก “ในนี้เป็นภาษาของประเทศบ้านเกิดคุณรอนเหรอครับ”
“ใช่ครับ ในนี้เป็นหนังสือเรียนในโรงเรียนของผม” รอนบอก
“คุยกันตั้งนาน ลืมแนะนำตัวไปเลย” นักเวทบอก “ผมชื่อแอริส เป็นนักเวทระดับ 4 ”
ทั้งสองคนคุยกันอีกพักใหญ่ๆ
รอนถามเรื่องระบบเวทมนตร์ที่มีใช้ในโลกนี้เพิ่มเติม ดูเหมือนว่าเวทมนตร์สายหลักที่มนุษย์ทุกคนที่เข้าระบบโรงเรียนจะได้เรียนก็จะมีเวทดิน น้ำ ลม ไฟ และแสงสว่าง แต่เอาเข้าจริงๆคนทุกคนบางครั้งคนที่เรียนก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แบ่งตามสาย บางเวทก็มีนักเวทที่เห็นไม่ตรงกันว่าจะอยู่สายไหน ซึ่งสายของเวทที่ไม่ใช่สายแสงสว่างกับความมืด แทบทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
จากที่รอนรู้มา การจะเป็นนักเวทได้ต้องสามารถใช้เวทระดับ3ขึ้นไปได้ ซึ่งความแตกต่างของนักเวทและคนทั่วไปก็อยู่ที่ความจุของมานาของแต่ละคน หากมีความจุของมานามาก คนๆนั้นก็มีโอกาสที่จะใช้เวทระดับสูงได้และคนๆนั้นก็มักจะเลือกไปในสายของนักบวช นักเวทหรือนักรบเวทไป
ส่วนคนที่ระดับความจุของมานาน้อย โอกาสที่จะใช้เวทมนตร์ระดับสูงก็จะมีน้อย ทำให้มักจะเลือกเส้นทางอาชีพไปในทางนักรบมากกว่า
ความจุของมานานั้นเพิ่มได้ ฝึกได้ แต่ยากมากและต้องทำตั้งแต่เด็ก ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงถือว่าการจะเป็นนักเวทได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคว่ามีความจุมานามากหรือไม่ ซึ่งสำหรับแอริส มีความจุของมานามากกว่าคนอื่นๆจึงมาเป็นนักเวทได้ และด้วยอายุที่ไม่มากเขายังมีโอกาสพัฒนามากกว่านี้อีกเล็กน้อย … และมีโอกาสเป็นนักเวทระดับสูงขึ้นกว่านี้ได้
เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ความจุของมานาน้อยมาก โดยมากจะใช้เวทระดับ1-2ได้เพียงครั้งสองครั้งก็หมด อย่างเช่นเบรเซอร์เองที่ใช้Wind Shieldได้ไม่เกิน3ครั้ง สำหรับแอริสสามารถใช้เวทนี้ซ้ำไปมาได้หลายสิบครั้ง
“ว่าแต่ผมชักสนใจแล้วสิว่าผมจะหัดเวทได้ยังไง” รอนเอ่ยขึ้น ตั้งแต่เขาข้ามมายังโลกนี้ เขายังไม่รู้วิธีใช้เวทเลย
“คุณรอนใช้เวทไม่ได้เหรอครับ?” แอริสแปลกใจเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินทหารคนอื่นๆลือว่ารอนมีHealing Aura อันเป็นคุณสมบัติของPaladinซึ่งต้องใช้มานาพอสมควรเลย
“ใช้ไม่ได้ครับ” รอนบอก
“อืม เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเรากลับไปถึงเมืองกาล่า คุณรอนอาจจะไปที่โรงเรียนฝึกนักเวทเพื่อไปทดสอบมานา” นักเวทหนุ่มบอก ” หรือไม่จะไปหาผมก็ได้ ผมอาศัยอยู่กับน้องสาวสองคนที่บ้านตรงตรอกไทรแองเกิล บอกคนแถวนั้นว่าบ้านของนักเวทที่ชื่อแอริสทุกคนก็รู้จักหมดแหละ”
“อยู่กันแค่สองคน?”
“ครับ พ่อแม่ของเราตายไปหลายปีแล้ว … เราอยู่ด้วยกันสองคนมาตลอด และที่ผมมาเป็นนักเวทและสมัครเข้ากับกองทัพทั้งที่รายได้น้อยกว่าไปเป็นนักผจญภัย ก็เพราะว่าอย่างน้อยนักเวทในกองทัพก็ต้องไปพร้อมคนเป็นร้อย ไม่เหมือนนักผจญภัยหรือทหารรับจ้างที่แต่ละทีมมีคนแค่5-10คน” แอริสบอก ” แต่เงินเดือนก็น้อยจริงๆแหละ … สร้อยคอนี่ ผมซื้อมาก่อนจะเดินทางเพราะเธอเคยบอกนานแล้วว่าอยากได้ … แค่จะซื้อสร้อยนี่ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย”
รอนดูสร้อยในมือแอริสแล้วยิ้ม เขาไม่มีน้องสาว เลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายสักเท่าไหร่
ถ้านึกดีๆ แต่ก่อนเองเขาไม่เคยมีความรู้สึกอยากทำอะไรแบบนี้ให้ใคร เขาแค่ตื่นเช้าไปโรงเรียน เลิกเรียนมาเล่นเกม
แต่ไม่กี่สัปดาห์นี้ เขาเปลี่ยนความคิดไปมาก เพราะอย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขามีเรื่องที่อยากทำให้คนอื่น
อยากเรียนให้ได้คะแนนดีเพื่อจะได้ให้พ่อแม่สบายใจ
อยากติวให้แพทสอบได้คะแนนดีได้เรียนในแบบที่เธอตั้งใจ
อยากช่วยชาวบ้านให้รอด เพื่อให้โรล่ามีความสุข
อยากช่วยชาวบ้านทุกคนในที่นี้ ทุกคนที่นี่น่ารักและนิสัยดี เขาอยากให้ทุกคนมีความสุข
… รอนไม่เข้าใจนิดๆว่าทำไมเขาต้องแยกเรื่องสุดท้ายเป็นสองข้อ … แต่ช่างมันเถอะ
ทั้งสองคนนั่งมองออกไปยังความมืดมิดนอกหมู่บ้านใต้ธงทหารสีแดงที่ถูกปักเอาไว้ใกล้ๆแอริส …. เขามองไปที่ท้องฟ้า …
จู่ๆก็มีแสงไฟเป็นลำ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดมิด … ท้องฟ้าด้านนั้นสว่างอยู่ชั่วครู่หนึ่งก็ดับไป
“สัญญาณที่ผมวางไว้ทำงานแล้ว”
รอนมองดูนาฬิกาข้อมือ เข็มสั้นชี้ไปที่ตี5
กับดักสัญญาณถูกวางตอน3-4ทุ่ม
หมายความว่ามีเวลาอีก8ชั่วโมง … ไม่สิ น้อยกว่านั้น เพราะว่าอีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว พวกนั้นก็จะเดินทางได้เร็วขึ้นเช่นกัน
นี่ถ้าพวกเขายังไม่ออกจากหมู่บ้านมาล่ะก็….ตอนนี้คงกำลังสู้กับพวกออร์คเป็นแน่
“นั่นใช่สัญญาณที่นายวางไว้หรือเปล่า” นายร้อยโยฮันเดินเข้ามาพร้อมทหารอีก 2 นายมายังแอริส
“ใช่ครับ นั่นเป็นสัญญาณที่ผมวางไว้” แอริสตอบ “จุดที่วางเป็นหลังจากที่เดินออกจากหมู่บ้านได้ประมาณ 1500ก้าวครับ ”
“งั้นไปเตือนชาวบ้านกันได้ เราคงต้องรีบออกเดินทางกันแล้ว” โยฮันสั่งทหารให้ไปเตือนชาวบ้านที่เพิ่งเริ่มตื่นนอนกัน”
ทหารทั้งสองนายรีบวิ่งไปบอกชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นให้รู้ แต่ละคนรีบบอกคนอื่นต่อๆกันไป เบรเซอร์และเรย์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงจากหน้าทางเข้าหมู่บ้านก็เข้ามาหา
“อีกนานไหมกว่าพวกนั้นจะมาถึง” เบรเซอร์ถาม
“พวกนั้นน่าจะมาถึงที่นี่ตอนสายๆ” โยฮันตอบ
“พวกเราจะหนีหรือจะตั้งหลักที่นี่ดี” เบรเซอร์ถามอีกครั้ง
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะมองไปที่รั้วที่ป้องกันหมู่บ้านอยู่ ตอนนี้มีจุดที่เป็นจุดอ่อนของกำแพง 4-5 จุด บวกกับทางเข้าอีก 2 จุด … พอจะป้องกันออร์คได้อยู่บ้าง
แต่…
“ผมว่าเราควรออกจากที่นี่” เรย์บอก
“ผมเห็นด้วยครับ” รอนพูดตาม
“เห็นด้วยเช่นกัน แต่ขอฟังเหตุผลของเธอหน่อย” โยฮันเอ่ย
“ที่นี่ถึงจะมีรั้ว แต่ว่าพวกก็อบลินและออร์คน่าจะใช้ไฟได้ ถ้ามันใช้ไฟเผาหมู่บ้านซ้ำอีก ทั้งควันไฟและความร้อนจะทำให้ข้างในหมู่บ้านสับสน เราจะลำบาก” รอนบอก “และถ้ามีการเผารั้วหมู่บ้านแบบที่ก็อบลินชุดที่แล้วเพิ่งทำไป เราก็จะป้องกันลำบากครับ”
“จากตรงนี้ไปจะเป็นพื้นที่ราบโล่ง พวกเราจะใช้ทหารม้าได้ดีกว่าอยู่ในหมู่บ้านครับ” กัปตันเรย์ตอบ
“ได้ คุณเบรเซอร์มีความเห็นอย่างอื่นไหม” โยฮันถาม
“ไม่มี” ชายชราตอบสั้นๆและพยักหน้าตาม
“งั้นพวกเราเร่งเก็บของแล้วออกเดินทาง”
ชาวบ้านเก็บของอย่างรวดเร็วและเริ่มเดินทางต่อ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า ถนนตรงหน้าเห็นเด่นชัดขึ้น แต่ละคนช่วยกันขนข้าวของและพารถลากเคลื่อนตัวไปตามถนน
ทั้งทหารและชาวบ้านเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง พื้นที่สองข้างทางโล่งปราศจากต้นไม้ใหญ่ มีเพียงพุ่มไม้เล็กๆและต้นหญ้าขึ้น ตอนนั้นเองที่ทุกคนในขบวนได้ยินเสียงหวีดดังขึ้นบนท้องฟ้า
“วี๊ดดดดดดด”
บนท้องฟ้าทางด้านหลังไกลออกไปอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งพวกเขาเพิ่งเดินทางออกมา มีภาพธงสีแดงสะบัดอยู่ 4-5 ครั้งก่อนจะหายไป
ก่อนจะออกจากหมู่บ้าน แอริสได้วางวงแหวนเวทสัญญาณสำหรับเวลากลางวันไว้ ถ้าหากมีมอนสเตอร์จำนวนมากพอข้ามผ่านมา ก็จะเกิดสัญญาณเสียงและมีภาพธงโบกสะบัดบนท้องฟ้า
“ดูเหมือนพวกมันจะเคลื่อนกำลังเร็วกว่าที่เราคาดไว้” เบรเซอร์ส่ายศีรษะ
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพวกชาวบ้านมีคนแก่และเด็กมาด้วยประกอบกับต้องลากรถสัมภาระ ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นมอนสเตอร์ที่มีแต่พวกที่มีกำลังในการไล่ล่า
แถมตอนนี้ก็สว่างแล้ว ความเร็วในการไล่ติดตามก็ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
“กัปตันเรย์!”
“ครับ!”
“ให้กองทหารม้าหลบอยู่บริเวณนี้ก่อน พอพวกมันมาถึงให้หาทางก่อกวนแล้วล่อพวกมันให้ไปในทิศทางอื่น”
“ครับ!”
กัปตันเรย์ดึงม้ากลับไปแล้วบอกทหารม้านายอื่นๆ … แต่ครู่หนึ่งเขาก็ชักม้ากลับมา
“คุณรอน”
“ครับ?”
“หอกไพลั่มที่คุณบอกว่าจะใช้ พวกเราขอฝากไว้กับพวกคุณแล้วกัน” เรย์บอกแล้วดึงหอกซัดที่แขวนที่ข้างอานม้าให้ โยฮันสั่งชาวบ้านให้ไปช่วยกันรับมา
ยังไงก็ตามแต่ ทหารม้าต้องรับหน้าที่หนักในการวิ่งไปมา การลดน้ำหนักให้เบาที่สุดก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำอยู่แล้ว
หอกถูกนำไปวางตามรถลากของชาวบ้านและเข็นไปพร้อมกัน
ทหารม้าวิ่งกระจายสำรวจพื้นที่เพื่อวางเส้นทางในการควบม้าล่อ ส่วนขบวนชาวบ้านและทหารราบก็เดินมุ่งหน้าต่อไป
2ชั่วโมงผ่านไป แดดเริ่มจ้าขึ้น รอนมองดูนาฬิกาบอกเวลา 9 นาฬิกาโยฮันส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดพักเนื่องจากตรงจุดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นเนินเขา แต่ละคนยังเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นทางลาดอยู่
รอนมองไปรอบๆอย่างกังวล เหลือเวลาให้เดินอีก4-5ชั่วโมงก่อนที่จะตั้งแคมป์ตอนเย็น แต่ว่าเพียงแค่ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว เบรเซอร์และพอลเดินแยกไปอยู่อีกด้านหนึ่งของเนินแยกจากชาวบ้านคนอื่นๆ เขาเรียกรอนให้เข้าไปหา
“ครับ คุณเบรเซอร์” รอนเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านผู้ชรา
“คุณรอนคุยเรื่องแผนการป้องกันไว้กับนายกองโยฮันแค่ไหน”
“ครับ? ก็คุยไว้เรื่องการทำลายแนวโล่ของพวกมันครับ ผมเตรียมวิธีไว้2-3วิธี”เด็กหนุ่มตอบ
“ว่าแต่คุณรอนได้คิดไว้ไหมว่าถ้าไม่สำเร็จจะทำยังไงต่อ” เบรเซอร์ถาม
รอนยืนนิ่งไปครู่นึง จะว่าไปเขาไม่ได้คิดแผนเผื่อไว้เลยว่าจะทำยังไงต่อเลย … แต่ท่านโยฮันน่าจะคิดแผนเผื่อไว้แล้วนี่นะ
“งั้นข้าขอถามตรงกว่าเดิม ท่านคิดว่าถ้ากองทหารของท่านโยฮันจัดการกับการป้องกันของออร์คไม่ได้ … ทหารจะทำยังไงต่อ” เบรเซอร์ถามนำ
“ก็ต้องสู้สิครับ เพราะต้องปกป้องชาวบ้านที่อยู่ตรงนี้ ….. อ๊ะ…” รอนพูดขึ้น ก่อนจะชะงักและคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เบรเซอร์มองหน้ารอนและยิ้มให้เป็นครั้งแรก “ท่านตอบใหม่ได้นะ”
รอนคิดอีกครั้งอย่างตั้งใจ
หน้าที่ของโยฮันและเรย์คืออะไร
กองทหารนี้เป็นกองทหารจากเมืองกาล่าที่ถูกส่งออกมาเพื่อช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านสู้กับก็อบลิน
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วจากที่ต้องสู้กับก็อบลินเป็นต้องสู้กับออร์คและก็อบลิน และไม่ใช่การต่อสู้แบบธรรมดาหากแต่เป็นการสู้กับออร์คที่มีการรวมกลุ่มเป็นกองกำลังที่ผิดไปจากปกติ
เมืองกาล่าไม่ได้มีทหารมากมาย ทั้งยังมีประชาชนที่ต้องปกป้องจำนวนมากกว่าชาวบ้านหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้
หากต่อสู้กับออร์คแล้วไม่สามารถมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ หรือคิดว่าหากสู้แล้วต้องสูญเสียมากๆ ……
” ….. ทหาร อาจจะต้องถอย และปล่อยพวกเราเอาไว้ ” รอนเอ่ยขึ้นในที่สุด
ทหารคงไม่ต่อสู้อย่างเปล่าประโยชน์แต่คงเลือกที่จะถอย ….. และความเร็วในการเคลื่อนกำลังของทหารก็มากกว่าชาวบ้านมากนัก ถ้าทหารถอยไป พวกออร์คก็ต้องตามชาวบ้านทันอย่างแน่นอน
เบรเซอร์พยักหน้าให้ “ข้าคิดว่าท่านคงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะสังเกตได้ว่าท่านไม่เคร่งเครียดกับสถานการณ์มาก … แต่ข้าก็ดีใจที่เพียงแค่คำถามเดียวท่านก็สามารถฉุกคิดได้ “
“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ” รอนถามอย่างร้อนรน เขายังนึกทางออกไม่ได้เลย
“ฮ่าฮ่า คุณรอนอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น … ที่จริงข้าว่าในบรรดาคนทุกคนที่อยู่ที่นี่ นอกจากเด็กทารกที่ดูดนมแม่อยู่กับท่านซึ่งไม่ใช่คนที่นี่… ทุกคนต่างรู้ถึงความจริงข้อนี้ดีอยู่แล้ว”
“ข้าเองจัดการแบ่งหน้าที่และแจ้งชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเกิดการรบขึ้นแล้วทหารสู้ไม่ได้และเริ่มทำการถอย พวกเราจะต้องทิ้งของทุกอย่างแล้วรีบถอยหนีทันที” เบรเซอร์บอก ” ท่านนักบวชรอคโค่จะพาพวกผู้หญิงและเด็กไป คนหนุ่มๆจะตามหลัง และคราวนี้จะให้พวกคนแก่ๆเป็นกลุ่มที่รั้งท้าย”
“ทำไมต้องเป็นคนแก่ครับ”
“เหตุผลง่ายๆคือ ตอนนี้พวกเราห่างจากเมืองมาก คนที่หนีจะต้องทิ้งของแล้วหนีเข้าหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด พวกคนแก่ๆหนีไม่ทันอยู่แล้ว” ชายหัวหน้าหมู่บ้านบอก “เหตุผลที่สองคือ คนที่ควรจะทำหน้าที่รั้งท้ายตายไปกับการสู้กับก็อบลินหมดแล้ว ดังนั้นกลุ่มถัดมาก็ต้องเป็นพวกเราที่แก่ๆนี่แหละ”
รอนทำสีหน้าบอกไม่ถูก เบรเซอร์ตบบ่าแปะๆ
“คุณรอนไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก …โน่น! ฝุ่นตลบมานั่น กัปตันเรย์กับกองทหารม้าคงมากันแล้ว”
รอนโล่งใจขึ้นอีกนิดนึง …อย่างน้อยพวกเขาจะได้เดินทางต่อตามแผนเดิมกันเสียที ….
เด็กหนุ่มมองไปยังฝุ่นที่ลอยขึ้นมา …. และหน้าถอดสีเพราะนั่นไม่ใช่กองทหารม้า
…. แต่เป็นออร์คและก็อบลินกลุ่มใหญ่ ที่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา !