Midterm Fantasy - ตอนที่ 53
รอนมองดูชาวเมืองที่กำลังรอรับยาด้วยในหน้าอันมีความหวัง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าภาระอันหนักอึ้งได้ถูกปลดเปลื้องไปอีกอย่างหนึ่ง ต่อจากนี้เขาจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำอื่นๆเสียที
รอนเช็คดูหน้าจอการข้ามมิติของเขา ตรงมุมขวาบนสุดมีตัวเลขระบุไว้อยู่ จำนวนตัวเลขเพิ่มขึ้น … เช่นเคยคือเขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และแม้ว่าจะเคยลองพยายามใช้วิธีต่างๆที่นึกได้ในการค้นหาความหมายของมัน แต่ว่าเขาก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี
ส่วนตัวการปรับเวลาการข้ามมิติที่ตอนนี้ยังเป็น12ชม. เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็น24ชั่วโมง ….รอนคิดว่าจะรอนให้ชาวหมู่บ้านโอลเซ่นอยู่ตัวดีก่อน เขาจึงจะปรับเป็น24ชม.
ส่วนSynchronize …. มันคืออะไรนะ
รอนกดเลือกดู
….
[หากท่านเลือกใช้ จะปรับเวลาทั้งสองโลกให้ตรงกัน]
[ขณะนี้เวลา “ไม่เท่ากัน” 3เดือน]
รอนกดปิดหน้าจอนี้ เขายังไม่เข้าใจมันอยู่ดี รอก่อนดีกว่า …..
เขาเดินกลับเข้าไปในกระโจม นอกจากกล่องยาที่ถูกเปิดออกแล้วและขวดยาเปล่าที่วางเรียงรายกันอยู่ มีเตียงอยู่2เตียง
เส้นผมสีทองของโรล่าโผล่ออกมาจากผ้าห่ม ตาที่ปิดสนิทและทรวงอกที่ยกขึ้นลงตามการหายใจช้าๆทำให้เห็นว่าเด็กสาวกำลังหลับสนิทอยู่
รอนมองใบหน้าเด็กสาวที่กำลังหลับอยู่แล้วยิ้ม นอกจากต้องเดินทางมาทั้งวันแล้ว เธอยังออกไปช่วยชาวบ้านในการดูแลคนป่วย … และยังต้องรับมือกับชื่อเสียงที่ได้มาจากการฆ่าแม่ทัพออร์ค
ในช่วงหลายวันต่อจากนี้พวกเขาจะต้องอยู่ในเต้นท์นี้ไปก่อนเพื่อตบตาคนภายนอกว่ามีการปรุงยาอยู่ภายในนี้
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมดังมาจากด้านหลัง …รอนหันไปสบตามาเรียที่เดินเข้ามา … มาเรียเช็ดผมที่ยังไม่แห้งดีก่อนจะค่อยๆขึ้นไปนอนกอดโรล่าบนเตียงนั้นแล้วไม่สนใจรอนอีก ….เด็กหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะดับไฟตะเกียงแล้วออกมานอกกระโจม
เขาสงสัยมาสักพักแล้วว่ามาเรียดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาสักเท่าไหร่ และมีบางครั้งที่เธอเหมือนจงใจเข้ามาชวนพูดคุยระหว่างที่เขาคุยกับโรล่า … ถ้าหากไม่สังเกตดีๆคนอาจจะคิดว่ามาเรียมาแอบชอบหรือหาโอกาสคุยกับเขา แต่รอนรู้สึกได้ว่าไม่ใช่ … หากแต่เป็นมาเรียหวงโรล่า
ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นการหวงในรูปแบบใด แบบพี่หวงน้อง แบบคนรัก หรือเพราะไม่ไว้ใจเขา … แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนรอนก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรและเขาก็เข้าใจได้ถึงความรู้สึกของมาเรีย … เพราะเธอสูญเสียเพื่อนๆที่เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยใต้ชายคาเดียวกันไปหมด เหลือกันอยู่เพียง 2 คน แล้วจู่ๆผู้ชายที่ไหนไม่รู้เข้ามาในหมู่บ้านและมาสนิทสนมกับเพื่อนคนสุดท้ายที่เหลืออยู่
เป็นใครก็ต้องเกิดปฏิกิริยาแบบนี้อยู่แล้ว
สำหรับรอน เขาไม่มีความไม่พอใจใดๆ … มาเรียคือครอบครัวของโรล่า และตัวเขาเองก็อยากให้โรล่ามีความสุข
ใช่แล้ว เขาอยากให้คุณโรล่ามีความสุข
รอนรู้ตัวมาสักพักหนึ่งแล้วว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเด็กสาวคนนี้ต่างจากความรู้สึกที่เขามีให้กับคนอื่นๆในโลกนี้ที่เขาเจอมา
รอนรู้สึกดีและผูกพันกับพ่อเฒ่าเบรเซอร์ที่สอนวิชาให้ , กับพอลชายหนุ่มที่ขยันและทำทุกอย่างเพื่อคนในหมู่บ้าน , กับนายกองโยฮันและกัปตันเรย์ ที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกัน , กับมาเรียที่เป็นครอบครัวเดียวกันกับโรล่าและเบรเซอร์
แต่กับโรล่า เขารู้สึกมากกว่านั้น … เป็นความรู้สึกที่มีตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ความรู้สึกสงสารอันเกิดจากการเห็นสายตาที่ดูว่างเปล่าและสิ้นหวัง ความรู้สึกเป็นห่วง ตอนที่เธอตกอยู่ในอันตราย ไปจนความรู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นเด็กสาวมีความสุข
เป็นความรู้สึกคล้ายๆกับที่เขารู้สึกให้กับพ่อ แม่ ปู่ย่าตายาย … จะมีคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวอีกคนนึงที่เขารู้สึกคล้ายๆกันก็คือ แพท
เป็นความรักหรือไม่ … เขาไม่รู้
เขารู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ปกติเท่านั้นเอง
เด็กหนุ่มไม่อยากรบกวนเด็กสาวทั้งสองที่กำลังหลับอยู่ จึงเดินออกจากกระโจมอีกครั้งไปด้านนอก รอนเดินตรงไปที่จุดแจกจ่ายยาว่าจะไปคุยกับคุณกลาสสักหน่อย … แต่ว่าเมื่อไปถึงก็เห็นคุณกลาสหลับที่พื้นตรงข้างๆโต๊ะแจกจ่ายยา … ทุกโต๊ะมีตัวอักษรเขียนเป็นภาษาซีแลนเดียวางไว้ว่า “ ARMAMENT ” ซึ่งเป็นความตั้งใจของรอนเองที่อยากจะตั้งร้านค้าในเมืองนี้ … และอยากจะให้พ่อค้าเร่กลาสเป็นผู้จัดการดูแลร้านนี้ …
รอนคิดว่ากลาสไว้ใจได้ เพราะแทนที่เขาจะขายยาแล้วหากำไรอย่างที่รอนแนะนำไว้ตอนแรก … กลาสกลับแจกจ่ายยาให้ฟรีๆยอมสูญเสียกำไรเพื่อให้คนป่วยหาย
ถ้าหากในอนาคตเขาจะต้องไปๆมาๆระหว่างสองโลก เขาก็อยากจะมีแหล่งรายได้ที่มั่นคงและมากพอที่จะเอาไปใช้ทำในสิ่งที่อยากทำ … และพ่อค้าคนนี้ก็เป็นตัวเลือกที่โอเค
แต่รอนก็ไม่ได้ไว้ใจไปเสียทั้งหมด … ที่เขาให้เขียนคำว่า ARMAMENT ไว้ นอกจากจะเป็นการโฆษณาร้านที่จะเปิดในอนาคตไปในตัวแล้ว ยังเป็นการให้ชาวเมืองเชื่อมโยงคำนี้เข้ากับตัวของเขา
ทุกคนรู้ว่าพ่อค้ากลาสรับยามาจากรอน
และเมื่อเห็นคำๆนี้ในระหว่างการแจกยาของรอน และมีการตั้งร้านในภายหลัง คนก็จะรู้ว่าร้านนี้คือร้านของเขา
ต่อให้ในอนาคต คนที่ไว้ใจให้ดูแลร้านเกิดโกงหรือยึดร้านเป็นของตน … คนทั่วไปก็จะยังเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของอยู่ดี
เด็กหนุ่มนั่งอ่านหนังสือในมือถือไปเรื่อยๆจนฟ้าสว่าง ชาวเมืองเริ่มหุงหาอาหารกัน รอนดูทหารที่เดินตรวจตราตามถนนในเมือง … ทหารในเมืองใส่ชุดเกราะโรมันชนิดเกล็ดถือหอกเดินเป็นกลุ่มประมาณ 10 คน
ตัวเมืองเป็นบ้านเรือนทำจากไม้และหินลักษณะเหมือนบ้านในยุคกลาง หลังคาเป็นแผ่นที่ไม่แน่ชัดว่าทำจากไม้หรือกระเบื้อง มีหลากสีสรรไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาล แดง หรือสีฟ้า ตรงบริเวณรอบๆนี้มีร้านขนมปัง ร้านขายธัญพืช ที่ไกลออกไปมีร้านค้าอีกหลายร้าน ซึ่งรอนมองป้ายไม่ชัดว่าเป็นร้านอะไร
“ท่านรอนตื่นแล้วเหรอคะ” เสียงหญิงสาวดังมาจากข้างหน้า
“สวัสดีครับท่านมีอา” รอนทักไป
“ดูเหมือนทุกอย่างเรียบร้อยดีนะคะ” เธอบอก “แล้วนี่ท่านรอนกำลังทำยาที่จะแจกจ่ายตอนเที่ยงนี้แล้วใช่ไหม”
“ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ส่วนเรื่องยาขั้นตอนทั้งหมดก็เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่รอให้ครบเวลาเท่านั้นเอง” รอนตอบไป
หญิงสาวพยักหน้าให้ … รอนสังเกตดูชุดที่มีอาสวมใส่วันนี้ เป็นชุดที่ทำจากผ้า มีเพียงเกราะหนังขนาดเล็กปิดที่หน้าอกด้านซ้ายและรองเท้าบู้ทหนังที่คลุมถึงหน้าแข้ง กับดาบบรอนซ์ที่คาดไว้ที่เอวเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป
“ ผมอยากจะให้คุณมีอาช่วยอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ” รอนเอ่ยปากถาม
“คะ?”
“ผมอยากเห็นโรงตีดาบของที่นี่น่ะครับ จะเป็นที่ไหนก็ได้”
“โรงตีดาบ? ท่านรอนหมายถึงโรงทำดาบใช่ไหมคะ” มีอาตอบ
“ใช่ครับ ผมอยากเห็นวิธีการทำดาบของช่างทำดาบในเมืองนี้หน่อยน่ะครับ” รอนบอกไป
มีอายิ้มให้ สิ่งที่เด็กหนุ่มขอมานั้น ด้วยฐานะของเธอจะขอให้ช่างทำดาบสักร้านนึงเปิดร้านสาธิตวิธีการทำดาบให้ดูไม่ใช่เรื่องยากเลย ดีเสียอีก รอนจะได้ประทับใจกับเมืองนี้มากขึ้น
“ได้ค่ะ …. ท่านรอนจะไปดูตอนนี้เลยไหมคะ เพราะช่างทำดาบจะเตรียมตัวเตรียมอุปกรณ์ทำดาบกันตั้งแต่เช้าเลย”
รอนพยักหน้าให้ มีอาจึงเดินพาเด็กหนุ่มไปตามถนน เป็นถนนที่มุ่งหน้าไปยังปราสาท … รอนทราบจากคนอื่นๆแล้วว่ามีอาเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองทั้งยังเป็นนักดาบฝีมือเยี่ยมที่สุดของเมืองนี้ และเขาสังเกตว่าเมื่อมีอาเดินผ่านไป ทหารและชาวบ้านจะยิ้มทักทายหรือทำความเคารพให้ตลอดเส้นทาง … แสดงให้เห็นถึงความรักและนับถือในตัวหญิงสาวคนนี้ที่ชาวเมืองมีให้ … เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่คิดจะลงทุนในเมืองนี้
ทั้งคู่เดินทางไปถึงซอยที่มีร้านอาวุธ ชุดเกราะและโล่ป้องกัน คนที่เดินในบริเวณนี้แม้จะยังบางตาแต่คนส่วนใหญ่ใส่ชุดเกราะหนังหรือมีอาวุธติดตัวมากกว่าจุดอื่นๆที่ผ่านมา
“ตามปกติที่นี่จะคึกคักกว่านี้ค่ะ” มีอาบอกเมื่อเห็นว่ารอนมองผู้คนที่เดินไปมา “เพียงแต่ช่วงนี้เมืองของเรามีโรคระบาด ทำให้นักผจญภัยและทหารรับจ้างที่ไม่ได้อาศัยในเขตปกครองของเมืองนี้ไม่แวะเข้ามาที่เมืองของเรา ”
มีอาเคาะประตูร้านหนึ่งแล้วเปิดเข้าไป
“ยินดีต้อนรับ …. อ้า ท่านมีอานี่เอง” ชายวัยกลางคนเจ้าของร้านเดินตรงมาหา
“สวัสดีกุชชี่ ….. ท่านรอน นี่กุชชี่ เป็นช่างทำดาบที่ทำดาบให้กับข้า” มีอาแนะนำ “กุชชี่ นี่คือท่านรอน ผู้ที่มาปรุงยารักษาโรคช่วยเมืองของเรา”
“โอ้ ท่านนี่เอง” เจ้าของร้านทำดาบพูดก่อนจะโค้งให้อย่างงดงาม “ข้าต้องขอบคุณท่านมาก เพียงแค่ได้ยาครั้งแรก ลูกน้องของข้าที่ป่วยอยู่ก็อาการดีขึ้นมาก”
รอนยิ้มให้และโค้งรับเล็กน้อย
“ท่านรอนสนใจอยากจะเห็นการทำดาบ ข้าเลยอยากจะขอให้กุชชี่สาธิตการทำดาบของเมืองเราให้ดูหน่อย
“โอ้ ………… แต่ท่านมีอา … ข้าคิดว่าอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ท่านเองก็รู้ว่าอาวุธที่ข้าทำเป็นแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เป็นดาบที่ประณีตสวยงาม เน้นแต่การใช้งาน ” ชายวัยกลางคนบอกด้วยความเกรงใจ
มีอาหันไปมองรอน …
“ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่ผมต้องการดูการทำอาวุธ ก็เพราะตอนนี้มอนสเตอร์ออกอาละวาดอยู่รอบเมืองและในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะต้องใช้อาวุธกันมากขึ้น” รอนบอก “ดังนั้นถ้าร้านของคุณกุชชี่เป็นอาวุธแบบธรรมดาที่ทหารและคนทั่วไปส่วนใหญ่ก็ใช้กัน ก็จะตรงกับจุดประสงค์ของผมแล้วล่ะครับ”
“โอ้ ถ้าเช่นนั้นข้ายินดีมากที่จะได้สาธิตการทำดาบให้ท่านดู” กุชชี่ยิ้มอย่างยินดี “เชิญท่านด้านใน”
รอนและมีอาเดินตามเข้าไปหลังร้าน กุชชี่ให้ลูกน้องไปอยู่ต้อนรับลูกค้าที่ด้านหน้า ส่วนเขาเดินพาไปด้านหลังลึกเข้าไป … มีเสียงโลหะเสียดสีกับหินดังมาเป็นระยะ … เสียงคนพูดคุย … แต่เสียงหนึ่งที่รอนคิดว่าควรจะมีปรากฏว่าไม่ยักมี ก็คือ … เสียงการตีดาบ
“ตรงนี้คือโรงทำดาบ … เชิญ” กุชชี่ผายมือเข้าไป มีผู้ชายผู้หญิงร่างผอมบางร่วม 10 คนยืนอยู่
“ทุกคน นี่คือท่านรอน ท่านผู้นี้ที่นำยารักษาโรคระบาดมาช่วยเมืองของเรา”
รอนรับการทำความเคารพและคำขอบคุณจากผู้คนตรงนั้น … แล้วเขาก็มองไปรอบๆ … ห้องนี้มีแต่ชายหญิงรูปร่างผอมบาง ไม่มีเตาไฟ ไม่มีค้อน ไม่มีทั่งคีมหรือค้อนตีเหล็ก …. แล้วช่างตีเหล็กอยู่ไหนกัน
“เอาล่ะพวกเรา เริ่มงานได้ ทำให้สุดฝีมือ วันนี้เราจะเริ่มจากดาบเหล็กก่อน ”
คนหนึ่งในนั้นไปที่ถังไม้ที่มีผงสีดำบรรจุอยู่เต็ม ตักผงดังกล่าวลงมาเทใส่เบ้าที่กลางพื้น จากนั้นทุกคนที่อยู่รอบๆก็ยกมือขึ้นและร่ายเวท
“ข้าแต่เทพวัลแคน โปรดจงให้ความร้อนหลอมละลายโลหะนี้ เพื่อบันดาลอาวุธด้วยเถิด [Fire]!”
บังเกิดแสงสีเหลืองแดงเรืองขึ้นมาจากผงสีดำที่อยู่ในเบ้า จากนั้นผงสีดำก็ค่อยๆหดลดขนาดลง หลอมละลายไหลไปรวมกันที่ด้านล่าง เมื่อไหลลงไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีช่างคนนึงเอาแท่งดินยาวแท่งหนึ่งที่มีรูไว้ไปรอง ก่อนจะเปิดรูให้โลหะเหลวร้อนไหลลงไป … รอจนใกล้เต็มก็ปิดช่อง นำแท่งดินอีกแท่งมารอง และเปิดให้โลหะภายในไหลลงไปต่อ ….
หลังจากทำได้3แท่ง เขาก็หยุดทำและเปิดให้โลหะร้อนภายในไหลออกมา … โลหะเหลืองแดงนั้นไหลได้เล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ
กุชชี่รออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้ค้อนเคาะทุบไปที่แท่งดินนั้น เผยให้เห็นแท่งโลหะสีตุ่นๆภายใน … รูปร่างเหมือนดาบ !
รอนยืนอย่างตกตะลึง … เขาเดินตามกุชชี่ที่ถือดาบเหล็กทั้ง 3 เล่มไปที่อีกห้อง ในนั้นมี”จักรยานล้อหิน” … ชายร่างกำยำคนนึงขึ้นปั่นล้อจนหมุนติ้วๆๆ ติ้วๆๆ กุชชี่นำดาบเหล็กแท่งนั้นไปฝนลับเบื้องต้นจนได้ดาบที่เรียบไม่สะดุด ก่อนจะฝนละเอียดอีกครั้งจนได้ดาบที่คมกริบ … แล้วก็นำไปสวมใส่ที่ด้ามดาบ
“เสร็จแล้วครับ” กุชชี่ยื่นดาบเหล็กให้รอนดู รอนรับไปดูด้วยมืออันสั่นเทา
“แม้ว่าร้านของเราอาจจะทำดาบได้ไม่มากนักในแต่ละวันและไม่ใช่ดาบที่พิเศษมาก แต่วิธีทำดาบเหล็กของเราก็เป็นวิธีใหม่ล่าสุดและได้ดาบเหล็กที่ทนทานแข็งแกร่งที่สุด”
“เราใช้แร่เหล็กทรายดำ นำไปร่อนกรองจนเหลือทรายปะปนน้อยที่สุด จากนั้นจึงนำมาหลอมทำดาบ”
แข็งแกร่ง?ทนทาน? รอนยืนกัดฟันแน่นมองดาบเหล็กในมือแล้วอยากจะตะโกนร้องขึ้นมา
ว้อทททเดอะ*ก!!!!
“คุณกุชชี่ครับ แล้วถ้าเป็นโลหะอื่นเช่นทองแดงและบรอนซ์ ท่านก็ใช้วิธีหลอมด้วยเวทมนตร์แบบนี้ด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วครับท่านรอน”
ตอนนี้คำถามที่รอนเคยสงสัยในใจตลอดมาเกี่ยวกับคุณภาพดาบของโลกนี้ไขกระจ่างแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมดาบและเกราะที่เขาเห็นผ่านตามาตลอดถึงได้ห่วยและหักขนาดนี้
เพราะในการทำดาบที่โลก จะมีขั้นตอนสำคัญสองส่วน ขั้นแรกคือการหลอม และอีกขั้นคือการตี
ขั้นที่สำคัญที่สุดคือการหลอม โดยจะต้องใช้ความร้อนที่มากเพียงพอเพื่อให้ก้อนแร่โลหะเพื่อทำให้สารเจือปนในแร่เหล็ก ได้แก่อลูมิเนี่ยม ซิลิก้า ซัลเฟอร์ ไทเทเนี่ยม หลุดแยกชั้นออกมาจากเหล็ก ให้ได้เป็นแร่เหล็กที่บริสุทธิ์ที่สุด หากมีสารเจือปนมากเกินไปเมื่อนำไปทำเป็นอาวุธจะเกิดการเปราะและแตกหักง่าย ซึ่งส่วนผสมที่สำคัญที่ใช้ในการแยกชั้นของการหลอมเหล็กก็คือหินปูน ซึ่งในกระบวนการที่ทำนี้ไม่มีหินปูน! ดังนั้นแม้จะใช้ความร้อนสูงจนแร่เหล็กหลอมเหลว แต่ว่าการแยกชั้นมันก็ไม่สมบูรณ์แน่ๆ
และที่สำคัญ ‘ที่สุด’ คือคาร์บอน!
ในการถลุงเหล็กที่โลก จะมีการใช้ถ่านใส่เข้าไปในแร่เหล็กที่ถลุงเพื่อเพิ่มความร้อนให้สูงเพียงพอในการหลอมละลาย และจะทำให้เหล็กที่ได้ออกมามีคาร์บอนเจือปน … ซึ่งการมีคาร์บอนในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้เกิดความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกลายเป็น ‘เหล็กกล้า’
แต่ที่โลกนี้ช่างทำอาวุธไม่ได้หลอมโลหะด้วยไฟจากการเผาไหม้ แต่กลับใช้เวทมนตร์ในการสร้างความร้อนหลอมละลายโลหะ ทำให้ไม่มีการใช้ถ่านซึ่งจะให้คาร์บอนอันจำเป็นต่อการทำเหล็กกล้า
ส่วนขั้นตอนสำคัญอีกอันคือการตีเหล็ก
ในสมัยโบราณในพื้นที่ที่การถลุงแร่เหล็กมีข้อจำกัด สร้างความร้อนได้ไม่ดี เหล็กที่ได้มีสารเจือปนเยอะ จะใช้เทคนิกการตีเหล็กร้อนทบไปทบมาหลายๆรอบ เพราะในแต่ละรอบของการตีเหล็กให้แผ่ขยายออก สิ่งเจือปนในโลหะจะค่อยๆหลุดออกมา หรือในเหล็กที่มีคาร์บอนเจือปนมากเกินไปคาร์บอนก็จะเผาไหม้หลุดออกมา เป็นการทำให้เหล็กที่คุณภาพไม่ดีจากการถลุงมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นได้
ที่โลกนี้ ช่างทำอาวุธ ไม่มีทั้งสองเทคนิกดังกล่าว ….
มิน่า ถึงไม่เรียกว่าโรงตีดาบ แต่เรียกว่าโรงทำอาวุธ …
“ข้าดีใจที่เมืองนี้มีช่างทำอาวุธที่มีฝีมือแบบนี้ … อีกไม่นานเราจะมีการระดมอาวุธครั้งใหญ่ กุชชี่ต้องเร่งผลิตอาวุธออกมาให้ทหารและชาวเมืองได้ใช้นะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเลยท่านมีอา ข้าจะผลิตอาวุธที่ดีที่สุดให้พวกท่านไปสู้กับพวกมอนสเตอร์เอง ฮ่าฮ่าฮ่า”
รอนได้แต่เวียนหัวลมจะจับ … นี่ชะตากรรมของเมืองนี้ต้องฝากไว้กับโลหะคุณภาพต่ำกับเทคนิคโบราณล้าสมัยแบบนี้เหรอเนี่ย บัดซบจริงๆ