Midterm Fantasy - ตอนที่ 54
รอนและมีอาเดินออกมาจากร้านอาวุธของกุชชี่ … การได้ล่วงรู้ถึงความด้อยประสิทธิภาพของการถลุงโลหะและทำอาวุธในโลกนี้ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจว่ากองทัพของที่นี่จะสู้กับมอนสเตอร์ได้ดี หรือถึงสู้ได้แต่ความสูญเสียก็น่าจะมีไม่น้อย
จะว่าไป การมีเวทมนตร์แม้จะสะดวก แต่ว่ามันก็ทำให้เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์หลายๆอย่าง ชะงักงันไป ยกตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการจุดไฟ ซึ่งตั้งแต่มาที่โลกนี้เขายังไม่เห็นเลยสักชิ้น ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะในเมื่อคนแทบทุกคนร่ายเวทเรียกไฟได้ แล้วจะมีเครื่องจุดไฟไปทำไม
และการมีเวทมนตร์ ก็ทำให้รูปแบบการรบ การป้องกัน และอาวุธเปลี่ยนไป
อาวุธและเกราะมีคุณภาพต่ำเพราะเทคนิกการผลิตที่ใช้เวทมนตร์มีต้นทุนต่ำทำให้การผลิตโลหะด้วยวิธีอื่นไม่ถูกคิดขึ้นมา
การป้องกันเมือง … กำแพงเมืองมีความสูงต่ำกว่าเมืองโบราณในโลก เพราะว่ามีมอนสเตอร์ที่บินได้ และมีเวทมนตร์ที่ทำให้กระโดดได้สูง ทำให้การลงทุนกับกำแพงเมืองถูกลดความสำคัญลง
รูปแบบการรบ … การรบในโลกมักจะมีการรบแบบขบวนรบ จัดกลุ่มเป็นกองกำลังแน่นหนา แล้วปะทะสู้กัน และกระจายตัวออกเมื่อมีอาวุธหนักตรงเข้ามา แต่ที่โลกนี้ซึ่งคนใช้เวทมนตร์ได้ การจัดขบวนเป็นแถวเป็นแนวเข้าไป ก็เหมือนกับการเดินเข้าไปให้อีกฝ่ายถล่มด้วยเวทมนตร์
“ท่านรอนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” มีอาถาม … ตั้งแต่รอนเห็นวิธีการทำดาบเมื่อสักครู่ จู่ๆเขาก็ดูเงียบไป
“เปล่าครับ ผมแค่กำลังคิดถึงเรื่องที่ตอนนี้มอนสเตอร์ออกอาละวาดไปทั่วพื้นที่นี้ และคิดถึงว่าเมื่อไหร่ชาวบ้านจากหมู่บ้านทั้งหลายจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่หมู่บ้านของตนเองได้”
“ถ้าดูจากที่เป็นอยู่นี้ก็คงอย่างน้อยๆ 3-4 เดือนแหละค่ะ” มีอาตอบ “เพราะถึงเราจะจัดการกับออร์คที่บัญชาการได้แต่ว่าพวกมันยังกระจายเป็นกลุ่มๆอยู่ คงต้องใช้เวลาสักพักในการกวาดล้าง … และหากพวกมันไม่มารวมกลุ่มกันแบบที่ผ่านๆมา ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
“คุณมีอาครับ … ปกติมอนสเตอร์มันรวมกลุ่มแบบนี้บ่อยไหมครับ” รอนถาม “ผมไม่ใช่คนของทวีปนี้ เลยไม่ทราบเรื่องพวกนี้เลย”
“ไม่บ่อยหรอกค่ะ ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว” หญิงสาวบอก “ ครั้งนั้นกลุ่ม Undead รวบรวมมอนสเตอร์ และส่งนักรบมังกร12คนบุกโจมตีชนเผ่ามนุษย์ครึ่งสัตว์ Beastmanกับชนเผ่าEvil จนทั้งหมดอพยพมาทางฝั่งตะวันออกของทวีป จากนั้นทั้ง3อาณาจักรมนุษย์และอาณาจักรคนแคระก็ช่วยกันต่อสู้และผลักดันกลับไปได้”
“แล้วเป็นไปได้ไหมครับว่าครั้งนี้เป็นฝีมือของพวกUndeadอีก”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะคะ” มีอาส่ายหน้า “เพราะว่าตอนนี้ผู้นำเผ่าของUndeadที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับเผ่าอื่นๆ และถ้ากองทัพของพวกนั้นจะมาที่นี่ก็ต้องผ่านดินแดนของEvilและพื้นที่ป่าและทุ่งหญ้าของมนุษย์ครึ่งสัตว์ก่อนจึงจะมาที่นี่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้พวกนั้นไม่มีนักรบมังกรเหลือแล้ว ”
“นักรบมังกร? คืออะไรเหรอครับ”
“นักรบมังกรคือแม่ทัพ 12 คนของราชาUndeadที่บุกโจมตีชนเผ่าอื่นๆเมื่อ 30 ปีก่อนค่ะ เป็นนักรบที่ได้รับศิลานักปราชญ์ฝ่ายความมืดทำให้มีความสามารถในการต่อสู้และรักษาตนเองมากกว่าปกติ”
“ ในการรบครั้งนั้นราชาUndeadนำกองทัพมาอยู่ในเขตทุ่งหญ้าของชนเผ่ามนุษย์ครึ่งสัตว์และส่งนักรบมังกร 4 คน บุกเข้าอาณาจักรแอสคาลอนของเรากับอาณาจักรเอ็มโพเรียทางเหนือ … และระหว่างนั้นเอง กองทัพพันธมิตรก็บุกโจมตีทัพของราชาUndead ฆ่านักรบมังกรทั้ง 8 ได้ ส่วนนักรบมังกรอีก 4 คน พอหลังการพ่ายแพ้ของราชาUndeadก็หายสาบสูญไปหมด”
“และปัจจุบัน ศิลานักปราชญ์ของนักรบมังกรทั้ง 8 ยังถูกแบ่งเก็บไว้ที่เมืองหลวงของแอสคาลอนและเอ็มโพเรีย … และอีก 4 คนที่หายไปก็หายไปกว่า 30 ปีแล้ว … ราชา Undeadก็ถูกผนึกไว้ในเขตของมนุษย์ครึ่งสัตว์ ดังนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันหรอกค่ะ”
รอนคิดในใจ … ศิลานักปราชญ์ … ชื่อนี้คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน …
[ท่านมีศิลานักปราชญ์ 1pt]
“เฮ้ย!” จู่ๆเสียงที่ดังขึ้นในหัวทำให้รอนตกใจจนร้องออกมา
“มีอะไรเหรอคะท่านรอน”
“เปล่าครับ”
รอนเหงื่อซึมออกที่หน้าผาก … ศิลานักปราชญ์ มันคือชื่อของลูกแก้วสีแดงที่เขาเก็บได้จากห้องศิลานี่นา
รอนไม่ถามอะไรต่อ จากที่มีอาบอกว่านักรบมังกรมีศิลานักปราชญ์ของฝ่ายความมืดทำให้เขาเดาได้ว่ามันต้องมีศิลานักปราชญ์ฝ่ายความสว่าง … แต่ถ้าเขาถามลึกไปก็อาจจะถูกสงสัยได้
จะถามเรื่องสีก็ไม่กล้า เพราะเกิดเรื่องสีของมันเป็นความลับที่ปกติไม่มีใครรู้ มีอาอาจจะสงสัยก็ได้
ทั้งคู่เดินออกมาจากตรอกช่างทำอาวุธ ทหารที่อยู่ประจำตรงนั้นเห็นและร้องเรียก
“ท่านมีอาครับ … ท่านโซล่ากำลังตามหาตัวท่านและท่านรอนครับ”
“หืม เรื่องอะไรกัน” หญิงสาวถาม
“เห็นว่าเป็นเรื่องมอนสเตอร์ครับ” ทหารแจ้ง “บอกว่าหากเจอท่านทั้งสองให้เชิญท่านรอนไปปรึกษาที่ปราสาททันทีครับ”
มีอาหันไปมองเด็กหนุ่มเป็นเชิงขอความเห็น แม้จะเป็นเจ้าเมืองแต่การเชิญโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าแบบนี้ออกจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่รอนพยักหน้าให้
สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว การที่ชาวบ้านโอลเซ่นที่เขาต้องการปกป้องมาอาศัยในเมืองนี้ ทำให้ทางเลือกของเขามีไม่มาก … และการไปก็ได้ประโยชน์กว่าเนื่องจากโอกาสที่เขาจะได้รู้ความเป็นไปทางการทหารนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีคนในมาบอก
ดังนั้นการเชิญแบบนี้จึงเป็นโอกาสที่ดี
ทั้งสองคนเดินตรงไปยังปราสาท … ความจริงแล้วต้องเรียกว่าเป็นป้อมขนาดเล็กมากกว่า เพราะกำแพงหินที่ก่อขึ้นมาอีกชั้นและช่องระหว่างกำแพงให้ยิงหน้าไม้หรือธนูออกมา ประกอบกับการจัดบริเวณรอบๆเป็นที่โล่งทำให้ผู้บุกรุกที่ตั้งใจจะโจมตีปราสาทนี้ไม่มีที่หลบ เหมาะกับการตั้งรับอย่างยิ่ง
ทหารทำความเคารพมีอาและชี้ไปที่บันได รอนและมีอาเดินขึ้นไปที่ทางเข้า ที่โถงทางเข้ามีโต๊ะตัวใหญ่มีแผนที่วางอยู่โดยมีนายทหาร 20 คน ยืนล้อมรอบและมองลงไปตรงนั้น ที่หัวโต๊ะมีชายในชุดคลุมโรมันสีขาวยืนอยู่
“ท่านพ่อ ลูกมาแล้วค่ะ” มีอาพูดกับชายที่หัวโต๊ะ “นี่คือท่านรอนที่ข้าพูดถึง …. ท่านรอน นี่ท่านพ่อของข้า”
“สวัสดีครับ ผมรอน ครับ” รอนโค้งคำนับ มีอามองตากว้างอย่างสงสัย
“ท่านรอนดูไม่ตกใจเลยที่ข้าแนะนำเจ้าเมืองว่าเป็นพ่อของข้า”
“ตอนเข้าเมืองมา ท่านมีอาพูดถึงการตัดสินใจในเมืองแล้วพูดถึง ‘ท่านพ่อ’ ครั้งนึงครับ ผมเลยเดาได้ว่าท่านพ่อของท่านมีอาน่าจะเป็นท่านโซล่าที่เป็นเจ้าเมือง”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงทุกคนในห้องนั้นหัวเราะกัน … ตั้งแต่แรกเจอ มีอาไม่ได้แนะนำตัวกับรอนว่าเป็นใครและไม่ให้ใครบอกเขา … ทุกคนบอกแต่เพียงว่ามีอาคือนักดาบอันดับหนึ่งของเมืองกาล่าเท่านั้น
ไม่นึกหลังจากความพยายามปิดบัง เธอกลับเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้ให้รอนรู้ด้วยตนเอง
“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกัน” เจ้าเมืองพูดกับรอน “ข้าชื่อโซล่า ดักซ์ กาล่า เป็นเจ้าเมืองกาล่าแห่งนี้”
“ที่ข้าเชิญท่านมาในวันนี้ เพราะได้ยินจากนายกองโยฮันแห่งเซ็นจูเรี่ยนที่1 ถึงแผนการรบของท่านที่สามารถทำให้เราจัดการกับกองทัพออร์คได้ ข้าจึงอยากขอคำแนะนำจากท่านในการวางแผนป้องกันเมือง”
“ก่อนหน้าที่จะพบกับท่านโยฮันและท่านเรย์ผมไม่เคยมีประสบการณ์การรบในกองทัพจริงๆมาก่อน ไม่แน่ว่าจะช่วยเหลือท่านโซล่าได้มากแค่ไหน” รอนตอบด้วยสีหน้าที่สงสัย เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดา ทำไมนายทหารจะต้องมาถามความเห็นจากเขาด้วย
ดูเหมือนโซล่าจะจับความรู้สึกของรอนได้ เขายิ้มให้และโบกมือไปมา
“ท่านรอนอาจจะสงสัยว่าทำไมทหารต้องมาถามความเห็นจากท่านที่ไม่ใช่คนในกองทัพ … คือที่ข้าทราบจากโยฮัน ท่านรอนคือคนที่แนะนำรูปแบบการรบและการใช้อาวุธที่ทำให้เอาชนะกองกำลังออร์คได้”
“ข้าทราบมาว่า ท่านเองไม่ได้มีพื้นเพจากอาณาจักรในทวีปซีแลนเดีย …. ท่านอาจจะไม่ทราบว่ามอนสเตอร์ที่ปรากฎในอาณาจักรแอสคาลอนแห่งนี้ ไม่เคยรวมตัวเป็นกองทัพเลย จะมียกเว้นก็เพียงแต่ตอนเกิดสงครามเมื่อ 30 ปีก่อนเท่านั้น ซึ่งในครั้งนั้นเมืองของเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์การรบโดยตรง” ท่านโซล่าเอ่ย “และทวีปของเรามีแต่สันติภาพมายาวนาน กองทหารที่มีสู้แต่กับกองโจรผู้ร้าย อาชญากร หรือมอนสเตอร์ปกติที่ไม่ได้รวมเป็นกองทัพ … เราไม่เคยพบกับมอนสเตอร์ที่จัดกำลังแบบนี้มาก่อนเลย”
“ดังนั้นเมื่อนายกองโยฮันรายงานถึงการรบที่เราได้รับชัยชนะ และบอกถึงคำแนะนำของท่านที่ให้ทหารใช้หอกไพลั่มในการทำลายขบวนทัพของออร์ค มันทำให้ข้าคิดว่า ………….” โซล่ามองมายังรอน เด็กหนุ่มมองกลับโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแม้ในใจจะเริ่มกังวล
“มันทำให้ข้าคิดว่าที่ทวีปอื่นๆน่าจะมีบันทึกเรื่องการใช้อาวุธของกองทัพเราหลงเหลืออยู่ … บอกตามตรงว่าทุกคนในที่นี้เป็นทหารมาหลายสิบปี แต่ไม่เคยมีใครทราบเลยว่าเจ้าหอกไพลั่มนี่มันสามารถใช้แบบนี้ได้ด้วย … ทุกคนคิดแต่ว่ามันเป็นอาวุธที่มีไว้ประดับยศเฉยๆเท่านั้นแถมเป็นอาวุธที่ไม่มีใครอยากใช้ เพราะใช้ได้ครั้งเดียวก็มักงอต้องส่งซ่อมเสมอ”
รอนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก … “ ความจริงแล้วผมเคยอ่านเรื่องกองทัพของอาณาจักรหนึ่งสมัยเมื่อสองพันกว่าปีก่อนที่แต่งกายและใช้อาวุธคล้ายกับกองทัพของท่าน ผมก็เลยคิดว่าน่าจะใช้งานได้เหมือนกันครับ”
รอนสังเกตอีกนิดนึงว่าทุกคนในห้องหันไปสบตากันเมื่อเขาพูดว่า “สองพันกว่าปี”
“น่าสนใจ น่าสนใจ ถ้าอย่างนั้นข้าอยากจะให้ท่านรอนช่วยดูนี่หน่อย” เจ้าเมืองผายมือไปที่แผนที่บนโต๊ะ รอนหันมองตามแล้วเบิกตากว้าง
“นี่มัน ………” เด็กหนุ่มพูดแล้วชะงัก “ ข้อมูลนี้ได้มาเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อเช้ามืดนี้ …. เมื่อตอนเช้าทหารกริฟฟอนที่จะมาส่งข่าวที่เมืองเห็นกองทัพของพวกมันโดยบังเอิญ จึงบินวนและจดจำตำแหน่งและจำนวนของศัตรู … โชคดีมากที่เขาเห็นขณะพวกมันกำลังเคลื่อนกำลังผ่านพื้นที่โล่ง ทำให้เห็นกำลังของพวกมันทั้งหมดอย่างชัดเจน”
รอนมองดูแผ่นไม้จำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนแผนที่ ตรงบริเวณตัวเมืองมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยม24แผ่น และแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่มีกากบาท อีก4แผ่น ในขณะที่ทางทิศใต้ของเมือง มีแผ่นไม้เกือบ50แผ่น โดยมีประมาณ10แผ่นมีกากบาทตรงกลาง
“ออร์คขี่ม้าได้ด้วยเหรอครับ” รอนถาม
“ไม่ใช่ … พวกนั้นคือออร์คไรเดอร์ พวกมันขี่เสือเทา มีหน่วยละ20ตัว”
“ส่วนพวกออร์คเดินเท้า … พวกนี้เป็นพวกที่มีโล่ไหมครับ” รอนถาม … เขาหวังว่ามันจะเป็นออร์คธรรมดาที่ไม่มีอาวุธหรือเครื่องป้องกันอะไรมาก
“ไม่ใช่…พวกมันมีโล่ขนาดใหญ่ กันหมด … และแม้จะเห็นไม่ชัด แต่ว่าแสงสะท้อนที่มาจากพวกมันทำให้แน่ใจว่าหลายๆกลุ่มมีอาวุธหรือเกราะที่ทำจากโลหะแน่นอน” ท่านโซล่าตอบ”นอกจากนี้ฝ่ายมันมีนักเวทที่ใช้เวทลูกไฟได้ด้วยอย่างน้อยคนนึง เพราะระหว่างที่กริฟฟอนกำลังบินอยู่พวกมันพยายามยิงลูกไฟใส่”
รอนยืนมองแผนที่แล้วคิดคำนวณในใจ …. พื้นที่ที่กริฟฟอนไปเจอกองทัพคือถนนก่อนจะถึงหมู่บ้านโอลเซ่นเล็กน้อย ถ้าเดินทางด้วยความเร็วของออร์คแบบไม่รีบร้อนมาก ก็น่าจะใช้เวลา3วันกว่าๆ
“เรามีเวลาเตรียมตัว3วัน และหลังจากนั้นถ้าเราตั้งบนกำแพงเมืองดีๆ ก็น่าจะคุมเชิงพวกมันได้” นายทหารคนนึงเสนอ
“ผมคิดว่าเรามีเวลาไม่ถึง3วันครับ” รอนตอบก่อนจะชี้ไปที่แผ่นไม้ที่แทนออร์คไรเดอร์ “ถ้าผมคาดไม่ผิด กลุ่มนี้จะมุ่งหน้าออกมาก่อกวนเมืองก่อนแน่นอน”
นอกจากท่านเจ้าเมืองแล้ว ทหารทุกคนหันมามอง
“ทำไมท่านรอนคิดอย่างนั้นครับ” นายทหารคนนึงถาม “ถ้ามันส่งแต่ไรเดอร์มาแค่เราปิดประตูเมืองและตั้งรับก็พอแล้วนี่”
“แต่ตอนที่ผมมาถึงเมืองใหม่ๆ ขบวนของพวกเราเดินผ่านทุ่งข้าวสาลีที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ถ้าหากว่าพวกออร์คที่เคลื่อนที่ได้เร็วเหล่านี้มาถึง เราก็คงเก็บเกี่ยวไม่ได้แล้ว” รอนบอก
“และก่อนจะอพยพออกจากหมู่บ้านโอลเซ่นผมเคยถามชาวบ้านไว้ เหลืออีกสามเดือนก็จะเข้าสู่หน้าหนาวที่ปลูกอะไรไม่ได้ ถ้าเราโดนปิดล้อมในตอนนั้นแล้วชาวเมืองและทหารจะมีอาหารเพียงพอไปได้นานแค่ไหนครับ”
นายทหารที่เสนอให้ตั้งรับหน้าซีดลง เขาลืมนึกเรื่องเสบียงอาหารไปเสียสนิท เมืองในตอนนี้มีประชาชนและทหารร่วมๆ50000 – 60000คน ทั้งยังเพิ่งรับชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆเข้ามา แต่ละแห่งที่อพยพมาต่างก็ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารมาก่อนไม่มีการพกอาหารมาด้วย ดังนั้นถ้าเจอปิดล้อมเข้าจริงๆอาจจะเกิดปัญหาได้ในเวลาไม่กี่เดือน”
“แถมออร์คไรเดอร์ที่ขี่เสือ แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าม้า แต่ได้เปรียบในแง่ที่เสือโจมตีได้ แต่ม้าโจมตีใครไม่ได้ ในจำนวนกว่า200ตัวที่กำลังจะบุกมา เราคงใช้ทหารม้ารับมือลำบาก” รอนพูด “แต่หากใช้ทหารราบเข้ามาสู้ พวกมันที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าคงไม่ยอมเข้าปะทะหากไม่เห็นว่าตนเองเสียเปรียบ”
รอนพูดแล้วคิดไปตามแผนที่ ถ้านี่คือเกมและอีกฝ่ายกำลังบุกเข้ามาด้วยกำลังเคลื่อนที่เร็ว เขาก็คงจะเอาหน่วยทหารราบหรือทหารที่ใช้ธนูไปตั้งรับซุ่มซ่อนไว้ในทุ่งข้าว จากนั้นให้คนไปเกี่ยวข้าวรอ ให้พวกมันเข้าใจผิดว่ามีแต่ชาวเมือง แล้วพอบุกเข้ามาก็จัดการสู้ซะ
แต่ถ้าทำแบบนั้นคงต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายพอสมควรแน่ๆ เพราะว่าถ้านับเสือที่โจมตีคนได้ กองทัพออร์คที่ว่าก็ไม่ใช่กองทัพ200 แต่เป็นกองทัพที่มีกำลัง400ของออร์คและเสือไปพร้อมๆกัน
จะเอายังไงดี …. รอนคิด
เขายืนนิ่งพักนึง ก่อนจะหันไปถาม
“ที่นี่มีช่างไม้เก่งๆไหมครับ”