Midterm Fantasy - ตอนที่ 59
ท่ามกลางความมืดตอนเที่ยงคืน รอนวาร์ปกลับมากระโจม … เขาวางเครื่องปั่นไฟลงกับพื้น หยิบปึกกระดาษออกจากเป้หลัง หยิบหลอดกาว2หลอดออกจากเข็มขัด
การรบที่ผ่านไปทำให้รอนกังวลใจอยู่ ครั้งนี้ที่การป้องกันนั้นได้ผลเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายมีจำนวนไม่มากและติดกับดัก ทำให้ถูกถล่มด้วยเครื่องยิงหินได้อย่างง่ายดาย แต่หากกองทัพที่โจมตีเป็นกองทัพใหญ่ การต่อสู้อาจจะไม่ได้ง่ายแบบครั้งนี้
ที่สำคัญคือทหารที่ท่านโซล่าพาออกไปรบในครั้งนี้เป็นกองทหารส่วนใหญ่ของเมือง และตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมา หากมีอะไรผิดพลาดขึ้น เมืองทั้งเมืองจะตกอยู่ในสภาพขาดการป้องกันเนื่องจากทหารที่มีเหลือในเมืองตอนนี้เป็นเพียงกองหนุน 1000 นาย และทหารม้า 120 นาย … ซึ่งจากที่รอนรู้มา การจะป้องกันให้ได้ประสิทธิภาพ ฝ่ายป้องกันต้องมีชัยภูมิที่ดีและควรมีกำลังอย่างน้อย 1 ใน 3 ของฝ่ายโจมตี ถ้าศัตรูมี 4000-5000 ตามที่คาดคะเนจริงๆ จำนวนทหารที่มีในเมืองตอนนี้ไม่มีทางเพียงพออย่างแน่นอน
….แต่นั่นคือตามทฤษฎีรบบนโลก
ซึ่งในโลกนี้ยังมีเวทมนตร์ ที่เป็นอาวุธสำคัญ ซึ่งมีผลชี้เป็นชี้ตายพลิกสถานการณ์ได้หากใช้ได้ดี
เด็กหนุ่มหยิบปึกกระดาษออกมาดูและยิ้มให้กับตัวเอง ….
ถ้าเอากระดาษA4ธรรมดาไปปรินท์แล้วเอาข้ามมา จะเอามาได้ทีละแผ่น
ถ้าเอาเครื่องปรินเตอร์มาที่โลกนี้ ก็ต้องใช้ไฟฟ้า
ถ้าเอาเครื่องปั่นไฟมา ต้องมีน้ำมัน … ซึ่งจนถึงตอนนี้เขายังหาวิธีขนน้ำมันเบนซินข้ามมาโลกนี้ไม่ได้เพราะเจ้ากฎ “30วัน”
ดังนั้นรอนเลยใช้กระดาษต่อเนื่องสำหรับคอมพิวเตอร์ ซึ่งทั้ง 500 แผ่นนี้มันต่อกัน จึงถือเป็น “ชิ้นเดียว” ขนข้ามมาได้ ….
เด็กหนุ่มคลี่กระดาษออก … วงแหวนเวทที่พิมพ์ไว้บนกระดาษยังชัดเจนดีและอยู่ครบ
ต่างจากวงแหวนเวทบนม้วนหนังของแอริสที่มีขนาดใหญ่ รอนใช้ภาพถ่ายที่เขาถ่ายหนังสือของแอริสไว้เอาภาพไปปรินท์ไว้บนกระดาษแทนโดยไม่ต้องเสียเวลาวาดเอง ทำให้ตอนนี้เขามี’ภาพ’วงแหวนเวทระดับ1ถึง6รวมกันร่วมๆ400ใบ
น่าเสียดายที่หมึกพิมพ์หมด เขาเลยพิมพ์ต่อไม่ได้
รอนมองไปยังเตียงของโรล่าและมาเรีย … ตอนนี้ทั้งคู่หลับแล้ว รอนไม่อยากเปิดไฟสว่างมากนัก เขาจึงขนกระดาษปึกนั้นออกมานอกกระโจม
ตอนนี้ลานกลางตลาดว่างปราศจากผู้คน … เพราะเมื่อคืนนี้รอนนำยาทั้งหมดให้นักบวชเพื่อนำไปจัดการรักษาเองที่โบสถ์ นับแต่นี้ไปคนป่วยจะได้ไปรวมกันที่โบสถ์ตรงใจกลางเมือง ส่วนพื้นที่ตลาดทิศใต้จะเปลี่ยนเป็นกองบัญชาการรบชั่วคราว
“ท่านรอนทำอะไรอยู่รึ”
“สวัสดีครับคุณเบรเซอร์” รอนทัก “ยังไม่นอนเหรอครับ”
” อื้อ ข้านอนไม่หลับน่ะ แก่แล้วก็แบบนี้แหละ ” ชายชราตอบ ” โรล่ากับมาเรียหลับแล้วรึ?”
“ใช่ครับ … พอดีผมกะว่าจะทำวงแหวนเวทเอาไว้ใช้ เลยออกมาทำข้างนอกครับ”
เบรเซอร์พยักหน้าให้เด็กหนุ่ม ขั้นตอนการทำวงแหวนเวทต้องมีการบดแกนมอนสเตอร์ให้เป็นผงก่อนนำไปผสมกับกาวเพื่อทา ซึ่งการตำผลึกนี้ก็มีเสียงดังพอสมควรอยู่
“มา เดี๋ยวข้าช่วยเอง ท่านรอนไม่เคยทำมาก่อน ” เบรเซอร์อาสา ” แต่สมัยข้ายังเป็นทหารรับจ้าง ข้าเคยทำวงแหวนเวท น่าจะช่วยท่านได้บ้าง”
เบรเซอร์เรียกชาวบ้านที่อยู่เวรยามดึกมาสามคน ให้ไปช่วยกันยกถังผลึกแกนมอนสเตอร์มา … สำหรับผลึกระดับ1และ2นั้นมีเหลือเฟือ เพราะรอนไปบอก(หลอก)มีอาและท่านโซล่าว่าต้องใช้ในการผลิตยา
ทุกคนช่วยกันตำผลึก โดยคนนึงตำด้วยครกไม้ให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ก่อนที่คนที่เหลือจะช่วยกันตำจนเป็นผงละเอียดเหมือนฝุ่นทรายสีชมพูแดง
พอได้พอสมควรแล้ว รอนก็ฉีกกระดาษที่มีภาพวงแหวนเวทมนตร์ระดับ1ออกมา
“นั่นมันอะไรรึท่านรอน” ชายชราถาม
“แผ่นกระดาษที่มีภาพวงแหวนเวทครับ”
“หืม? ท่านรอน ถ้าท่านใช้กระดาษ ตอนที่ทากาวมันอาจจะยุ่ยจนขาดได้นะ” เบรเซอร์บอก “เพราะเวลาใช้เอ็นสัตว์ต้มเคี่ยวแล้วผสมผงแกนมอนสเตอร์ลงไป เราต้องทาทั้งๆที่ยังร้อน ถ้าใช้กระดาษแผ่นบางแบบนั้น พอท่านทาลงไปมันก็จะละลายขาดก่อนที่กาวจะแห้งได้”
“??? แต่ผมไม่ได้ใช้กาวที่ทำจากเอ็นสัตว์ต้มเคี่ยวนะครับ” รอนบอกก่อนจะหยิบกาวยางหลอดจัมโบ้ขึ้นมา …. เขาบีบกาวลงไปบนกระดาษตามเส้นไม่ให้ขาดตอน … ทำเหมือนที่เด็กประถมทากาวบนกระดาษแล้วเอากากเพชรโรย
เพียงแต่ความยากมันต่างกันตรงที่ว่า การโรยกากเพชรของเด็กประถมต้องทำหลายสี ต้องเรียงลำดับวางตำแหน่งให้ดี
แต่ของที่รอนกำลังทำอยู่ โรยผงแกนมอนสเตอร์เพียงสีเดียว!
รอนวาดกาวจนเสร็จ จากนั้นเทผงแกนมอนสเตอร์ลงไปจนมิด ….. รอสักครู่กะว่าแห้งดี จากนั้นเอียงกระดาษเทผงที่เหลือกลับไปในถังเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ … เขายกวงแหวนเวทที่เสร็จสมบูรณ์ให้เบรเซอร์ดู ….ชายชรารับเอาไปดูอย่างตื่นเต้น
“ท่านรอน! กาวที่ท่านใช้นี่มันคืออะไรกัน สามารถยึดผงที่เทลงไปได้อย่างดี … แห้งไว … และเส้นเล็กมาก” หัวหน้าหมู่บ้านโอลเซ่นอุทาน ” ถ้าท่านมีกาวที่ดีขนาดนี้ แม้แต่วงแหวนเวทระดับ4-5ก็สามารถวาดในกระดาษเล็กๆนี้ได้เลยนะท่าน”
ที่ม้วนเวทมนตร์มีขนาดใหญ่และพกพาไปไหนมาไหนลำบาก ก็เป็นเพราะว่าอักขระที่วาดลงในวงแหวนนั้นจะมีจำนวนมากขึ้นตามความซับซ้อนและระดับของเวทมนตร์
เนื่องจากหากวาดผิดแม้แต่น้อย วงแหวนก็จะไม่ทำงาน
ต้องไม่ลืมว่ารอนถ่ายภาพวิธีเขียนวงแหวนเวทมนตร์มาจากหนังสือของแอริส …. ดังนั้นสำหรับวงแหวนระดับ4-5 ที่สามารถวาดรูปในหนังสือได้ ก็ย่อมปรินท์มาลงในกระดาษA4ได้
หากแต่เพียงว่าหากใช้กาวที่นักเวทใช้กันตามปกติ ต้องใช้แปรงขนาดเท่าฝ่ามือในการทา เห็นทีจะต้องใช้ผืนหนังขนาดเท่าเสื่อในการวาดเป็นแน่
แต่หากเป็นกาวของรอน …..
เด็กหนุ่มทาป้ายๆบนกระดาษแล้วเกลี่ยผงแกนมอนสเตอร์ลงไป รอให้แห้ง แล้วส่งให้คุณเบรเซอร์ดู
“โอ้แม่เจ้า ….. วงแหวนเวทระดับ5 … ทะ ท่านรอน ข้าไม่เคยเห็นม้วนวงแหวนระดับ5ที่เล็กเท่านี้มาก่อนในชีวิตเลย”
“เดี๋ยวเราลองทดสอบแผ่นวงแหวนเวทระดับ1ก่อนดีกว่าครับว่าใช้งานได้ไหม”
รอนวางแผ่นกระดาษลงที่พื้น ปักแกนมอนสเตอร์ที่ทั้ง4ด้านของรูปวงแหวน …. จากนั้นหยิบแกนมอนสเตอร์อีกอัน ปาเข้าไปตรงกลาง
พรึ่บ! ลูกไฟลอยวาบขึ้นมา … ได้ผล เวทไฟระดับ1 ใช้ได้ผลจริงๆ!!!
ทั้งเบรเซอร์และชาวบ้านที่มาช่วยกันตำแกนมอนสเตอร์อ้าปากค้าง …. นี่มันเป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการม้วนเวทมนตร์ชัดๆ
“น่าเสียดายที่ตอนนี้เรามีผลึกแกนมอนสเตอร์ระดับ4แค่4อัน” รอนบอก “ไม่เช่นนั้นเราคงได้ลองทดสอบก่อนใช้งานจริงแล้ว”
ผลึกระดับ4ที่ว่า ได้มาจากโทรลทั้ง4ตัวที่เจอถล่มเมื่อวันก่อน ดังนั้นจึงเพียงพอแค่ในการใช้ปักที่สี่มุมและใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น …. นี่ยังดีที่การกระตุ้นการสั่งงานสามารถใช้ผลึกระดับ1ในการปาเข้าไปตรงกลางได้ ไม่งั้นคงยุ่งยากไม่น้อย
“งั้นพวกเรามาช่วยกันทำเท่าที่ทำได้แล้วกันครับ” รอนบอก “ผมมีกาวนี้แค่สองหลอด คงพอทำม้วนวงแหวนเวทระดับ3ได้พอสมควร “
ทั้งหมดช่วยกันทำ รอนทากาว เบรเซอร์เอาผงโรย คนที่เหลือช่วยตำผลึก
จากนั้นผลิตภัณฑ์ม้วนเวทมนตร์ที่ผลิตจากโอท็อปโอลเซ่นก็วางกองเป็นกองขึ้นมา รอนเน้นเวทระดับ3เนื่องจากยังมีแกนมอนสเตอร์ระดับ3ที่เหลือจากออร์คไรเดอร์อีกเพียบ
….
แต่เขาหวังว่า ถ้ากองทัพชนะกลับมา และจะไม่ต้องใช้เจ้าม้วนวงแหวนเวทมนตร์เหล่านี้ก็จะเป็นเรื่องดีที่สุด
….
แต่แสงสว่างยามเช้าเริ่มมาถึงที่ทิศตะวันออก ทำลายความหวังนั้นของรอนไปจนหมด …. เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือขบวนทหารเซ็นจูเรี่ยนทั้ง20กองร้อยที่เดินแถวกลับเข้ามาอย่างผู้ปราชัย จำนวนผู้บาดเจ็บมีมากและหนักจนกระทั่งต้องตามนักบวชจากโบสถ์ให้มาช่วยกันรักษา
และความเสียหายที่หนักที่สุดตกอยู่ที่กองร้อยที่1-2-3 เนื่องจากก่อนจะหนีได้ทิ้งเกราะและอาวุธทั้งหมด ทำให้เมื่อไปเจอมอนสเตอร์ระหว่างทางกลับ ต้องสูญเสียทหารเพิ่มไปอีก10กว่านาย
แม้การหนีครั้งนั้นจะสมบูรณ์แบบ แต่หลังจากนั้น ทหารที่ไม่มีชุดเกราะและอาวุธเหลือเพียงรองเท้าและกางเกงในก็ตกอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือป้องกันตัวเองไม่ได้เลยเมื่อพบกับมอนสเตอร์อื่นระหว่างทาง …. ถือเป็นราคาที่ต้องจ่ายจากการหนีให้รอด
แต่ก็ดีกว่าการตายทั้งหมดอย่างไร้ค่า
“ท่านพ่อ!” มีอาแหวกผ่านทหารอื่นๆที่นอนบาดเจ็บกันเข้ามาหาท่านโซล่าที่บาดแผลเต็มตัวรอการรักษา
“ข้าแต่เทพไฮจีเน่ ….” มีอาร่ายเวทได้นิดเดียวก่อนที่จะถูกบิดายกมือห้ามไว้
“เจ้าใช้เวทนี้ไปช่วยทหารที่อาการหนักก่อน มีหลายคนที่อาการหนักกว่าพ่อ” โซล่าบอกแล้วชี้ไปที่ทหารหลายนายที่บาดเจ็บเจียนตายอยู่ ทั้งเลือด เนื้อ และเสียงร้องดังทั่วพื้นที่ไปหมด มีอาลังเลก่อนจะถูกตวาดไล่ให้ไป เพื่อไปช่วยให้ทหารที่บาดเจ็บหนักให้พ้นขีดอันตรายก่อน
ทหารที่รอดกลับมา มีประมาณ1500คน
และที่พอจะรักษาแล้วกลับมารบใหม่ได้อีกในทันทีตอนนี้ เหลือเพียงแค่ประมาณเกือบๆ500คนเท่านั้น
ส่วนที่เหลือ เป็นการใช้เวทรักษาช่วยยื้ออาการไม่ให้อาการหนักจนเสียชีวิตไปก่อนเท่านั้น
“โชคยังดี ที่ตอนนี้เรามีนักบวชมากกว่าปกติ ถ้าไม่เช่นนั้นวันนี้คงต้องมีคนตายอีกเป็นแน่” โซล่าพูดขึ้นจากที่พื้น อาการของเขาดีขึ้นพอสมควรแล้ว
“ถ้าไม่ใช่เพราะโรคระบาดที่ทำให้เราต้องขอความช่วยเหลือจากนักบวชหลายๆเมืองและการออกอาละวาดของมอนสเตอร์ที่ทำให้ต้องอพยพคนเข้ามารวมกัน ตอนนี้เมืองเราคงมีนักบวชไม่กี่คนและคงรักษาทหารขนาดนี้ไม่ได้”
รอนรู้สึกแปลกๆ เขาลองมองไปรอบๆ นักบวช40กว่าคน และบรรดานักบวชฝึกหัดมารวมกันในบริเวณรักษาคนป่วย มันก็แปลกดี ที่บังเอิญเกิดเหตุโชคดีในโชคร้ายแบบนี้
“ แล้วนี่ยังดีที่มันใช้เวทเผาผลาญมานาแบบวงกว้าง พอใช้เวทนี้อย่างมากที่สุดก็ทำให้เจ็บหนักไม่ถึงกับตาย” ท่านโซล่าบอก “ ถ้ามันใช้เวทระเบิดมานา ถึงแม้จะใช้ได้ในวงจำกัด แต่ว่าคนตายคงมากกว่านี้แน่ๆ”
โซล่าเล่าถึงเวทเผาผลาญมานาให้ทุกคนฟัง … แต่ละคนในที่นั้นหันไปมองรอน … ดูเหมือนเด็กหนุ่มเป็นความหวังที่จะเข้าใกล้ดราซัคได้มากที่สุด
“แต่ดราซัคมันคงไม่หลงกลง่ายๆหรอก” เจ้าเมืองบอก “พวกเวทคำสาปที่แปลงพลังเวทในร่างกายให้ทำร้ายเจ้าของ บางชนิดมันสามารถย้อนเข้าตัวได้ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่มีมานาในตัวเลย สำหรับดราซัคที่เป็นจอมเวทและเป็นนักรบมังกร มันคงไม่ใช้เวทนี้หากเห็นว่าคนๆนั้นไม่ร่ายเวทหรือใช้แต่ม้วนวงแหวนเวทแน่ๆ”
แต่ละคนที่กำลังมีความหวังต่างหน้าจ๋อยกันไป …
“ท่านเจ้าเมืองครับ ผู้แทนตระกูลใหญ่ในเมืองขอพบครับ” ทหารนายหนึ่งมารายงาน “ มีตัวแทนจากตระกูลเซเลนิค ซิลเวอร์รอน และตระกูลซันเดอร์”
ดวงตาของโซล่าเปล่งประกายอย่างมีความหวัง เพราะตระกูลทั้งสามเป็นตระกูลที่มีกองกำลังส่วนตัวของตนเองและทำหน้าที่ดูความเรียบร้อยภายในเมืองร่วมกับทหาร ถ้าหากได้กำลังมาเสริมในเวลาเช่นนี้คงจะดีเป็นแน่
“เชิญพวกเขาเข้ามา” โซล่าบอก … ครู่หนึ่งมีชายสามคนเดินเข้ามาและแสดงความเคารพต่อเจ้าเมือง … โซล่าผิดหวังเล็กน้อยที่คนที่มาของทั้งสามตระกูลไม่ใช่หัวหน้าหรือคนในตระกูลโดยตรง หากแต่เป็นพ่อบ้าน
“ท่านทั้งสามมีอะไรรึ” เจ้าเมืองถาม
“พวกเราทั้งสามได้รับมอบหมายจากหัวหน้าตระกูล ซิลเวอร์รอน ซันเดอร์และเซเลนิค ให้มาแจ้งข้อเสนอที่ทั้งสามตระกูลใหญ่เห็นตรงกันครับ” พ่อบ้านตระกูลซิลเวอร์รอนบอก
“ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ในตอนนี้หนักหนามาก จึงขอให้ท่านเจ้าเมืองประกาศบังคับให้นักผจญภัยและทหารรับจ้างทั้งหมดที่อยู่ในเมือง มาร่วมในการต่อสู้ป้องกันเมือง” พ่อบ้านพูดขึ้น “และเนื่องจากที่ประชุมเห็นว่า ท่านโซล่าให้ทหารที่บาดเจ็บไม่มากและพอจับอาวุธได้ไปพักฟื้นที่โบสถ์ไม่ได้ออกรบ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องในช่วงภาวะคับขันเช่นนี้ จึงขอให้ท่านโซล่ายกเลิกคำสั่งและสั่งให้ทหารเหล่านั้นออกรบด้วย”
เจ้าเมืองหน้าชาเหมือนกับถูกลากไปตบหน้ากลางตลาด … ที่ตรงนี้ไม่ได้มีแต่เขา หากแต่มีชาวบ้านอื่นๆและคนนอกอยู่ด้วย เรื่องการเมืองภายในที่น่ารังเกียจเช่นนี้ไม่สมควรเอามาพูดให้คนนอกได้ยิน
“แล้วกองกำลังส่วนตัวของพวกท่านล่ะ” โซล่าถามกลับ
“กองกำลังของพวกเรามีหน้าที่รักษาความสงบในเมืองครับ พวกท่านไปรบได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ ………. ”
“และเราทราบว่าท่านรอน ที่มาพร้อมกับหมู่บ้านโอลเซ่นและมาพึ่งพิงเมื่อของเรา เป็นผู้ที่มีความสามารถในการรบ … ทางที่ประชุมเห็นตรงกันว่าท่านรอนและชาวบ้านหมู่บ้านต่างๆที่อพยพเข้ามา ควรตอบแทนเมืองที่ให้ที่พักพิง ด้วยการออกรบร่วมกับทหารด้วย”
“ออกไปให้หมด”
“ครับ?”
“ข้าบอกให้พวกเจ้าไสหัวไปให้หมด!” โซล่าตวาดใส่ พ่อบ้านทั้งสามคน … ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากจ้องหน้ากัน ก่อนจะถอยออกไป
โซล่า โยฮัน … รวมไปถึงนายทหารระดับนายร้อยที่อยู่ตรงนั้นอีก 6-7 คน รู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก ปกติแล้วช่วงเวลาที่สุขสงบ กองทหารของเมืองรวมไปถึงเหล่านักผจญภัย ออกปราบมอนสเตอร์ไม่มีว่างเว้น ถ้าเทียบกับทหารรับจ้างหรือพวกกองกำลังส่วนตัวของตระกูลใหญ่ แล้ว เงินที่ทหารและนักผจญภัยได้รับจากการปราบมอนสเตอร์ให้สำเร็จ น้อยกว่าหลายเท่า แต่ทุกคนก็พยายามทำหน้าที่ด้วยความรักเมือง
สำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าของพวกเขาที่เป็นทหาร … เด็กหนุ่มคนนี้ช่วยกองร้อยที่ 1 ให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้าง
ช่วยเมืองจากการบุกโจมตีครั้งที่ผ่านมา
ช่วยชาวเมืองจากโรคระบาด
แต่ยามที่เกิดเหตุลำบากขึ้น แทนที่จะร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหา กลับผลักภาระไปให้คนที่ทำหน้าที่อย่างหนักอึ้งอยู่แล้ว และผลักภาระให้คนที่ช่วยเมืองมาหลายครั้งแทน
“ท่านรอน …. สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ท่านไม่ต้องสนใจก็ได้” โซล่าพูด
“ท่านเจ้าเมือง … ผมคิดว่ากลับกัน … ท่านต้องให้ผมออกรบ” รอนพูด
“หือ???”
“ประการแรก … ในเมืองมีคนที่ผมต้องปกป้อง ยังไงผมก็ต้องร่วมต่อสู้อยู่แล้ว”
“ประการที่สอง … ผมมาพึ่งพิงเมืองนี้จริงๆ ผมคงต้องร่วมสู้ด้วย ”
“ และประการที่สาม ท่านโซล่าเพิ่งแสดงท่าทีไปว่าจะไม่ทำตามข้อเสนอของสามตระกูลใหญ่ ” รอนถอนหายใจ “ ผมคิดว่าเมื่อทั้งสามคนกลับไป คงมีการปล่อยข่าวให้ประชาชนไม่พอใจกองทหาร ตัวผม รวมไปถึงชาวบ้านที่อพยพเข้ามาแน่ๆ ถึงเราไม่ทำตามสุดท้ายพวกเราก็ต้องปกป้องเมืองอยู่ดี ”
คนตรงที่นั้นรู้สึกแย่กันไปตามๆกัน แต่เมื่อมองดีๆ เด็กหนุ่มไม่ได้มีท่าทางเครียดหรือกังวลอะไรมากนัก
“ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติครับ อย่าไปใส่ใจอะไรเลย ที่ที่ผมจากมาก็มีเหตุแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว” รอนบอก “ ผมคิดว่าเราควรใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์กับพวกเราดีกว่า”
“งั้นให้ข้าประกาศให้ท่านทำหน้าที่ช่วยป้องกันเมืองตั้งแต่วันนี้เลย?”
“ไม่ได้สิครับ ถ้าทำแบบนั้นก็เข้าทางที่พวกนั้นเสนอ” รอนส่ายหน้า “ หลังจากพวกเราสู้กันเสร็จ พวกนั้นก็จะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้อเสนอของพวกเขา … เราต้องทำให้ประชาชนรู้ด้วยตนเองว่าทั้งหมดคือการตัดสินใจของเราอยู่แล้ว”
ทั้งคู่ตกลงเรื่องการประกาศที่จะออกไปว่าจะใช้คำพูดอย่างไรก่อนที่รอนจะขอตัวไปเตรียมความพร้อม
“คุณเบรเซอร์ครับ … มาเรีย พอล แล้วก็โรล่า อยู่ไหนครับ” รอนถาม
“เดี๋ยวข้าตามมาให้” ชายชราบอก ก่อนจะไปเดินตามคนทั้งสามมา
“พอล … นั่นแต่งตัวแบบนั้นจะไปไหนครับ” รอนถาม เมื่อเห็นว่าพอลใส่ชุดเกราะหนังเต็มตัว
“ข้าก็จะร่วมรบด้วยไง” พอลบอก “ เมืองนี้ให้ที่พักพิงกับพวกเรา … เราควรจะสู้เพื่อพวกเขาด้วย”
…
“ คุณพอลไม่ต้องไปครับ โรล่ากับมาเรียด้วย … ผมอยากให้พวกคุณไปอยู่กันตรงที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ใกล้กับตรอกร้านขายขนมปัง” รอนบอก “ ตอนนี้ที่นั่นไม่มีทหารไปคุ้มกันแถวนั้นเลย และเด็กกำพร้าจากหลายหมู่บ้านก็ไปรวมอยู่ตรงนั้น ผมอยากให้พวกคุณไปอยู่ตรงนั้นกันมากกว่า โดยเฉพาะโรล่า ตอนนี้คนในเมืองรู้จักเธอกันดี ถ้าไปอยู่ตรงแถวนั้นคนที่ประตูทิศตะวันตกจะอุ่นใจมากขึ้น”
ทั้งสามคนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า โรล่าถอดเสื้อแจ็คเก็ตป้องกันมีดที่รอนยกให้ จะส่งคืนให้
“ไม่ต้องหรอกครับ … คุณใส่ไว้ดีกว่า” รอนบอก “ แล้วอย่าลืมที่คุยกันเมื่อวันก่อน …”
โรล่าพยักหน้าให้แล้วก็ใส่เสื้อตามเดิม จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปเก็บของ … น้อยครั้งนักที่รอนจะมอบหมายหน้าที่แบบเหมือนสั่งการให้โดยตรงแบบนี้ จึงไม่มีใครถามหรือสงสัยอะไร
“รอน … ทำไม ….” เบรเซอร์ถาม
“ ทำไมผมถึงให้ทั้งสามคนนั้นไปอยู่ในทิศนั้นทั้งที่เจ้าเมืองโซล่าบอกว่าศัตรูมุ่งมาทิศใต้ทิศเดียวใช่ไหมครับ …” รอนตอบ “เพราะศัตรูไม่ได้บุกประตูทิศตะวันตกไงครับ”
“แต่เธอเพิ่งบอกเจ้าเมืองไปว่ายังไงเธอก็จะช่วย เพราะว่าพวกเราและตัวเธอมาพึ่งพิงเมืองนี้ไม่ใช่รึ”
“นั่นผมแค่พูดให้ดูดีครับ …. คุณเบรเซอร์คิดว่ากับคนที่เราให้ความช่วยเหลือเรื่องโรคระบาดมาขนาดนี้ แล้วยังมาเรียกร้องจากเราได้เท่านี้ ……….. เขาจะเห็นบุญคุณของเราเมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์หรือครับ”
“และผมอยากให้คุณเบรเซอร์ ไปอยู่ตรงแถวนั้นด้วยครับ” รอนบอก “ถ้าเราบอกความจริงไป ทั้งสามคนนั้นต้องไม่ยอมและไปร่วมต่อสู้ด้วยแน่ๆ … ดังนั้นผมอยากให้คุณเบรเซอร์ไปอยู่ … หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา คุณเบรเซอร์ต้องบอกความจริงและให้ทั้งสามคนนั้นถอยออกมาทันที”
“เพราะที่ผมทำมาทั้งหมด … ผมไม่ได้สู้เพื่อชาวเมืองนี้”
รอนพยักหน้าให้ชายชราก่อนจะเดินไป
เบรเซอร์มองตามแล้วรู้สึกสับสนในความเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่ม … เด็กหนุ่มที่เคยดูซื่อๆคนนั้น ทำไมเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปแล้ว
แต่ชายชรายังรู้สึกอุ่นใจอยู่บ้าง … แม้เด็กชายจะโกหกหลอกทุกคน แต่ก็ทำไปเพื่อคนที่เขาสนิทด้วย และยังกล้าบอกกับเขาอย่างหมดเปลือก
เหมือนกับเป็นคนครอบครัวเดียวกัน
จากนั้นชายชราหัวหน้าหมู่บ้านโอลเซ่นก็ค่อยๆเดินกลับไป เพื่อเตรียมชุดสำหรับออกรบของตนเอง