Midterm Fantasy - ตอนที่ 60
เด็กหนุ่มถือหมวกกันน็อคสีเงินที่มีรอยแตกขึ้นไปบนกำแพงเมือง เขามองลงไปที่พื้นดินเบื้องล้าง ธงสีที่ถูกปักลงไปใหม่โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวสาลีที่ไหม้เป็นสีดำ กลิ่นควันไฟยังลอยกรุ่นขึ้นมาช้าๆ
ในทุ่งนาที่ไหม้ไฟ รอนให้ปักรั้วลวดหนามที่ยังพอใช้งานได้ลงไปใหม่ นอกจากนั้นยังให้เอาลวดหนามที่เหลือทั้งหมด มาขึงกั้นภายในตัวเมืองเผื่อว่าพวกออร์คจะเข้ามาได้ … ในยุคที่ไม่มีใครรู้จักลวดหนาม เจ้าสิ่งของธรรมดาๆแบบนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การรบได้
เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปยังเครื่องยิงหินทั้งหมดเบื้องล่าง เครื่องยิงเกือบทั้งหมดถูกนำมาไว้ที่กำแพงฝั่งทิศใต้ที่คาดว่าศัตรูจะบุกมา และมีการขนย้ายไปป้องกันกำแพงฝั่งทิศอื่นด้านละเครื่องเผื่อว่าศัตรูมีการบุกมาจากทิศอื่น … ทางช่างไม้ก็มีการเตรียมฐานติดล้อ หากมีความจำเป็นก็สามารถขนย้ายเครื่องยิงทั้งหมดขึ้นรถลากแล้วเคลื่อนไปช่วยกำแพงเมืองทิศอื่นได้ทันที
ชาวหมู่บ้านและชาวเมืองต่างช่วยกันขนเอาหินขนาดต่างๆมาวางเรียงรายไว้ เตรียมพร้อมรับกองทัพของศัตรูที่กำลังจะเดินทางมาถึง …. มีอาเดินขึ้นมาบนกำแพงเมือง มองหน้าเด็กหนุ่ม …. รอนสวมหมวกกันน็อคสีเงินและชี้นิ้วคุยกับคนที่ทำหน้าที่โบกธงเหมือนกับไม่สนใจอะไร ทำตัวไปตามปกติ
มีอาหันไปภายในเมืองแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“พี่น้องชาวเมืองกาล่าทุกท่าน โปรดฟังทางนี้ …. วันนี้ กองทัพของออร์คกำลังเดินทางมายังเมืองของเรา เพื่อยึดเมืองของเราและบังคับให้เราทำงานให้พวกมัน”
“กองทัพของพวกมัน มีจำนวนมากกว่าทหารของพวกเรา … ทั้งยังมีดราซัค นักรบมังกร ปรากฏกายขึ้นมาทำให้การต่อสู้ซึ่งหน้าเป็นไปได้ยากยิ่ง … ตอนนี้ความหวังของเราจึงอยู่ที่พวกท่านในที่นี้ กับเครื่องยิงหินที่พวกศัตรูไม่รู้จัก”
“ก่อนจะออกไปรบและได้รับบาดเจ็บกลับมา ท่านโซล่า ได้มอบหมายให้ข้าและท่านรอนช่วยทำหน้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองของเรา … ข้าขอให้ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกันเหมือนกับวันก่อนที่เราช่วยกันต่อสู้กับทัพหน้าของศัตรู ”
มีอาถอยกลับ แล้วสะกิดรอน …. เด็กหนุ่มหันมา มองไปยังชาวเมืองหลายร้อยคนที่อยู่ข้างล่าง เขาล้วงม้วนวงแหวนเวทมนตร์ <ขยายเสียง> ออกมา แล้วเปิดใช้
“สวัสดีชาวเมืองทุกท่านครับ … ผม รอน เป็นนักเดินทางที่เดินทางผ่านมา…. สำหรับหลายๆท่านอาจจะเคยเห็นผมแล้วในการรบครั้งก่อนและจากการแจกจ่ายยารักษาโรคระบาด ” รอนพูด “วันนี้เราจะทำคล้ายๆเดิม คือ ใช้ธงสัญญาณ ซึ่งจะมีสามสี คือ แดง เหลือง เขียว … เป็นการบอกความแรงในการยิงลูกหิน … ขอให้ท่านที่มาใหม่เรียนรู้จากคนที่ทำเป็นแล้วด้วย”
“และวันนี้เราจะมีธงพิเศษอันนึง … คือธงดำ … หากธงนี้โบกขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้ทุกคนละทุกอย่างแล้วหันไปยิงในทิศทางนั้น … เพราะเราจะใช้ธงสีดำในกรณีเดียวก็คือการยิงใส่ดราซัค นักรบมังกร”
“สำหรับผมเอง แม้ไม่ได้เป็นชาวเมืองนี้ ไม่ได้มีบ้านหรือญาติมิตรที่นี่ แต่ก็ประทับใจในความกล้าหาญของทุกท่านที่มาร่วมต่อสู้กันเพื่อปกป้องเมืองของตน …. โปรดรับความเคารพจากผมด้วย”
เด็กหนุ่มกำมือพาดขวางไว้ที่หน้าอกแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วทำท่านึกได้
“ อ้อ อีกอย่างครับ หลังจากพวกเราถล่มพวกมันด้วยก้อนหิน กองทหารของเมืองรวมถึงผมจะออกไปสู้กับพวกออร์คในสนามรบ เมื่อมีการให้สัญญาณและเปิดประตูเมือง ขอให้ทุกท่านหยุดการยิงลูกหินนะครับ เพราะว่าขนาดโทรล 4 ตัววันก่อนยังไม่รอด … พวกทหารกันเองถ้าโดนเข้าก็แย่เหมือนกัน …. ยังไงหลังจากผมออกไป ขอให้หยุดการยิงและดูสัญญาณจากท่านมีอาเป็นสำคัญครับ ขอบคุณครับ”
รอนบอกเสร็จก็เดินดูธงและคุยกับคนให้สัญญาณธงต่อโดยไม่สนใจอะไร
เป็นการพูดคุยแบบธรรมดา
ไม่มีการปลุกใจ
ไม่มีลูกเล่น
เป็นการให้ข้อมูลล้วนๆ
ทั้งหมดกลับไปทำงานของตนต่อไป … เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆก็มีคนกลุ่มหนึ่งทะเลาะกัน ตามด้วยการชกต่อยกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ทหารเข้าไปห้ามการทะเลาะวิวาท … คนทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน มองหน้ากันอย่างไม่พอใจ … กลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาใหม่ไม่พูดอะไร … แต่กลุ่มที่ทำงานอยู่นานแล้วชี้หน้าด่า
“ก็ไอ้พวกนี้ …. มันมา แล้วมาชวนคุย มันบอกว่า ก่อนท่านรอนและชาวบ้านจะมา เมืองของเราสงบสุขดี และมาเกิดเหตุร้ายหลังจากท่านรอนเข้ามา” ชาวหนุ่มคนนั้นบอก “ แล้วมันก็บอกว่า ท่านรอนควรตอบแทนเมืองที่ให้ที่พักพิงด้วยการต่อสู้ให้เมืองนี้ แถมวันนี้สามตระกูลใหญ่เป็นคนไปเสนอให้ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ท่านรอนมาช่วยปกป้องเมือง”
“ทุกคนในที่นี้ก็รู้อยู่ว่าท่านรอนมาช่วยป้องกันเมืองด้วยตัวเอง … แถมเราทุกคนก็เห็นกันอยู่ว่าท่านรอนมาช่วยพวกเราต่อสู้ตั้งแต่วันก่อน ไม่ใช่มาเริ่มเอาวันนี้”
“ไอ้พวกนี้มันมาแอบอ้างผลงาน ท่านรอนทุ่มเทกำลังช่วยชาวเมืองด้วยตนเอง พวกนี้กลับมาแอบอ้างว่าเป็นเพราะพวกมัน …. แบบนี้จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร”
คนตรงนั้นทุกคนมองไปยังกลุ่มชายสามคนนั้นอย่างโกรธแค้น … เพราะนอกจากการให้ร้ายและแอบอ้างผลงานความดีของคนอื่นแล้ว ตลอดการพูดคุยคนกลุ่มนี้ไม่ได้ใช้สรรพนามเรียกรอนอย่างสุภาพ แต่เรียกแบบดูหมิ่นหยาบคาย
รอนเดินเข้ามา มองคนทั้งสามคนนั้นด้วยสายตาที่เจ็บปวด ส่ายหน้าเบาๆให้ทุกคนเห็น
” ผมขอร้องเถอะครับ …ตอนนี้เมืองของเรากำลังลำบาก ขอให้ทุกคนสามัคคีกันไว้ดีกว่า” รอนพูด ” ไว้ให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเราค่อยว่ากันอีกทีนึงดีกว่าครับ ”
“สำหรับคนกลุ่มนี้ ผมไม่อยากให้ทำอะไรพวกเขา ให้ทหารตรวจสอบว่าเป็นใครมาจากไหนแล้วปล่อยตัวไปแล้วกันครับ” เด็กหนุ่มบอกก่อนจะหันไปที่คนพวกนั้น ” ผมไม่รู้ว่าพวกท่านโกรธแค้นเคืองอะไรผม …แต่ผมก็เข้าใจว่าเมืองมีความสงบสุขมาก่อนที่ผมจะเข้ามาจริงๆ ….หากหมดจากเหตุการณ์นี้แล้วไม่มีภัยจากออร์ค ผมสัญญาว่าจะกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านโอลเซ่นตามเดิม … ขอให้นำคำของผมไปบอกเจ้านายของพวกคุณได้ครับ”
รอนพูดแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไป หยิบมีดดาบและโล่เล็กขึ้นมามองดูเหมือนจะเตรียมการต่อสู้อย่างสุดความสามารถ
ชาวเมืองและทหารที่อยู่ตรงนั้นได้ยินรอนแล้วยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นขึ้นอีกหลายเท่า …. เห็นได้ชัดว่ามีบางเรื่องที่พวกเขาไม่รู้ แต่ท่านรอนรู้อยู่แล้ว
และขนาดท่านรอนเป็นแค่”นักเดินทางที่ผ่านมา” ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเมือง ก็ยังยอมต่อสู้เพื่อเมือง
ขนาดถูกคนใส่ความแบบนี้ ก็ยังยอมต่อสู้เพื่อเมืองแถมยังยอมที่จะจากไปเมื่องานนี้จบลง …..
ทั้งหมดมองดูคนทั้งสามที่ถูกส่งเข้ามาด้วยสายตาที่โกรธแค้นเคืองจนทั้งสามคนนั้นขี้หดตดหาย … ทหารพยายามค้นว่าชายทั้งสามมาจากไหน แต่ทั้งสามไม่ยอมให้แผ่นแสดงตัวว่าเป็นใคร จนสักพักหนึ่งมีคนจำได้ว่าหนึ่งในสามนั้นเป็นคนรับใช้ของตระกูลซิลเวอร์รอน
… และยังไม่ทันจบเรื่องนี้ ที่อีกฟากฝั่งของกำแพงเมืองก็มีเสียงทะเลาะเกิดขึ้นอีก ทหารคนนึงวิ่งไปดู …แล้วกลับมาตรงกลุ่มคนที่มุงดูการสอบสวนกันอยู่
“มีคนสามคน มาพูดใส่ร้ายท่านรอน” ทหารนายนั้นชี้ไปที่คนทั้งสาม ” พูดประโยคเดียวกันเป๊ะ”
ตอนนี้คนที่กำแพงเมืองเริ่มรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างตุๆ มีคนพยายามเข้ามาพูดใส่ความท่านรอนและเจ้าเมืองอย่างเป็นระบบ …. ชาวเมืองที่กำลังเตรียมอุปกรณ์รบละทิ้งหน้าที่แล้ววิ่งไปตรงจุดที่เกิดเรื่อง รีบเล่าเรื่องราวให้คนรู้จักในบริเวณนั้นฟังแล้วคุมตัวคนปล่อยข่าวไว้
ภายในครึ่งชั่วโมง เกิดเหตุแบบเดียวกันอีกหลายครั้ง และในกลุ่มที่มาพูดยุแยง ล้วนแต่มีคนของสามตระกูลใหญ่แฝงตัวเข้ามา
ประชาชนชาวเมืองและทหารตรงกำแพงเมืองต่างโกรธแค้นจนแทบจะเป็นจลาจล …ทหารจากในเมืองที่เข้ามาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเข้ามาระงับเหตุการณ์ พอรู้เรื่องราวก็พลอยโกรธแค้นไปด้วย โดยเฉพาะทหารจากเซ็นจูเรี่ยนที่1และ2 ที่เคยสู้ด้วยกันกับรอนมา โกรธแค้นยิ่งกว่าใคร เพราะรอนเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ … และเป็นคนที่รุกเข้าไปในหมู่ออร์คก่อนใครคนอื่นเสมอ
รอนมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เริ่มจะเกินความควบคุม …เขาปิดฝาครอบหมวกกันน็อคลง ฝาครอบสีดำสะท้อนแสงปกปิดใบหน้าของเขาภายใน รอนเดินไปข้างหน้า ยกมือทั้งสองขึ้น
“ทุกคนครับ ถือว่าผมขอร้อง … เรามาเตรียมการรับศึกออร์คกันก่อนครับ” เขาพูดเสียงไม่ดังมาก น้ำเสียงที่ออกมาชัดอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเด็กหนุ่มกำลังกัดฟันพูด …. ” ศึกนอกกำลังจะมา อย่าเพิ่งแตกแยกก่อศึกในกันเลยครับ”
พูดจบแล้วเขาก็หันหลังกลับทันที ทุกคนเห็นว่าทั้งไหล่และแขนของเด็กหนุ่มสั่นไปหมด …..รอนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ตรงจุดที่ไม่มีคน มองไปข้างนอกแล้วถอดหมวกออก เด็กหนุ่มพยายามรุมตัวเองไม่ให้สั่นไปมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ยังสั่นเทิ้มไปทั้งตัวเป็นจังหวะ
ชาวเมืองและทหารเบื้องล่างมองเด็กหนุ่มบนกำแพงเมืองด้วยความรู้สึกต่างๆกัน เห็นใจ โกรธแค้นแทน อับอาย
รอนทำเพื่อชาวเมืองกาล่าถึงเพียงนี้ แต่ยังมีคนพวกนี้มาสร้างเรื่องราวให้ชาวเมืองโกรธเกลียด
ความคับแค้นใจเช่นนี้อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มคนนี้เลย
แม้แต่ทหารที่อยู่เบื้องล่างยังคิดว่าหากเป็นพวกตน คงไม่อดกลั้นน้ำตาไปสะอื้นไห้คนเดียวเช่นนั้น แต่คงเถียงตอบโต้ให้สาสม
สำหรับรอนในตอนนี้เขายืนบนกำแพงเมือง พยายามสังเกตว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ … เขาอดกลั้นเต็มที่ …..ที่จะไม่หัวเราะออกมา
‘555555555 ฮ่าฮ่าฮ่า มองหน้าพวกคนจากตระกูลใหญ่แล้วขำสุดๆ แต่ละคนหน้าซีดเผือกไปหมด คงไม่คิดว่าจะมาเจอดัดหลังแบบนี้สินะ 5555555’
รอนถอดหมวกกันน็อคออก ปาดน้ำตาที่ขำเมื่อกี้ออกแล้วหันกลับไป
‘เฮ้ย! ทำไมคนมองกันหมดฟะ! ไม่ได้ๆ เดี๋ยวความแตก’
รอนรีบหันกลับแล้วใส่หมวกไปใหม่ หันหน้าไปทางอื่น … รอยแตกจากขวานของแม่ทัพออร์คเมื่อครั้งนั้นเผยสู่สายตาของทุกคนเบื้องล่าง
“พวกแกยังมีมโนธรรมบ้างไหม ดูนั่น หมวกของท่านรอนที่ถูกขวานฟันขณะต่อสู้กับพวกข้าก่อนมาที่นี่ เสียสละขนาดนี้ยังไม่พอเรอะไง”
” พวกแกไม่มีญาติพี่น้องที่ได้รับยาจากท่านรอนเลยรึไง ยาพวกนั้น ก่อนที่คุณรอนจะมา ขายในตลาดมืดกันเท่าไหร่ … เม็ดละ2เหรียญทอง แต่นี่ท่านรอนเอามาแจกให้ พวกแกไม่สำนึกบุญคุณกันเลยเรอะ!”
“ขนาดพวกแกมาใส่ความแบบนี้ ท่านรอนยังออกรับแทนให้ แถมหลบไปร้องไห้คนเดียวแทนที่จะให้ลงโทษ”
“โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ข้าผิดไปแล้ววว โฮๆๆๆๆ ลูกข้า ลูกข้ารอดได้เพราะยาของท่าน ข้ามัน ข้ามัน ฮือๆๆๆ”
รอนฟังเสียง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ที่ดังขึ้น เขากดเปิดสกิลดู
[Deception โกหกหน้าตาย Lv11 01/100]
หลังจากนั้นชาวเมืองและทหารก็ปล่อยคนเหล่านั้นไป … ชาวเมืองบางคนรีบไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนพ้องที่กำแพงเมืองด้านอื่นๆฟังก่อนเพราะมั่นใจว่าจะต้องมีการกุข่าวให้ร้ายขึ้นที่หลายๆที่ในเมืองแน่ๆ ไม่นานนักคนทั่วเมืองก็รู้เรื่องที่มีความพยายามใส่ร้ายรอนและท่านโซล่า
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงขึ้น ที่ชายป่าด้านทิศใต้มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย รอนมองเห็นออร์คไรเดอร์โผล่ออกมาแล้วหายเข้าไปใหม่หลายตัว …. วันนี้ไม่มีการให้คนไปอยู่เวรยามที่หอสังเกตการณ์แล้วเพราะว่าทุกคนมั่นใจว่ามอนสเตอร์จะบุกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีเสียงเกราะหรือแตรเตือนภัยใดๆ นอกจากการกวักมือเรียกกันจากบนกำแพงเมือง
และนอกจากการเปลี่ยนแปลงตรงกำแพงเมืองทิศใต้ ก็เกิดอีกความเคลื่อนไหวในตัวเมือง
“ท่านมีอาครับ ที่ประตูเมืองฝั่งตะวันตกมีความเคลื่อนไหวของคนเยอะเลยครับ” ทหารรายงานข่าว
“เกิดอะไรขึ้น” นักดาบหญิงถาม
“ตอนนี้ตระกูลซิวเวอร์รอนที่มีคฤหาสน์อยู่ตรงนั้น ต่างอพยพครอบครัวและถอนกำลังคนเดินทางย้ายออกไปหลบที่อื่นครับ”
“หืม …. พวกมอนสเตอร์มาที่ประตูฝั่งนั้นรึ”
“ไม่มีครับ” ทหารตอบ “แต่ตอนนี้ชาวเมืองเชื่อกันว่านอกจากทิศใต้แล้ว ออร์คจะบุกมาที่ประตูทิศตะวันตกอีกแห่งนึงครับ ตอนนี้ชาวบ้านที่อาสาต่อสู้พากันยกเอาเฟอร์นิเจอร์ไปสร้างที่กีดขวาง เตรียมความพร้อมรับมือศัตรูแล้วครับ”
“เห ….. ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้นชาวบ้านถึงคิดแบบนั้น” รอนถาม
“…….. เอ่อ ก็ท่านรอน …..”
“ครับ?”
“ก็ท่านรอนให้ท่านโรล่าไปป้องกันตรงทิศนั้นไม่ใช่เหรอครับ” ทหารตอบ “ท่านโรล่าที่จัดการแม่ทัพออร์คได้ถูกส่งไปประจำด้านนั้น แถมจู่ๆก็มีเครื่องยิงหินไปตั้งอันนึง ….. ว่าแต่พวกเราต้องเสริมกำลังที่ด้านนั้นด้วยไหมครับ”
“………….”
‘เอาเถอะ คนเยอะๆก็ดี เผื่อมีอะไรโรล่าก็ยิ่งปลอดภัย’
“พวกมอนสเตอร์ออกมาแล้ว”
“พวกมันมาแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อม”
‘ปู้นนนนนนนน’
เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณกำแพงเมืองทิศใต้ รอนวิ่งขึ้นไปดู แล้วกลั้นใจฮึดนึง เพราะภาพตรงหน้าที่เห็นตอนนี้คือ แผงโล่ของศัตรูที่เรียงรายกันมากมาย ค่อยๆเคลื่อนตัวมาข้างหน้าอย่างช้าๆพร้อมเพรียงกัน
‘Testudo Formation! แนวกองทัพโล่!’ รอนคิดในใจ
“กัปตันเรย์ นำกองทหารม้าออกได้” มีอาสั่ง ประตูเมืองเปิดออก ม้าร้อยกว่าตัววิ่งเหยาะๆออกไป …. ม้าแต่ละตัวมีหอกไพลั่มพกไปด้วย8ด้าม ทั้งหมดวิ่งไปตามถนน ก่อนจะเว้นระยะห่างจากนั้นขว้างหอกไพลั่มใส่
“อู้ว”
“โอ๊ค”
กระบวนทัพของออร์คที่แบกโล่มาแตกเป็นจุดๆ เมื่อหอกกระทบโล่ก็งอปักลงพื้น … แรงดันจากเบื้องหลังทำให้ออร์คต้องทิ้งโล่อันนั้นไปแล้วถอยไปด้านหลัง ….การเดินทัพบีบมาทางด้านหน้าเรื่อยๆไม่หยุดบีบบังคับให้ออร์คไม่มีเวลาดึงหอกที่ปักหักงอออกจากโล่ มีแต่ต้องทิ้งไป
รอนสังเกตมองนักเวทบนหลังม้าสีดำ หอกบางอันพุ่งเข้าใส่ แต่เหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างป้องกันเอาไว้ …. เขาหวังว่าดราซัคจะใช้เวทเผาผลาญมานาตั้งแต่ระยะไกล
แต่ดูเหมือนมันไม่สนใจที่จะติดกับของการยั่วยุ มันนั่งบนหลังม้าที่ก้าวย่างมาช้าๆ ช้าๆ ภายใต้เวทโล่คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุด
ทหารม้าขว้างหอกจนหมดสิ้นแล้ว ต่างควบม้ากลับเข้าเมืองโดยมีออร์คไรเดอร์วิ่งกวดขับไล่พอเป็นพิธี
กองทัพออร์คตั้งแนวโล่เป็นขบวนแนวยาว และมาหยุดที่ระยะ1ไมล์ … ก่อนเข้าระยะธงแดงพอดี จากนั้นหยุดลง …. ทั้งมนุษย์บนกำแพงเมือง และออร์คที่ยืนเบื้องล่างต่างมองหน้ากัน พระอาทิตย์ลอยขึ้นฟ้าสูงแล้ว อีกชั่วโมงเดียวก็จะขึ้นสูงถึงกลางศีรษะ
ไม่มีการเจรจา
ไม่มีการควบม้าเลียบค่าย
มีเพียงการรอจังหวะก่อนจะทำการบุก
‘ปู้นนนนนนนนนน’
‘ปู้นนนนนนนนนน’
เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้น …. ไม่ใช่จากกำแพงทิศใต้ แต่ห่างออกไป
“แตรดังมาจากทิศไหน” มีอาตะโกนถาม …. และได้รับคำตอบในทันที
เฮ! โรล่า โรล่า โรล่า!
เสียงดังมาจากประตูตะวันตก
“ท่านมีอาครับ กองกำลังออร์คประมาณ300บุกประตูทิศตะวันตกครับ” ทหารตะโกนบอก
“พวกเราชนะแน่!”
“ท่านรอนวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เราป้องกันดักทางมันได้ ปราดเปรื่องสุดๆ”
“เฮ!!!”
รอนใจหายวาบ …. นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่เขาเลือกที่ทางให้โรล่าแล้วกลายเป็นพาเธอไปอยู่ในทิศที่มีปัญหาแทน
แต่มาคิดตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว …. มองในแง่ดี ตอนนี้ชาวบ้านไปออช่วยกันอยู่ น่าจะพอต้านได้
“เตรียมบรรจุหิน!” เด็กหนุ่มตะโกน
กองทัพออร์คตรงหน้าเริ่มเคลื่อนกำลัง เตรียมบดขยี้มนุษย์ให้สิ้นซาก!