Midterm Fantasy - ตอนที่ 62
พระอาทิตย์ขึ้นสูงบนท้องฟ้า โรล่ายืนอยู่ที่หน้าบ้านพักเด็กกำพร้ากับมาเรีย เฒ่าเบรเซอร์ และพอล
ชาวเมืองและทหารที่เฝ้าประตูเมืองชี้มาที่เด็กสาว เสื้อแจ็คเก็ตป้องกันการแทงฟันที่เธอสวมใส่ทำให้เธอดูเด่นกว่าคนอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้น
“คุณโรล่ามาทำอะไรตรงนี้ครับ” ทหารที่เฝ้าตรงประตูเมืองถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ … แค่คุณรอนขอให้ชั้นมาเฝ้าที่ถนนหน้าบ้านเด็กกำพร้าน่ะค่ะ” เด็กสาวตอบ ระหว่างที่พอลขอแรงชาวบ้านบริเวณนั้น ให้ช่วยกันยกโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ภายในบ้านอันใหญ่ๆออกมาวางไว้ที่กลางถนน
“แล้วนั่น……” ทหารถามอีกครั้ง พร้อมชี้ไปที่พอลที่กำลังยกโต๊ะออกมา”
“ไม่มีอะไรครับ แค่เอามาตั้งเอาไว้ เผื่อว่าถ้าออร์คบุกเข้าเมือง เราจะได้มีที่หลบกำบังระหว่างต่อสู้” พอลตะโกนตอบด้วยเสียงดังฟังชัด จนคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
ออร์คบุกเข้าเมือง?!? ไหนว่าออร์คมาทางทิศใต้ไม่ใช่รึ?
ทหารและชาวเมืองบริเวณนั้นมองหน้ากันเอง
โรล่าไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินเข้าไปในบ้านพักเด็กกำพร้า ในนั้นมีเด็กอาศัยอยู่100กว่าคน … มีนักบวชหญิง 2 คนคอยดูแลอยู่ เด็กหลายคนยังเล่นกันเป็นปกติ แต่เด็กที่โตหน่อยก็มีท่าทางกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“พวกมอนสเตอร์จะบุกเข้าเมืองไหมคะ”
“ไม่หรอกจ๊ะ … ท่านโซล่าและพวกผู้ใหญ่จะช่วยปกป้องพวกเราเอง” นักบวชหญิงปลอบ
“แต่ข้างนอกมีคนบอกว่าท่านเจ้าเมืองและกองทหารเพิ่งแพ้กองทัพมอนสเตอร์กลับมาเองนะครับ”
“ ……. ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ๊ะ เรายังมีกำแพงเมือง .. พวกมอนสเตอร์ทำลายกำแพงเข้ามาไม่ได้แน่นอน” นักบวชหญิงตอบปลอบใจเด็กๆอีกครั้ง แต่แววตาของเธอเองก็ดูกังวลไม่น้อย … โรล่าค่อยๆเดินเข้าไปอยู่ตรงกลาง
“ทุกๆคนไม่ต้องเป็นห่วงไปนะจ๊ะ” โรล่าปลอบใจ “พวกผู้ใหญ่มาช่วยกันป้องกันที่ประตูเมืองแล้ว พวกมอนสเตอร์เข้ามาไม่ได้หรอกจ๊ะ”
“พี่โรล่า!” เด็กๆร้องอย่างดีใจ “พี่มาเยี่ยมพวกเราเหรอคะ/ครับ”
“จ๊ะ … คุณรอนให้พี่มาเฝ้าตรงด้านนี้ของเมือง” เด็กสาวตอบ
ก่อนหน้านี้เมื่อมีเวลาว่าง เด็กสาวก็มาเยี่ยมบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้านี้แล้วหลายครั้ง … และเด็กๆที่นี่ทุกคนก็ได้ยินเรื่องเล่าจากพวกผู้ใหญ่กันมาว่า คุณโรล่าที่ฆ่าแม่ทัพออร์คได้ด้วยมีดเล่มเดียวก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน
“พวกมอนสเตอร์จะไม่บุกมาประตูนี้ใช่ไหมคะ” เด็กคนนึงถามขึ้น
“…. พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ … แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นกองทัพมอนสเตอร์ที่นี่เลย … และมีก็จะมีคนเป่าแตรสัญญาณเตือน เราก็จะรู้ตัวกันก่อนจ๊ะ” โรล่ายิ้มให้ “และกำแพงเมืองก็สูง มีทหารและผู้ใหญ่มากมายป้องกันอยู่ มันเข้ามาไม่ได้ง่ายๆแน่ๆ”
“แล้วถ้าเกิดมันมา แล้วเข้าประตูเมืองมาได้ล่ะครับ พวกเราจะทำยังไงดี”
“อย่ากังวลไปเลย” โรล่าปลอบ “ถ้าถึงเวลานั้นพี่และพวกผู้ใหญ่จะคอยต้านพวกมันไว้ที่ประตูเมือง”
“และขอให้ทุกคนรีบหนีออกจากบ้านพัก พอออกจากประตูแล้วเลี้ยวขวาหนีไปทางปราสาททันที อย่าให้มอนสเตอร์ตามทันจ๊ะ”
นักบวชหญิง 2 คน “………………….”
เด็กๆ “………………….”
“งั้นพี่ขอออกไปเตรียมตัวก่อนนะ” โรล่าบอก “ซิสเตอร์คะ … ที่นี่พอจะมีโต๊ะหรือตู้ใหญ่ๆที่ไม่ใช้และบ้างไหมคะ พวกเราจะเอาไปทำกำแพงเตรียมรับมือมอนสเตอร์ที่อาจจะเข้าเมืองมาค่ะ”
“ม ม มีค่ะ … โต๊ะในสนามหญ้าข้างหน้า ยกเอาไปได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
โรล่าก้มศีรษะให้แล้วเดินออกไป …. ทั้งเด็กเล็กเด็กโตมองหน้ากันทำท่าจะร้องไห้และมองหน้าซิสเตอร์ทั้งสองคน
“อดัม เอมี่ … บอกเด็กโตทุกคนช่วยกันอุ้มเด็กทารก ” นักบวชหญิงบอก “ส่วนคนที่เหลือช่วยกันเก็บของที่จำเป็น พวกเราจะอพยพเข้าใจกลางเมืองกันชั่วคราวจ๊ะ”
โรล่าเดินออกมาแล้วชี้บอกให้ชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันยกโต๊ะในสนามของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตั้งทำแนวป้องกันไว้ … ส่วนบนถนนตอนนี้มีเครื่องยิงหิน 1 เครื่อง ถูกลากตรงไปยังกำแพงเมืองโดยมีชาวบ้านและทหารช่วยกันเข็นมา … เด็กกำพร้าในบ้านพักอุ้มเด็กทารกและหิ้วข้าวของสวนทางเข้าใจกลางเมือง
เด็กนับร้อยที่เดินเป็นแถวกันไปและเครื่องยิงหินที่ถูกขนมาจากอีกด้านทำให้ทุกคนมองอย่างสงสัย
เกิดอะไรขึ้น ?
และระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยกัน … ขบวนที่ใหญ่กว่าก็ตามมา
“หลบไป”
“ทุกคนหลบออกจากถนน”
ชายบนม้าตะโกน … เบื้องหลังชายคนนี้เป็นรถม้านับ 10 คัน มีกลุ่มติดอาวุธคุ้มกันมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง ที่รถม้าทุกคัน ที่เกราะของทุกคนมีตราของตระกูลซิลเวอร์รอนอยู่
“นั่นพวกซิลเวอร์รอนนี่ … ทำไม…กำลังจะไปไหนกัน”
“คฤหาสน์ตระกูลซิลเวอร์รอนอยู่ใกล้กำแพงเมืองฝั่งนี้ … แล้วทำไมพวกนั้นจู่ๆถึงนั่งรถม้าไปในตัวเมืองกันล่ะ ”
“พวกเด็กกำพร้าด้วย?”
“ท่านโรล่า มอนสเตอร์จะบุกประตูนี้เหรอครับ” ชาวเมืองถาม
เด็กสาวส่ายหน้า เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน … เธอรู้เพียงแต่ว่ารอนให้เธอมาเฝ้าที่ฝั่งนี้เท่านั้น และที่เธอบอกเด็กๆให้เตรียมหนี เพราะเธอรู้ว่าหากประตูเมืองแตกลงจริงๆ เด็กๆในบ้านพักเด็กกำพร้าที่ห่างจากประตูเมืองไม่กี่ร้อยเมตรนี่คงหนีไม่ทันแน่ๆ
แต่กับการที่มีการขนเครื่องยิงหินมาทางนี้ กับที่ตระกูลซิลเวอร์รอนอพยพออกไปนั้น เธอไม่รู้จริงๆ
แต่ละคนมองหน้ากัน ก่อนที่ชายสูงวัยคนหนึ่งจะเดินไปหยิบหอกที่ทหารนำใส่รถม้ามาจอดไว้
“ข้าจะสู้ด้วย …” ชายชราเอ่ย
“บ้าหรือไงลุงแอรอน” ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆบอก “ลุงแก่แบบนี้จะสู้ไปทำไม”
“ลูกของข้าเป็นทหารแล้วก็ยังบาดเจ็บอยู่ ถ้าพวกมันบุกเข้ามาได้ พวกมันต้องฆ่าทหารที่บาดเจ็บแน่ๆ” ชายชราบอก “ดังนั้นข้าจะสู้ด้วย”
“ข้าด้วย ถ้าสู้อาจจะตาย” ผู้ชายอีกคนเดินไปหยิบหอก “แต่ถ้าพวกมันเข้าเมืองมาได้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกมันฆ่าตายหรือเปล่า”
“ข้าด้วย!”
“ข้าด้วย!”
ชาวเมืองบางส่วนเข้าไปหยิบอาวุธกัน … แต่ก็มีบางส่วนที่ค่อยๆหลบออกไป …
ไม่มีใครพูดอะไร
คนที่สู้ สู้เพราะต้องการปกป้องคนที่ตนรักและเป็นห่วง
คนที่ไม่อยากสู้ บ้างไม่สู้เพราะกลัว
และคนที่ไม่อยากสู้ บ้างไม่สู้เพราะหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวที่ตนรักและเป็นห่วง
เพียงครู่เดียวถนนใกล้ประตูเมืองก็เหลือทหารและชาวเมืองบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุที่ไม่มีครอบครัว หรือไม่ก็เด็กหนุ่มที่ไม่ได้มีครอบครัวให้รับผิดชอบอะไรมาก แต่ทุกคนมีจุด
ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน เสียงแตรดังขึ้น …
“ประตูทิศใต้”
“พวกมันบุกแล้วรึ”
“ไม่ใช่ทางนี้”
แต่ละคนมีสีหน้าทั้งกังวลที่เมืองถูกบุก และดีใจที่ฝั่งที่โดนไม่ใช่ฝั่งของตน เสียงเฮของคนดังมาจากฝั่งด้านทิศใต้เป็นระยะๆ
โรล่าเดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ภายในตัวเมืองมีทหารและชาวเมืองที่อาสาต่อสู้เตรียมและฝึกซ้อมการใช้อาวุธกันอยู่ราวๆสามร้อยคน ส่วนนอกเมืองตอนนี้มีเพียงทุ่งข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปจนหมดเป็นพื้นที่โล่งสุดลูกหูลูกตา เด็กสาวมองกวาดสายตาไป
“นั่น ตรงนั้น!” เธอชี้นิ้วไปที่ตรงถนน …. ตอนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังตรงมาที่เมืองมุ่งมาตามถนน
“ออร์ค!” ทหารที่ยืนบนกำแพงเมืองร้องขึ้น โรล่านับคร่าวๆ … กลุ่มของออร์คนี้ใหญ่กว่ากลุ่มที่เคยสู้ที่บริเวณเนินเขา … นับด้วยสายตามี 1..2..3..4..5 กลุ่ม
5กลุ่ม … ครั้งที่แล้วเธอจำได้ว่าพวกมันแต่ละกลุ่มมีออร์ค 80 ตัว
“ตั้งเครื่องเครื่องยิงหิน …. ตั้งเครื่องยิงหินบนถนนด้วยค่ะ” เด็กสาวบอกทหารที่ยืนข้างๆ
“เห?” ทหารข้างๆร้องอย่างแปลกใจ
“พวกมันมีจำนวนน้อย มันต้องบุกมาที่ประตูแน่ๆค่ะ” เธอบอก … ก่อนที่จะวิ่งลงจากกำแพงเมือง มือขวากุมกำมีดสีเงินที่เหน็บไว้ที่ข้างเอวแน่น …
“ทุกคน … ออร์คมาแล้ว เตรียมพร้อมได้แล้วค่ะ” เด็กสาวบอกชาวบ้านและทหารที่อยู่ด้านล่าง “คนที่มีธนูช่วยกันขึ้นไปบนกำแพงเมืองด้วย”
“คุณตาคะ ….. ศัตรูมี 5 กลุ่มค่ะ” โรล่ารีบไปบอกเบรเซอร์ “ ถ้ามันมีกลุ่มละ 80 เท่ากับตอนที่สู้กับเราที่เนินเขา แปลว่ามันมี 400 ตัว … มากกว่าคนของเราที่กำแพงเมืองตอนนี้”
เบรเซอร์ คิดอยู่อึดใจนึงก่อนจะบอก “มาเรีย …. รีบไปที่กิลด์นักผจญภัย และขอให้พวกเขามาช่วย … บอกไปว่าศัตรูที่บุกมาที่นี่มีมากกว่าพวกเรา”
โรล่าและพอลช่วยกันจัดแนวป้องกันของชาวเมืองที่พื้นรอบๆทางเข้าประตูเมืองและบันไดทางลงจากกำแพง ในขณะที่ทหารขึ้นไปบนกำแพงเมือง … เตรียมตัวรับออร์คที่จะพาดบันไดปีนขึ้นมา
ชาวเมืองที่มาร่วมกันสู้มองดูเด็กสาวที่วิ่งขึ้นบันไดกำแพงเมืองอีกครั้ง … ร่างเล็กๆขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้วมองออกไป
เด็กสาวคนนี้ … เป็นชาวบ้านธรรมดาจากหมู่บ้านเล็กๆ
เด็กสาวคนนี้ … ไม่ได้เป็นทหาร
เด็กสาวคนนี้ … ไม่ใช่คนในเมืองนี้
ในขณะที่ชาวเมืองหลายคนเลือกที่จะหนี … ตระกูลใหญ่ที่มีกำลังพลส่วนตัวเลือกที่จะหนี
แต่เธอก็พยายามช่วยป้องกันเมืองนี้อย่างสุดความสามารถ … เธอและชาวบ้านที่มีประสบการณ์ต่อสู้กับออร์ค ต่างอาสาช่วยเมืองนี้
ภาพตรงหน้าทำให้เลือดในกายของชายทั้งหลายเดือดพล่าน …
“เป็นออร์คแน่นอน … จำนวน ประมาณ 300-400 ตัว” ทหารตะโกนบอก “มี 1 ตัวใส่เกราะแบบทั้งตัวด้วย”
“แม่ทัพออร์ค!” ทหารคนนึงร้องขึ้น หลายคนหน้าซีด … ทหารจำนวนไม่น้อยสังเวยชีวิตไปกับออร์คที่ใส่เกราะเต็มตัวแบบนี้ไปแล้ว”
“ทุกคนคะ! ในกลุ่มออร์คที่บุกเข้ามามีตัวนึงที่ใส่เกราะทั้งตัว” โรล่าร้องบอก “ใครที่ใช้เวทไฟได้ ให้ใช้เวทไฟในระยะประชิด … สำหรับใครที่ใช้เวทไฟไม่ได้” เธอชี้ไปที่โต๊ะเก้าอี้ที่วางระเกะระกะข้างล่าง “ให้ใช้ของชิ้นใหญ่ๆฟาดลงไป”
“พวกเราทดสอบกับเกราะที่ได้จากแม่ทัพออร์คตัวที่แล้วที่กำจัดได้ … เกราะของมันกันหอกและดาบได้ แต่ไม่ทนกับการทุบและเวทไฟ” โรล่าตะโกน “พวกเราสามารถฆ่ามันได้”
เด็กสาวมองหน้าทหารที่ถือเขาสัตว์สัญญาณและพยักหน้า ก่อนจะชูมีดสีเงินในมือขึ้น … มีดที่เคยใช้สังหารแม่ทัพออร์คมาแล้วตัวนึง
ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน เสียงแตรสัญญาณดังขึ้น หญิงชายชาวเมืองเบื้องล่างจ้องมองมีดสั้นเล่มนั้นในมือน้อยๆ
“เฮ !!!!” …. “โรล่า โรล่า โรล่า”
ชาวเมืองตะโกนเสียงดังเป็นจังหวะ
แต่ละคนคิดเหมือนกัน … การที่เด็กสาวที่เคยฆ่าออร์คมาอยู่ตรงนี้ แล้วมีการบุกของออร์คที่ด้านนี้ด้วย มันแปลได้เพียงอย่างเดียว คือ เบื้องบนคนที่สั่งมาต้องรู้ว่าออร์คจะมาด้านนี้
แปลว่าต้องเตรียมการไว้พร้อมแล้วและมีหวังจะชนะ
ชนะแน่ๆ ชนะแน่นอน !
“เฮฮฮฮฮ!”
“ข้าแต่เทพเวโรน่า โปรดอวยพรนักรบเหล่านี้ด้วย <Blessing>”
แสงสว่างเรืองรองปรากฏขึ้นรอบร่างของทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง จนทหารและชาวเมืองหันไปมอง
นักบวชหญิงสองคนข้างล่างกำลังร่ายเวทให้กับชาวเมืองและทหาร …
“ซิสเตอร์!” โรล่าวิ่งลงจากกำแพงเมือง “ทำไมไม่ไปอยู่กับพวกเด็กๆล่ะคะ”
“พวกเด็กๆเข้าไปหลบในปราสาทกันแล้วค่ะ … และตรงนี้ไม่มีนักบวชอยู่เลย ถ้าเรามาอยู่ตรงนี้ก็จะช่วยใช้เวทรักษาให้ทุกคนได้”
“ขนาดคุณโรล่าที่ไม่ใช่ชาวเมืองนี้ยังมาร่วมสู้ จะให้พวกเราหนีไปหลบในปราสาทได้ยังไงคะ”
โรล่ายิ้มและพยักหน้าให้ …. และหันไปมองถนนด้านหลัง มีกลุ่มคน 100 กว่าคนวิ่งมาตามถนน แต่ละคนอยู่ในชุดเกราะหนังและถืออาวุธต่างๆกันโดยมีมาเรียวิ่งตามมา
“ โฮ้ … เบรเซอร์ ลุงก็อยู่นี่เรอะ” ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ในชุดเกราะหนังโบกมือทัก ขวานยักษ์ในมือที่โบกนั้นขยับไปมาอย่างเบาสบาย
“โอ้ คาร์ลอส” เบรเซอร์ทัก
“นักผจญภัยทุกคน … ข้างนอกมีออร์คฝูงใหญ่ พวกเราพร้อมไหม!!!”
“เฮฮฮ!” นักผจญภัยทั้งหลายยกอาวุธในมือตะโกนรับ
“ลุงเบรเซอร์ … ไว้สู้เสร็จรอบนี้พวกเรามาจิบเบียร์รำลึกความหลังกัน”
“แน่นอน”
คาร์ลอสวิ่งนำนักผจญภัยขึ้นกำแพง ….
แผนง่ายๆไม่ซับซ้อน … คือ ถ้ามีออร์คปีนขึ้นมา ทหารและนักผจญภัยที่มีความสามรถในการรบมากกว่าก็จะยันเอาไว้ …
ส่วนชาวเมืองที่ประสบการณ์ในการรบต่ำกว่า ก็ให้คอยเก็บกวาดออร์คที่หลุดรอดกระโดดลงจากกำแพงได้
“พวกมันมาแล้ว” ทหารตะโกน ภาพเบื้องหน้าคือออร์ค 5 กอง ยกโล่ขึ้นตั้งเป็นแผง แล้วเดินแถวมาอย่างมั่นคง ธนูและหน้าไม้ที่ยิงจากกำแพงเมืองทำได้เพียงแค่ปักลงไปบนโล่ไม้ของพวกมันเท่านั้น …. ทุกคนรอ … รอให้พวกมันเข้าระยะยิงด้วยเครื่องยิงหิน
เบรเซอร์ค่อยๆเดินไปที่แนวชาวบ้านที่ตั้งแนวป้องกัน ดึงมาเรียและโรล่ามาช้าๆ เด็กสาวทั้งคู่มองหน้าชายชราอย่างงงๆ
“มีอะไรคะคุณตา”โรล่าถาม
“รอนสั่งตาเอาไว้ก่อนที่จะให้พวกเรามาตรงนี้” …. เบรเซอร์บอก
“รอน ….. เค้ามีแผนรับมืออะไรหรือคะ” เด็กสาวถาม “เค้าให้พวกเรามารอออร์คพวกนี้ที่นี่ แปลว่ามีแผนจะให้เราทำใช่ไหมคะ”
เบรเซอร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ …….. พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว … ที่รอนให้พวกเธอมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะต้องการให้พวกเรามาสู้ ”
“เขาต้องการให้พวกเธอมาอยู่ที่นี่ เพราะเขาคิดว่าออร์คจะไม่บุกที่ด้านนี้” เบรเซอร์บอก “เขาสั่งไว้ว่า หากมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น ให้ตาบอกพวกเธอทั้งสามคนให้หนีไปอยู่ที่ปราสาท”
โรล่า มาเรีย ลืมตากว้างมองหน้าเบรเซอร์ …. เพราะคำบอกเล่าที่ได้จากชายชราตรงข้ามกับสิ่งที่คิดไว้ในตอนแรก ….. มาเรียหันไปมองเพื่อน ส่วนโรล่ายิ้มแล้วส่ายหน้าให้
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณตาก็เห็นว่าชาวเมือง ทหาร และทุกๆคนตั้งความหวังไว้กับพวกเรายังไง …. แล้วจะให้หนูทรยศความเชื่อใจที่พวกเค้ามีให้พวกเราได้เหรอคะ”
เบรเซอร์มองหน้ามาเรีย
“ถ้าโรล่าอยู่ หนูก็อยู่ด้วย” มาเรียตอบสั้นๆ
“ได้ …. งั้นเราสู้ด้วยกัน” เบรเซอร์บอก
“ยิงได้!!!!!!!!!!!”เสียงตะโกนดังลั่นมา เครื่องยิงหินดีดหินพุ่งไปในอากาศ ข้ามธงแดงที่โบกสะบัด
“เตรียมอันถัดไปอย่าหยุด ดึง ดึง ดึง ดึง …. พอ ใส่สลัก วางหิน” หัวหน้าทีมร้อง “ยิงได้”
นักผจญภัยและทหารมองดูภาพเบื้องหน้า … หินนัดแรกตกลงไปใจกลางกลุ่มออร์ค เศษเนื้อแขนขาปลิดปลิวลอยขึ้นฟ้า โล่ไม้ที่หนาหนัก แตกกระจายเป็นชิ้นเหมือนกับเศษกระดาษ
เสียงร้องครั้งแรกไม่ทันจางหาย หินก้อนถัดไปก็ตกกระแทกใจกลางออร์คด้านหลัง
…. แล้วก่อนที่ทุกคนจะทันตั้งตัว ออร์คทั้งหมดก็ทิ้งโล่ แล้วพุ่งตัวแตกออกเป็นวง
“พวกมัน …!” นักผจญภัยชี้ “พวกมันกระจายกลุ่มแล้ว”
“ธนู ใช้ธนูยิงมัน” ทหารร้อง
หินก้อนที่ 3 จากเครื่องยิงตกลงพื้นอีก แต่คราวนี้ถูกออร์คเพียงตัวเดียว !!!
แม่ทัพออร์คตะโกนสั่งการ … โบกมือไปมา แล้ววิ่งเฉียงหลบทิศที่คาดว่ากระสุนหินจะตก
“พวกมันไม่ได้รวมกลุ่ม เครื่องยิงหินใช้ไม่ได้ผลแล้ว”
“พวกเราทุกคน เตรียมตัวประจัญบาน!!!”
การรบที่กำแพงเมืองทิศตะวันตกเริ่มขึ้นแล้ว …. ทหารและนักผจญภัยทั้งหลายเตรียมต่อสู้บนกำแพงเมืองโดยที่ไม่มีใครทันเอะใจว่า
ทำไมออร์คที่บุกเมืองกลุ่มนี้ถึงไม่มีบันไดปีนเมืองมาเลยสักอัน!