Midterm Fantasy - ตอนที่ 73
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วลานหมู่บ้านทำให้รอนที่นั่งอยู่ตรงกลางถึงกับต้องนั่งก้มหน้าอย่างอับอาย
“ตกลงท่านรอนสั่งให้โกเลมเดินทางมาหมู่บ้าน แล้วสั่งไม่ละเอียด มันเลยตรงไปเรื่อยๆ ชนรั้วก็ไม่หยุด”
“แล้วพอท่านรอนเห็นว่าโกเลมเจอทำลายหลายตัวเลยคิดว่าหมู่บ้านถูกโจมตี เลยรีบเข้ามาไม่ได้ระวังจนเจอยิงตกม้า”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ทั่วทั้งหมู่บ้านสว่างไสวไปหมดจากการจุดคบไฟ ชาวบ้านที่กำลังนอนอยู่เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็ตื่นตัวกันเต็มที่ มาตอนนี้เลยไม่มีใครกลับไปนอนหากแต่ออกมาต้อนรับเด็กหนุ่มที่มีบุญคุณต่อหมู่บ้าน
แต่ยิ่งคนมีมากเท่าไหร่ รอนยิ่งอับอายมากเท่านั้น เพราะตอนที่เขามาถึงหมู่บ้านเขาถูกกองไฟที่จุดอยู่ด้านนอกทำให้สายตาปรับเข้ากับแสงสว่างตรงนั้นจนมองไม่เห็นทางเข้าหมู่บ้านที่อยู่เบื้องหลัง จึงไม่รู้ว่าชาวบ้านกำลังตั้งแถวยิงป้องกันอยู่
ท่าตกม้าเมื่อครู่นี้ถูกชาวบ้านที่ตั้งแถวอยู่เล่าผลิตซ้ำให้คนอื่นๆที่ยังไม่เห็นฟังหลายเที่ยว คนที่ได้ฟังก็ต้องหัวเราะกันไปตามๆกัน
ที่จริงเรื่องการตั้งกองไฟไว้รอบนอกเพื่อการบดบังการมองเห็นหมู่บ้าน คือเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนที่จะเข้าหมู่บ้านต้องระมัดระวัง แต่การที่โกเลมถูกทำลายพร้อมๆกันทำให้รอนสูญเสียความเยือกเย็นไปเพราะเข้าใจผิดว่าในหมู่บ้านมีมอนสเตอร์ …นี่ถ้าเมื่อครู่คนที่โผเข้ากอดไม่ใช่โรล่า หากแต่เป็นศัตรูที่พุ่งเข้าใส่ ตอนนี้รอนอาจจะเจ็บหนักไปแล้วก็ได้
“ว่าแต่ท่านรอนไม่ได้สั่งโกเลมให้หยุดที่หน้าหมู่บ้านเหรอ” เบรเซอร์ถาม
“เปล่าครับ … ผมสั่งแค่ว่าให้มันเดินไปตามถนนจนถึงหมู่บ้าน กับสั่งไว้ว่าห้ามทำร้ายมนุษย์” รอนตอบ “แล้วพอมันออกนอกระยะผมก็สั่งการมันอีกไม่ได้”
พอสั่งให้มันไปหมู่บ้านแต่ไม่ได้บอกว่าไปตรงส่วนใดของหมู่บ้าน มันเลยเข้าไปข้างในหมู่บ้าน … รอนคิดว่ามองในแง่ดีมันก็เป็นเรื่องตลก แต่ถ้าหากไปเกิดเรื่องนี้ในตัวเมืองหรือเขาลืมสั่งห้ามทำร้ายมนุษย์ ก็อาจจะเกิดเรื่องได้ …
แถมเขาเพิ่งรู้ว่าพอโกเลมออกจากระยะ40-50เมตร เขาก็ไม่สามารถสั่งการหรือรับรู้การทำงานของมันได้ แบบนี้ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่คาดฝันเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งหน้าหากรอนจะใช้มันอีก เขาคงต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าไปนอนต่อก่อนนะ”
“ใช่ๆ โรล่า…ยังไงดูแลท่านรอนดีๆด้วยล่ะ”
ชาวบ้านค่อยๆกระจายแยกย้ายกันกลับไปบ้านของตน ที่จริงเหตุการณ์นี้ก็มีส่วนดีที่รอนไม่ทราบ นั่นคือก่อนหน้านี้ชาวบ้านบางคนโดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้พูดคุยกับรอนมาก่อน เกิดความรู้สึกกลัวเกรงในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ตั้งแต่เห็นและได้ยินเรื่องการรบที่เมืองกาล่า
แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา รวมถึงการที่โรล่ากล้าวิ่งเข้าไปหาแบบนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าที่จริงรอนก็เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆคนนึงเหมือนกัน
“ว่าแต่คุณรอนเดินทางกลางคืนแบบนี้ไม่อันตรายหรือเจอมอนสเตอร์บ้างเหรอคะ” โรล่าถาม
แทนคำตอบ รอนหันไปที่โกเลมที่ตนพามาด้วย หยิบย่ามที่แขวนไว้ลงมาแล้วค่อยๆเทของภายในลงพื้น … ทั้งเขี้ยวของออร์ค หูก็อบลิน หางจิ้งจอกหิมะ และแกนมอนสเตอร์หล่นลงมา หลายชิ้นยังมีเลือดซึมๆอยู่เลย
“ตอนนี้หมู่บ้านสงบเรียบร้อยดีหรือเปล่าครับ” รอนถาม
“ดีค่ะ …ตอนนี้ …… ” โรล่ากำลังจะบอกต่อ แต่มาเรียเดินเข้ามาขัดไว้ก่อน
“ตอนนี้ ด้วยเงินของท่านรอนที่ให้มา ทำให้พวกเราซื้ออาหารและซ่อมแซมหมู่บ้านได้ …สำหรับอาหาร ตอนนี้เรามีอาหารเพียงพอสำหรับระยะเวลา6เดือน เป็นอาหารที่ได้จากการซื้อประมาณ3เดือน และเป็นอาหารที่ได้จากการล่าสัตว์กับมอนสเตอร์ สำหรับข้าวโพดที่คุณรอนปลูกไว้ พอสำหรับการกินอีกเดือนนึง และเราเหลือเมล็ดพันธุ์ไว้สำหรับปลูกในครั้งหน้าอีกส่วนหนึ่ง” มาเรียบอก
มาเรียเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีของหมู่บ้าน ดังนั้นเรื่องรายละเอียดพวกนี้จะแม่นยำกว่า
“ส่วนเรื่องอาวุธ ตอนนี้หมู่บ้านของเราได้อาวุธแบ่งมาจากเมืองกาล่าอันเป็นผลงานจากการมีส่วนร่วมในการรบกับกองทัพของนักรบมังกร” มาเรียบอกต่อ “อาวุธที่เรามีตอนนี้ได้แก่ …..”
“มาเรีย … พอแล้ว” เบรเซอร์เดินมาตบที่บ่า “คุณรอนวันนี้ไปพักที่บ้านของข้าก่อนแล้วกัน”
“แต่เราจัดบ้านเอาไว้ให้ท่านรอนแล้วนะคะ” มาเรียแย้ง
“เอาเถอะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน วันนี้คงต้องคุยอะไรกันอีกเยอะแยะ ยังไงก็ให้ท่านรอนไปพักที่ห้องเดิมก่อนแล้วกัน” เบรเซอร์ตัดบทก่อนจะดึงเอามาเรียกลับไปที่บ้าน
รอนยืนเกาแก้มมองเบรเซอร์ที่ดึงตัวมาเรียไป ตอนนี้ที่ลานกลางหมู๋บ้านเหลือเพียงเขากับโรล่าเพียงสองคน อากาศที่หนาวเย็นทำให้แต่ละคนพากันถอยกลับไปที่บ้านของตนเอง …รอนมองที่โกเลมอัลปาก้าที่ยืนรออยู่ทั้งสามตัว
“ตามมานี่” รอนสั่งแล้วเดินมุ่งไปที่บ้านของพ่อเฒ่าเบรเซอร์
“ค่ะ” โรล่าตอบแล้วเดินตามอย่างว่าง่าย
” โอ้ว … ไม่ใช่ครับ ผมบอกโกเลมครับ” รอนหัวเราะ เด็กสาวหน้าแดงและยิ้มอย่างเขินๆ
“คุณโรล่าครับ ช่วงที่ผมไม่อยู่ทุกคนสบายดีกันไหมครับ” รอนถาม
“ทุกคนสบายดีค่ะ … ด้วยเงินที่คุณรอนให้มา หมู่บ้านของเราปรับปรุงสภาพขึ้นเยอะเลย” เด็กสาวตอบ ” แล้วก็ช่วงนี้เป็นหน้าหนาว คุณตาเบรเซอร์ก็เลยฝึกหัดเรื่องการใช้อาวุธให้กับทุกคน เวลาออกไปล่าสัตว์ก็ไปกันเป็นกลุ่ม อาวุธและเกราะของเราก็ดีขึ้น เวลาไปเจอมอนสเตอร์ก็ไม่ได้บาดเจ็บแบบแต่ก่อน”
” แล้วท่านนักบวชรอคโค่เป็ฯยังไงบ้างครับ” รอนถามและหันไปทางโบสถ์ของหมู่บ้าน
“ท่านรอคโค่กลับไปแล้วค่ะ” โรล่าบอก “แต่เดิมท่านรอคโค่ไม่ได้อาศัยที่โบสถ์ของเราอยู่แล้วแต่มาช่วยตอนที่มีโรคระบาด พอเรื่องจบก็เลยกลับไปที่เมืองหลวงแล้วค่ะ”
รอนเดินพาโกเลมอัลปาก้าไปถึงตรงข้างบ้าน เขาให้มันนั่งย่อลงกับพื้น จากนั้นแก้เงื่อนที่ผูกผ้าพาดขวางตัวที่ใช้บรรจุห่อของเอาไว้
“เดี๋ยวผมขอแก้ผ้าหน่อยนึงนะครับ แล้วเดี๋ยวจะตามเข้าไป คุณโรล่าเข้าไปก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้อากาศเย็น”
โรล่าพยักหน้าแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว จนรอนไม่ทันเงยหน้าขึ้นมาเด็กสาวก็หายไปแล้ว
รอนจัดการแก้ผ้าที่ผูกข้างตัวอัลปาก้าทั้งสองตัว ก่อนจะปลดซัมม่อน … อัลปาก้าโกเลมทั้งสามกลับกลายเป็นดินและหญ้าแห้ง ค่อยๆกองลงกับพื้นไป รอนเอาซากมอนสเตอร์ที่จัดการมาได้วางไว้นอกบ้าน ส่วนแกนมอนสเตอร์และของอื่นๆถือเข้าไปในบ้าน
“คุณรอนคะ ผ้าห่มกับน้ำอุ่นเตรียมไว้ ………….” โรล่าถือผ้าห่มมาให้แล้วพูดไม่จบก่อนจะทำหน้างง ส่วนรอนที่เดินเข้ามาก็ทำหน้างงๆที่จู่ๆโรล่าเอาผ้าห่มกับน้ำอุ่นมาให้
“นั่นคือ ….” โรล่าชี้ไปที่ห่อผ้าในมือ
“อ๋อ ผ้าขวางหลังโกเลมที่เอาไว้ใส่ของไงครับ …อันที่ตะกี้ผมบอกว่าจะแก้เงื่อนที่ผูกไว้” รอนตอบ
โรล่าหน้าแดงก่ำเดินกลับไปที่เตียงเอาผ้าห่มคลุมโปงโดยไม่พูดอะไร … รอนมองตามแบบงงๆ เขาหยิบกระดาษและถุงออกจากย่ามแล้วเดินไปหาเบรเซอร์ที่นั่งที่โต๊ะ
“ของชุดนี้ผมให้คุณเบรเซอร์เก็บไว้แล้วกันครับ”
“มันคืออะไรเรอะ”
“ม้วนเวทครับ เป็นม้วนเวทโกเลมดินที่ผมทำเอง ” รอนตอบ ” ผมคิดว่าต่อไปเวลามีเหตุจำเป็นที่ต้องต่อสู้ ชาวบ้านไม่ควรจะเป็นฝ่ายออกลุยเอง แต่น่าจะส่งโกเลมออกไปลุย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการบาดเจ็บ”
เบรเซอร์รับเองม้วนเวทไปถือไว้
“ท่านรอน …เวทโกเลมต้องใช้พลังมานาพอสมควร คนในหมู่บ้านที่ใช้ได้มีไม่มากหรอก”
“งั้นก็ใช้นี่สิครับ” รอนเทผลึกแกนมอนสเตอร์ออกมาจากย่ามอีกอันลงบนโต๊ะ “ผมเองก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ผมก็ใช้ผลึกนี่มาตลอดทางที่กลับมาที่นี่ “
“ท่านรอนรู้ไหมว่าแกนมอนสเตอร์ใช้เพื่อเรียกโกเลมมันมีราคาแค่ไหน … ราคาที่ต้องจ่ายไปมันแพงนะท่าน”
รอนส่ายหน้า “แพงแค่ไหนก็ไม่เท่าชีวิตคนหรอกครับ” รอนตอบ ” ผมเลยคิดว่าขอมอบมันให้กับคุณเบรเซอร์ดีกว่า เพราะจะได้ควบคุมจำนวนการใช้งานได้ … ”
ถ้าให้เขาเป็นคนมอบให้กับชาวบ้านเอง อาจจะมีทั้งคนที่เกรงใจจนไม่กล้าใช้ไปจนถึงคนที่คิดว่าเขามีของแบบนี้มากหรือของนี้ได้มาฟรีๆเลยใช้ง่ายจนเกินไป สู้มอบไว้ให้กับเบรเซอร์ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะดีกว่า
เบรเซอร์รับเอากระดาษม้วนเวทมนตร์และผลึกมอนสเตอร์ไปเก็บไว้
“ท่านรอนจะอยู่ที่นี่นานไหม” ชายชราถาม “หรือว่าแค่แวะผ่านทางมาเฉยๆ”
“ผมตั้งใจว่าคราวนี้จะมาอยู่ที่นี่นานหน่อยครับ คงจะอยู่ยาวเหมือนกับที่เคยตั้งใจเอาไว้” รอนตอบ
“ข้าจัดเตรียมบ้านเอาไว้แล้วหลังนึงสำหรับบท่าน … ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะได้ให้เด็กๆช่วยจัดการปัดกวาดเอาไว้ ไว้ท่านรอนพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถย้ายไปได้เลย”
รอนขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้าน … เขารู้สึกเหมือนกันว่าการที่มาพักเป็นแขกในบ้านของเบรเซอร์เป็นเวลานานๆก็อาจจะดูไม่เหมาะ ยังไงในบ้านหลังนี้ก็มีเด็กผู้หญิงหลายคน ถ้าได้ไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งแยกเป็นเอกเทศไปเลยก็น่าจะดี และเนื่องจากเขามีสกิลที่ทำให้ไม่ง่วงไม่เพลียไม่ต้องการการนอนหลับ การได้แยกบ้านออกไปก็จะทำให้เขาสามารถฝึกดาบหรือทำงานตอนกลางดึกได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนใคร
“คุณเบรเซอร์ครับ ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ รอบๆหมู่บ้านมีมอนสเตอร์หรือสัตว์ร้ายอะไรที่ผมพอจะช่วยจัดการได้ไหมครับ”
“ช่วงนี้มีพ่อค้าเร่บอกว่า มีหมาป่าหลังเงินกับสุนัขจิ้งจอกหิมะ บนถนนเส้นทางระหว่างหมู่บ้าน ” เบรเซอร์บอก ” พวกพ่อค้าและชาวบ้านมีการทำเรื่องไปที่กิลด์ของนักผจญภัยแล้ว แต่สองชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหากับหมู่บ้านของเรา เพราะพวกเรามีการจัดคนออกล่ามอนสเตอร์และสัตว์ร้ายอยู่แล้วทุกวัน”
“แต่ที่อาจจะมีปัญหาคือ ตอนนี้มีข่าวลือว่ามีคนเจอ ‘อะมาร็อค’ ออกมาเพ่นพ่านทำร้ายสัตว์เลี้ยง”
‘อะมาร็อค’ เหรอ ทำไมชื่อมันคุ้นๆ รอนคิดในใจก่อนจะกดเปิดโทรศัพท์แล้วจดเอาไว้
“ท่านรอนรู้จักอะมาร็อคไหม?” เบรเซอร์ถาม เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มส่ายหน้าเขาจึงพูดต่อ “อะมาร็อคเป็นมอนสเตอร์ที่รูปร่างเหมือนหมาป่า แต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าประมาณ2-3เท่า และหากินครั้งละ1ตัว หรืออย่างมากก็ไม่เกิน3ตัว ต่างจากหมาป่าที่มักจะออกล่าเป็นฝูง”
“ที่สำคัญคือพวกมันสามารถใช้เวทมนตร์น้ำแข็งในการต่อสู้ได้” เบรเซอร์บอกต่อ “และจากที่มันใช้เวทมนตร์ได้แม้ตัวจะไม่ได้ใหญ่โตมาก แกนมอนสเตอร์ของมันจึงเป็นแกนมอนสเตอร์ระดับที่5”
มอนสเตอร์ระดับ 5 ก็เทียบเท่ากับโทรล … รอนคิด ถ้าแบบนั้นน่าจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวพอสมควร เพราะอย่างโทรล4ตัวที่เขาล้มได้ มันก็เป็นการล้มได้ด้วยเรื่องยิงหิน แต่กับหมาป่ายักษ์ที่วิ่งไปมาได้อย่างรวดเร็วและตอนนี้ไม่มีเครื่องยิงหินแล้ว อะมาร็อคน่าจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวทีเดียว
“แต่ท่านรอนไม่ต้องกังวลไปหรอก อะมาร็อคเป็นมอนสเตอร์ที่อาศัยในที่อากาศหนาวเย็น ส่วนมากก็จะอยู่เฉพาะตอนบนสุดของทวีป …และออกมาเฉพาะช่วงหน้าหนาว ปกติเราจะไม่เจอพวกมันในบริเวณนี้ …ปกติน่ะนะ”
พอเบรเซอร์พูดจบทั้งคู่ก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก เพราะปีนี้ อะไรๆที่ปกติไม่เคยมีก็ได้มี ทั้งโรคระบาด มอนสเตอร์ออกอาละวาด มอนสเตอร์รวมตัวเป็นกองทัพ นักรบมังกรที่หายไป30ปี ปกติไม่เคยมีแต่ปีนี้มากันแบบจัดเต็ม
“งั้นเอาเป็นว่าพรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะออกไปร่วมล่ามอนสเตอร์กับชาวบ้านด้วยแล้วกันครับ” รอนบอก
เด็กหนุ่มคุยกับชายชราหัวหน้าหมู่บ้านอีกครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวไปพักในห้อง ก่อนจะเข้าห้องไปรอนเหลือบมองโรล่าที่นอนอยู่บนเตียง เด็กสาวขยับผ้าห่มขึ้นช้าๆขึ้นปิดตาที่แอบมองรอนและเบรเซอร์ที่คุยกันอยู่ รอนยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขากลับเข้าห้องไป จากนั้นเลื่อนของใช้ในห้องไปวางรวมที่มุมนึงเพื่อเคลียร์พื้นที่ว่าง หยิบดาบขึ้นมาแล้วเริ่มฝึกท่าดาบ42ท่าของเขาอย่างช้าๆแต่มั่นคง
********
“รอน บราเดอร์เรียกพบ” ครูดุษฎีเดินมาเรียกเด็กหนุ่มที่ห้องเรียนในตอนบ่าย เขาขออนุญาติครูที่กำลังสอนอยู่แล้วลุกจากที่นั่ง เดินออกไปที่ทางเดินระเบียงหน้าห้อง
“มีอะไรเหรอครับ” เขาถามครูดุษฎี
“ก็เรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นไง”
ทั้งสองคนเดินไปที่ห้องฝ่ายปกครอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับครูเทพ บราเดอร์สมนึก และตำรวจอีกสามนาย
“ในเมื่อมากันพร้อมแล้วงั้นเราบันทึกภาพได้เลยครับ” ร้อยเวรบอก
“อะไรเหรอครับ” รอนถาม
“นี่ไง” บราเดอร์สมนึกยกกล่องพัสดุให้ดู ตอนนั้นเองที่รอนนึกได้ เมื่อตอนนั้นที่เกิดเรื่องระหว่างเขากับกวินและเอกชัย ทั้งสองคนใช้เลขบัตรเดบิตของเขาในการสั่งซื้อเมล็ดHemp แล้วใช้ชื่อของรอนในการสั่งของให้มาส่งที่โรงเรียนเพื่อหวังจะใส่ร้าย
“ตอนนั้นที่เอกชัยกับกวินสั่งของเข้ามาด้วยชื่อของเธอ พอทางโรงเรียนรู้ว่ามีเรื่องนี้ก็เลยแจ้งตำรวจไว้ก่อน” บราเดอร์บอก “ความจริงเราติดต่อประสานไปตั้งแต่ที่สนามบินแล้วเผื่อว่ามีการตรวจจับยาเสพติดแล้วเจอตั้งแต่ที่นั่น …. แต่ว่าพัสดุนี้ผ่านมาได้แล้วก็มาส่งที่โรงเรียน วันนี้เลยต้องเชิญตำรวจมาร่วมเปิดห่อด้วย”
รอนพยักหน้า ส่วนตำรวจก็ตั้งกล้องถ่ายคลิปไว้ เพื่อป้องกันคำครหา กล่องพัสดุถูกนำมาวางบนโต๊ะ ตำรวจชี้ให้ดูที่กระดาษที่แปะสำแดงสินค้าที่หน้าห่อ ส่วนนึงเป็นภาษาจีนตามที่มาของสินค้า แต่บางส่วนที่เป็นรายละเอียดสำคัญถูกพิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษ
“Hemp seed”
ทั้งตำรวจ ครูหรือแม้แต่รอนมองหน้ากัน คนขายเป็นพวกเถรตรงมาก ขนาดสินค้าที่ผิดกฎหมายแบบนี้ยังเขียนชื่อสินค้าแปะสำแดงเข้ามา … ทำแบบไม่เกรงใจคนตรวจเลย
ตำรวจแกะเปิดกล่องออก มีถุงห่อกันกระแทกภายใน ตำรวจนำขึ้นมาวางบนโต๊ะจากนั้นกรีดเปิดห่อกันกระแทกคลี่ออกช้าๆ เผยให้เห็นเมล็ดพืชในห่อพลาสติก
“นี่มัน”
“….”
“เดี๋ยวนะ”
ตำรวจสามคนยืนมองห่อตรงหน้าอย่างตกตะลึงก่อนที่จะ…..
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
บราเดอร์และครูเทพกับครูดุษ มองหน้ากันงงๆ ก่อนที่ตำรวจจะยื่นห่อภายในส่งให้
“ครูดูเอาเองครับ”
ห่อพลาสติกที่วางลงตรงหน้าภายในบรรจุเมล็ดพืชสีเหลืองอัดแน่นไว้จนเต็มถุง หากแต่บนถุงแปะรูปกัญชาไว้ แต่ดันเขียนกำกับว่า “Hemp”
“ฮ่าฮ่าฮ่าข้าวเปลือก” ครูดุษฎีหัวเราะ
‘พรืด’ ครูเทพกลั้นหัวเราะเต็มที่
ส่วนบราเดอร์สมนึกยิ้มไม่ว่าอะไร ถ้าหากของที่ส่งมาไม่ใช่กัญชากัญชงหากแต่เป็นเมล็ดข้าวเปลือก โทษที่กวินและเอกชัยจะได้รับก็จะลดลงไปเยอะ ดังนั้นแบบนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
…. ไม่ว่าเด็ก2คนนั้นจะทำอะไรไว้ เด็กก็คือเด็ก ไม่ได้มีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่ ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนอยากให้ได้รับโทษหนักหนาจนเกินไปทั้งนั้น
“นี่แหละผมเลยไม่ค่อยสั่งของจากจีน” ตำรวจคนนึงบอก
“ที่จริงมีคนเคยจะมาแจ้งความเหมือนกัน เรื่องสั่งของจากต่างประเทศแล้วได้ไม่ตรงตามสั่ง วันก่อนนั่นอะไรนะ” ร้อยเวรหันไปถามตำรวจอีกคน
“เมล็ดทุเรียนครับ” ตำรวจอีกคนตอบ
“ใช่ๆ ในเว็บนั้นขายเมล็ดทุเรียน ทุเรียนอะไรไม่รู้เนื้อสีรุ้งยังกะแต่งรูป คนที่ซื้อก็สั่งเมล็ดไป แต่ตอนที่ของมาส่ง ในห่อดันเป็นเมล็ดถั่ว”ร้อยเวรบอก
“…..” รอนไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนนี้เขานึกไปถึงโล่กันกระสุนกับชุดเกราะที่สั่งมา …. ถ้าดันได้ชุดพลาสติกคอสเพลย์มาแทนจะทำยังไงฟะ!
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวแล้วกันครับ” ร้อยเวรเก็บกล้องและบอกลาบราเดอร์สมนึก
“งั้นข้าวถุงนี้เธอเอาไปแล้วกัน”บราเดอร์ยื่นให้ “ยังไงตอนแรกมันก็เงินเธอนี่นะ”
รอนรับเอาถุงพลาสติกใส่ข้าวเปลือกไป … ถุงสองกิโล … เงิน3800กับ ข้าวเปลือกสองกิโลเนี่ยนะ
แต่ก่อนที่รอนจะเก็บถุง ร้อยเวรที่กำลังจะออกไปทำท่านึกได้ เขาวางกล้องแล้วเดอนกลับมา หยิบถุงพลาสติกนั้นออกจากมือรอนแล้วเอากรรไกรบนโต๊ะตัดห่อ เทข้าวเปลือกข้างในออกมาบางส่วน จากนั้นลองเอาไม้บรรทัดกดบี้ให้เปลือกแตก
“นี่มัน”
“ข้าวเปลือกจริงๆ”
“เอ่อ คงไม่มีใครลงทุนทำข้าวเปลือกปลอมแล้วยัดไส้เมล็ดกัญชามั้งครับ”
“….”
รอนรับเอาถุงพลาสติกที่ตัดแล้วไป … ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี๋ยวเอาไปปลูกที่โลกโน้นละกัน
เย็นนั้นหลังอ่านหนังสือกับแพทเสร็จเขากลับบ้าน เขาไปร้านอาม่าแล้วซื้อเหมาแปรงสีฟันกับยาสีฟันทั้งหมดที่อาม่าเอามาเตรียมขาย(แต่ขายไม่ออก) กับเกลือกระสอบเพื่อเอาไปฝั่งโน้น
เพียงแต่วันนี้ดูอาม่าแปลกๆไปนิดนึง ดูอาม่าพูดช้าๆไม่ค่อยทักทายเขาแบบทุกที
รอนวาร์ปกลับไปที่โลกโน้น เขาวางของทั้งหมดลงในห้องจากนั้นกลับไปสนใจฝึกดาบต่อ
เด็กหนุ่มเริ่มที่ท่าเพลงดาบท่าที่1อีกครั้ง เขาฟาดฟันกวัดแกว่งดาบในมือใส่ศัตรูในจินตนาการ เบี่ยงตัวหลบ ฟันลง ก้าวเท้า
ท่าที่1 ท่าที่2 ท่าที่3 … เขาฝึกไปเรื่อยๆจะถึงท่าที่10กว่า จากนั้นก็ต้องหยุดลง
ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่ท่าหลังจากนี้ไปต้องใช้พื้นที่มากและมีการกระโดด … รอนยังไม่อยากทำเสียงดังจนคนในบ้านตื่น … เด็กหนุ่มวางดาบลงแล้วซับเหงื่อ … ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้
“สเตตัส” รอนพูด
[Edge weapon Lv15 25/100]
“เห เลเวลสกิลดาบมาถึงขนาดนี้แล้วรึ” รอนพูดกับตัวเอง เพราะครั้งสุดท้ายที่เช็คสกิลนี้ มันยังอยู่ที่เลเวล5อยู่เลย นี่แปลว่าช่วงที่ต่อสู้กับกองทัพออร์คและการฝึกดาบที่ผ่านมาล้วนมีส่วนช่วยสินะ
นี่เขายังฝึกได้ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าฝึกได้คล่องกว่านี้ท่าทางสกิลดาบน่าจะไปได้อีกไกลแน่ๆ
รอนลองกดโทรศัพท์ดู นอกจากสกิลดาบแล้ว หนังสืออีก6เล่มที่เหลือจะมีพื้นฐานการใช้เวทมนตร์ , สมุดจดมอนสเตอร์ , การใช้หอก มีดสั้น ค้อนและกระบอง กับอาวุธยิง
ไหนๆก็ฝึกอาวุธไม่ได้ละ นั่งอ่านแล้วกัน … ยังไงพวกนี้ก็คือหนังสือที่เขาก้อปปี้มาจากห้องศิลาและกะว่าจะอ่านตั้งนานแล้ว
รอนอ่านไปเรื่อยๆทำความเข้าใจกับเนื้อหาข้างในช้าๆ แม้เขาจะอยากใช้ดาบมากกว่าแต่รอนก็รู้ข้อจำกัดของดาบ เช่นดาบไม่สามารถใช้ต่อสู้หยุดยั้งมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ได้ ดาบมีโอกาสหักงอระหว่างการต่อสู้ได้สูง ดาบมีโอกาสฟันแล้วติดในเนื้อของศัตรูจนดึงไม่ออก ดังนั้นการเรียนรู้อาวุธอื่นๆน่าจะมีประโยชน์ด้วย
รอนอ่านทำความเข้าใจจนภายนอกเริ่มสว่าง เสียงสัตว์ร้องเริ่มดังให้ได้ยินมาจากภายนอก กลิ่นควันฟืนไฟทำอาหารลอดเข้ามาทางหน้าต่าง รอนเก็บโทรศัพท์มือถือและกดปิดเครื่องก่อนจะเดินออกจากห้อง เบรเซอร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน
“คุณเบรเซอร์ครับ ผมมีอะไรอยากจะให้ดูสักหน่อย “เด็กหนุ่มบอกกับชายชราที่นั่งอยู่ ก่อนจะส่งถุงพลาสติกที่ใส่เมล็ดข้าวเปลือกเอาไว้ไปให้
“นี่คืออะไรหรือท่านรอน”
“นี่คือเมล็ดข้าวครับ เป็นพืชที่ปลูกในบ้านเกิดของผม ผมอยากจะมอบเอาไว้ให้กับหมู่บ้านเผื่อว่าจะได้ใช้เป็นทางเลือกในการปลูกพืชอาหารสำหรับหมู่บ้าน เพราะพืชแต่ละชนิดมีความทนทานต่อสภาพอากาศไม่เหมือนกัน” รอนบอก “อย่างข้าวสาลี ข้าวไรน์ และข้าวฟ่างที่ปกติหมู่บ้านปลูกไว้ พวกนี้ทนกับอากาศหนาวและน้ำปริมาณน้ำน้อยได้ ส่วนข้าวโพดและข้าวที่ผมนำมาสามารถปลูกได้ในช่วงที่มีน้ำมาก ถ้าช่วงไหนมีน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ข้าวสาลีและข้าวไรน์อาจจะเสียหายแต่ข้าวโพดและข้าวจะยังทนได้”
พ่อเฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าอย่างเห็นด้วยมีบางทีเหมือนกันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้ผลผลิตที่คาดหวังไว้เสียหายหมดสิ้น ถ้ามีพืชที่สามารถปลูกสำรองเอาไว้ ก็จะทำให้ความมั่นคงทางอาหารของหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น พ่อเฒ่ารับเอาถุงข้าวเปลือกไปแกะออก จากนั้นเทเมล็ดพันธุ์ลงไว้ในชามไม้
“ข้างในนี้ยังมีอีกถุงนึงนี่” พ่อเฒ่าเบรเซอร์พูดอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าหลังจากเทเมล็ดข้าวจนหมดแล้วภายในปรากฏถุงพลาสติกอีกใบหนึ่งใส่เมล็ดพืชกลมๆเล็กๆสีดำเอาไว้
รอนใจหายวาบหยิบเอาถุงในมือของเบรเซอร์ไปดู ถุงภายในถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด ถ้าไม่แกะเทข้าวออกจนเกือบหมดก็จะมองไม่เห็นถุงนี้
“นี่มันคือเมล็ดอะไรหรือท่านรอน ดูคล้ายๆกับเมล็ดHemp แต่ไม่ยักใช่เมล็ดHemp”
รอนมองที่หน้าห่อที่แปะรูปกัญชาเอาไว้ … “ถ้าไม่ใช่เมล็ดHemp เห็นทีว่าจะเป็นเมล็ดกัญชาล่ะครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ … ทั้งตำรวจทั้งบราเดอร์ตรวจไปแล้วไม่เจอ ขืนเอากลับไปที่บ้านอีกแล้วมีคนมาเจอเขาคงซวยแน่ๆ คงต้องปลูกไว้ที่โลกฝั่งนี้แล้วแหละ