Midterm Fantasy - ตอนที่ 77
รอนวางกระดาษที่วาดภาพหมู่บ้านโอลเซ่นไว้ลงบนโต๊ะอาหาร ภาพของตำแหน่งหมู่บ้านอยู่ตรงกลาง รอบๆเป็นภาพของทุ่งไร่นา ธารน้ำ และชายป่าที่ห่างออกไป ระยะพื้นที่ที่ภาพนี้ครอบคลุม ครอบคลุมบริเวณประมาณ4-5ไมล์ ซึ่งตลอด4วันที่ผ่านมา รอนและชาวบ้านที่ออกลาดตระเวนจะเดินเป็นวงกลมรอบหมู่บ้านนึงก่อนจะกลับเข้าหมู่บ้าน
โรล่าลุกจากที่นั่งไปตามคุณตาเบรเซอร์มาดู ชายชราละจากการเล่นกับเด็กๆมามองดูแผนที่ของรอนบนโต๊ะ รอนเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วจดตำแหน่งที่พบรอยเท้าของหมาป่าและสุนัขจิ้งจอกของวันนี้ลงไป … ในแผนที่มีการเขียนตำแหน่งของรอยเท้าและที่ที่พบมอนสเตอร์ทั้งสองไว้ รวมไปถึงมีการจดตำแหน่งการพบเห็นแมวเค้านก กระต่าย หรือสัตว์อื่นๆไว้ด้วย
“เห็นอะไรไหมครับ” รอนถามทุกคนที่นั่งดูอยู่ … สีหน้าของทุกคนบ่งบอกว่าเห็นบางสิ่งบางอย่างบนแผนที่นั้นอย่างชัดเจน
นั่นคือในขณะที่จุดอื่นๆรอบหมู่บ้านมีการลงว่าพบสัตว์ป่าหรือมอนสเตอร์ แต่ที่ชายป่าทางใต้ของหมู่บ้านมีพื้นที่หนึ่ง ที่ตลอดทั้ง4วัน ไม่มีการพบมอนสเตอร์หรือสัตว์ใดๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ตรงนั้นมีอะไรอยู่เหรอ” แพทเอ่ยปากถามพลางชี้ไปตรงจุดดังกล่าว
“ตรงนั้นไม่มีอะไร เป็นแค่ป่าโปร่งธรรมดา” เบรเซอร์ตอบให้แทน เขาอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีจนจำพื้นที่รอบหมู่บ้านได้เหมือนกับเส้นขนบนหลังมือ
“ไม่มีอะไร ….แล้วทำไมตรงนั้นถึงไม่มีสัตว์หรือมอนสเตอร์อาศัยเลยล่ะคะ” โรล่าถาม
“ก็เพราะไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น …. แปลว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเข้ามาอยู่ตรงนั้นจนไล่ให้มอนสเตอร์และสัตว์อื่นๆออกจากที่นั้นไป” แพทตอบให้
“อาจจะเป็นหมีที่ตื่นจากจำศีลแล้วหาอาหารไม่ได้” เบรเซอร์รำพึง
“หรือไม่ก็อาจจะเป็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่หรือดุร้าย” รอนบอก “ซึ่งผมเกรงว่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าครับ”
ทั้งสามคนหันมามองรอนเป็นตาเดียวกันอย่างสงสัยว่าอะไรทำให้เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น
“ทำไมท่านรอนถึงคิดว่าไม่ใช่หมี” เบรเซอร์ถามอย่างสนใจ
“ประการแรกครับ ถ้าเป็นหมีหรือมอนสเตอร์ขนาดเล็กทั่วไป พื้นที่ที่สัตว์จะหนีห่างน่าจะเล็กกว่านี้ … หรือถ้ากว้างกว่านี้ เราก็ควรจะพบเห็นร่องรอยของมันบ้าง แต่นี่เราไม่พบเลย”
“ประการที่สอง ตลอดช่วง4วันที่ผ่านมา พวกเราจัดการมอนสเตอร์และทิ้งเศษซากเครื่องในและกระดูกไว้หลายที่รอบๆนี้ ซึ่งทุกครั้งที่ลาดตระเวนมา ก็ยังพอพบเห็นเศษที่หลงเหลืออยู่บ้าง หากเป็นหมีที่ตื่นมาจากการจำศีลก็ไม่น่าจะเลือกอาหารจนไม่สนใจซากมอนสเตอร์ที่ทิ้งไว้”
“ประการที่สาม ถ้ามันเป็นมอนสเตอร์ขนาดเท่าพวกหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก ก็น่าจะแค่ทำให้พวกมอนสเตอร์เล็กๆหนีไป แต่นี่ทั้งหมาป่าหลังเงินและสุนัขจิ้งจอกหิมะก็หลบด้วย แปลว่ามันน่าจะน่ากลัวกว่ามอนสเตอร์ทั่วๆไป”
“ดังนั้นผมจึงสรุปว่าน่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่ขนาดใหญ่ และน่าจะมีนิสัยดุร้ายพอที่ไม่กินซากสัตว์ และอาจจะอยากล่าเองมากกว่าครับ” เด็กหนุ่มสรุปไว้
ทุกคนฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าพอมีเหตุมีผล
แต่ปัญหาคือ จะเอายังไงต่อ
“งั้นเราจะต้องเตือนทุกคนไม่ให้ไปแถวนั้น”. โรล่าบอก แต่เบรเซอร์ส่ายศีรษะทันที
“ไม่ได้หรอก ถ้าเป็นมอนสเตอร์ยังไงมันก็ไม่ได้อยู่นิ่งที่นั้นที่เดียว ต่อให้ไม่มีใครไปที่นั่นแต่พอเจ้านั่นมันเคลื่อนไหวย้ายที่ เราก็ต้องเจอมันอยู่ดี” พ่อเฒ่าพูด ” และยังไงพวกเราก็ต้องอาศัยที่นี่ ถ้าไม่ให้ออกไปเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ พวกเราต้องออกไปหาอาหาร ต้องติดต่อกับหมู่บ้านอื่นอีก “
“คุณเบรเซอร์คิดว่าเป็นตัวอะไรครับ พอจะเป็นโทรลได้ไหม”
“ข้าว่าไม่ใช่โทรล … โทรลในเขตนี้เป็นมอนสเตอร์ที่ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น พวกมันจะอพยพลงทางใต้ทุกครั้งที่มีหิมะตก”
“ถ้าอย่างนั้น มันจะเป็นตัว’อามาร็อค’ที่คุณเบรเซอร์พูดถึงเมื่อวันก่อนได้ไหมครับ” รอนถาม
เบรเซอร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเราส่งคำขอไปที่กิลด์นักผจญภัยให้เขาเข้ามาปราบได้ไหมคะ” โรล่าเสนอ
“ไม่ได้หรอกโรล่า เพราะพวกเรายังไม่เจอตัวมอนสเตอร์ชัดๆ ถ้าเราไปยื่นคำขอ ทางนั้นก็จะต้องคิดค่าจ้างสูงกว่าปกติ และนักผจญภัยก็มักจะไม่รับงานนี้เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร”
“ถ้างั้นเราจ้างนักผจญภัยให้มาสำรวจก่อนว่ามอนสเตอร์ที่หลบอยู่คือตัวอะไร จากนั้นก็ค่อยว่าจ้างได้ไหมคะ”
“อย่างนั้นก็ยิ่งลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่านักผจญภัยที่มาสำรวจ จะเจอต้นตอมอนสเตอร์ตัวจริงหรือเปล่า …. ถ้าหากนักผจญภัยที่มาสำรวจเกิดแกะรอยผิดและรายงานผิด คนที่มากำจัดทีหลังหรือแม้แต่ชาวบ้านอย่างพวกเราอาจจะลำบากทีหลังก็ได้”
เบรเซอร์พูดแล้วก็นึกถึงเรื่องของหมู๋บ้านหนึ่งที่พบร่องรอยของมอนสเตอร์ที่มาทำลายไร่นา จึงไปว่าจ้างกิลล์นักผจญภัยให้ส่งคนมาสำรวจ
ปรากฎว่านักผจญภัยที่มาสำรวจกลับทำงานแบบขอไปที ทำให้สรุปไปว่าร่องรอยนั้นเกิดจากกลุ่มของก็อบลิน จากนั้นก็จัดการฆ่าก็อบลินกลุ่มนึงไปแล้วก็รับเงินรางวัล … แต่หลังจากนั้นชาวบ้านที่เข้าใจว่าปลอดภัยแล้วไปทำไร่นาตามปกติ. ก็เลยไปพบกับโทรลภูเขาเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว ผลก็คือชาวบ้านหลายสิบคนต้องจบชีวิตลงด้วยโทรลตัวนั้น
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับคุณเบรเซอร์ คนในหมู่บ้านที่มีชุดเกราะมีกี่คนครับ”
“ก็ราวๆ50-60คนนะท่านรอน เป็นเกราะหนังที่ได้มาตอนไปช่วยเมืองกาล่ารบกับออร์ค” เบรเซอร์บอก
“งั้นพรุ่งนี้ผมขอแรงคนสัก30คนให้ไปช่วยกันหน่อยแล้วกันครับ” รอนบอก “ผมขอชุดเกราะแล้วก็ให้ทุกคนเอาหอกไปกับคนละสามเล่ม”
“ท่านรอน … อามาร็อค แม้ว่ามันจะเป็นมอนสเตอร์ที่รูปร่างเหมือนหมาป่ายักษ์ แต่ว่ามันก็ว่องไวมากและสามารถใช้เวทมนตร์ได้” ชายชราติง “ข้าเกรงว่าหากต่อสู้กับมันขึ้นมา อาจจะมีชาวบ้านที่ต้องตายเพราะมันได้นะ”
“ไม่ต้องกังวลไปครับ … 30คนที่ผมขอแรงไป ไม่ได้ให้ไปสู้กับมอนสเตอร์ แต่ให้ไปช่วยปิดล้อมมากกว่า”
“ปิดล้อม?”
“ใช่ครับ ปิดล้อม ….แผนของผมคือ …….”
รอนค่อยๆเล่าแผนของตนที่ตั้งใจไว้ให้เบรเซอร์รู้ …. ทุกคนที่โต๊ะพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าจะได้ผล งั้นเราจะเริ่มจัดการเมื่อไหร่กันดี” เบรเซอร์ถาม
“วันพรุ่งนี้แล้วกันครับ วันนี้เราเตรียมข้าวของกับซักซ้อมแผนให้เข้าใจตรงกันดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ไม่พลาด” รอนบอก
เบรเซอร์ให้มาเรียกับโรล่าไปบอกกับชาวบ้านคนอื่นๆให้ระวังการออกจากหมู่บ้านไปในจุดที่สงสัยว่าจะมีมอนสเตอร์นั้น ส่วนรอนและแพทก็เดินกลับไปที่บ้านพักของรอนด้วยกัน …. ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวันการไปอยู่ที่บ้านพักด้วยกันสองต่อสองยังดูไม่น่าเกลียด รอนและแพทจึงตัดสินใจเดินกลับไปเพื่อจะได้พูดคุยอะไรกันได้ง่ายเข้า
รอนเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เขาวางเขี้ยวหมาป่าและแกนมอนสเตอร์ที่ได้รับแบ่งจากชาวบ้านลงที่โต๊ะ ส่วนแพทก็เดินไปที่เก้าอี้โดยหลบกล่องข้าวของที่รอนขนมาจากโลก
“นี่เธอขนของอะไรมากันเยอะแยะเนี่ย” เด็กสาวถามอย่างสงสัย “กองนี้เป็นยาสีฟัน แปรงสีฟัน กองนี้เป็นปากกาลูกลื่น ……นี่กล่องขนาดนี้เธอจะเอาไปเปิดโรงเรียนเหรอ แล้วนี่มัน …. กาแฟ ผงซักฟอก สบู่ก้อน “
แพทไล่เปิดกล่องลังทีละกล่อง
“เธอขนของพวกนี้มาทำไมกัน”
รอนจัดม้วนเวทกระดาษออกจากกระเป๋าแล้วนับพลางตอบพลาง
“เราเอาของทั้งหมดนี่มาขาย”
“เอามาขาย?”
“ใช่ เอามาขาย ของธรรมดาๆที่โลกของเรา พอเอามาขายที่นี่ก็จะ ขายได้ในราคาดีมาก”
“แต่ … รอน พวกเรายังอยู่ม.ต้นกันนะ เราว่าเรียนกันก่อนดีกว่าไหม” แพทแย้ง
แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“แพท … บ้านของเรา พ่อกับแม่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ที่เราเองพอข้ามมาฝั่งนี้ก็ตั้งใจอ่านหนังสือในช่วงแรกก็เป็นเพราะว่าเรากลัวจะสอบไม่ผ่าน และพอสอบไม่ผ่านก็จะทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียนของเรา …. แต่ถ้าเราหาเงินจากฝั่งนี้ได้เป็นเหรียญทอง ก็จะสามารถเอาไปแลกเงินที่โลกของเราได้ ที่บ้านเราจะได้ไม่ลำบากอีก”
“แต่เราก็เห็นเธอแลกเหรียญทองไปตั้งเยอะนี่” เด็กสาวแย้ง
“ไม่พอหรอก … คราวก่อนนั้น เงินที่ได้มามันเป็นจังหวะโชคช่วย … หลังจากนี้ไปคงไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำแบบนั้นแล้ว …เราเลยอยากจะวางฐานของแหล่งเงินก่อน ” รอนตอบ “ถ้าทุกอย่างพร้อม เราจะได้มีเงินใช้จ่ายทั้งในโลกฝั่งนี้และที่ฝั่งบ้านของเรา “
“แต่ที่จริงเธอแค่เอาของมาขายเป็นพักๆก็ได้นี่นา ไม่เห็นจำเป็นจะต้องตั้งใจทำเป็นระบบอะไรแบบนี้เลย … ยังไงของจากฝั่งเราก็มาขายที่นี่ได้อยู่แล้ว แค่หาเงินเป็นพักๆไปก็น่าจะพอแล้วนี่”
” เอางี้ ในสายตาเธอ … เงินที่เราได้จากเหรียญทองคราวก่อนถือว่าเยอะไหมถ้าเทียบกับบ้านเธอ”
แพทนึกดู …. รอนเคยฝากเหรียญทองผ่านมือเธอไปที่พ่อ … ถ้าคิดเป็นเงินออกมาก็ตกสองล้านบาท
เยอะไหม … ก็เยอะ แต่ถ้าเทียบกับบ้านของเธอเอาแค่เท่าที่เธอรู้ เงินเท่านี้ในสายตาครอบครัวของเธอก็เป็นเพียงเงินเพียงนิดเดียวเท่านั้น
แพทจึงส่ายหน้า
“นั่นแหละ เราก็เลยอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ” รอนตอบ
แพทได้แต่งง เพราะเธอยังไม่เข้าใจเหตุผลที่รอนบอกว่าตกลงทำไมต้องหาเงินให้ได้เยอะๆด้วย … แล้วทำไมต้องมาเทียบอะไรกับบ้านเธอ
** ** ** ** **
กลับมาที่โลกแล้ว และในเช้าวันถัดมาเป็นเช้าวันเสาร์ รอนตื่นเช้ามาอาบน้ำกินข้าวและคุยกับพ่อแม่สักพัก ก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาจะดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
“ที่นี่ที่ทำการไปรษณีย์ มีพัสดุของคุณรอนมาส่งครับ เป็นของชิ้นใหญ่ขอให้มารับที่ที่ทำการด้วยครับ”
รอนเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้9โมงเช้าแล้ว ไปรษณีย์เปิดถึงแค่เที่ยงเท่านั้นและพรุ่งนี้ก็ปิดทั้งวัน รอนเลยรีบออกจากบ้านแล้วเดินทางตรงไปที่ที่ทำการไปรษณีย์ … ของอะไรมาส่งกันนะ
รอนเข้าไปในไปรษณีย์แล้วกดบัตรคิว …วันนี้คนรอคิวกันเยอะเพราะเปิดแค่ครึ่งวัน … รอนหันซ้ายขวาดูเผื่อว่าจะเนียนเข้าไปถามเพื่อจะได้เดินไปรับของเลยดีไหม แต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะขนาดตำรวจสามคนที่รอส่งพัสดุตรงนั้น ยังต้องนั่งรอตามคิวเลย …
เด็กหนุ่มนั่งกดมือถือเล่นก่อนจะกดเข้าไปในAppสั่งของเพื่อเช็คดูว่าของอะไรที่ส่งมา ….อ๋อ พวกชุดเครื่องป้องกันที่เขาสั่งนั่นเอง …พวกหน้ากากใสกันกระสุน โล่กันกระสุน ชุดตำรวจปราบจลาจล … มันขึ้นสถานะว่ามาถึงที่ทำการไปรษณีย์ในไทยแล้ว
“เอ๊ะ … มีข้อความ”
รอนกดเปิดอ่านดู เป็นข้อความเก่าตั้งแต่วันที่สั่งของนี่นา … เจ้าของร้านบอกว่าอะไร
‘ก่อนสั่งขอให้เช็คก่อนว่ากฎหมายในประเทศที่สั่งของสามารถครอบครองของพวกนี้ได้หรือไม่”
“รบกวนเช็คด้วยว่าสินค้าที่คุณสั่งเป็นสินค้าที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าหรือผิดกฎหมายภายในประเทศหรือไม่…. หืม?”
ไม่ผิดล่ะมั้ง รอนคิด
ก่อนจะลองกดคำว่าเกราะกันกระสุน กฎหมาย ….
…
…
..
..
.
เอิ่ม
ผิดนี่หว่า
จำคุกด้วย
รอนหันไปมองกล่องที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์วางสุมๆกันไว้
“หมายเลข124”
อ้าว ถึงแล้วนี่นา ….
เด็กหนุ่มเดินไปที่เคาน์เตอร์ ยื่นบัตรคิวให้แล้วก็ยื่นบัตรประชาชน
“มารับของครับ”
ไม่น่ามีอะไรมั้ง … รีบๆรับของแล้วรีบกลับบ้าน รีบเอาข้ามไปฝั่งโน้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว …เขาคิดพลางมองตำรวจสามคนที่รอส่งของอยู่อย่างไม่สบายใจนิดๆ
เจ้าหน้าที่เช็คครู่นึงก่อนจะชี้ไปกล่องขนาดใหญ่สองกล่อง รอนเซ็นชื่อแล้วเดินไปที่กล่อง … ใหญ่แฮะ … ก็น่าอยู่หรอก โล่เป็นแบบสูงเกือบเมตรนี่นา รอนดึงกล่องใบแรกออกมาที่ประตูไปรษณีย์ … กำลังคิดว่าจะเอาอีกกล่องไงดีกล่องนี้ใครจะเฝ้า … เดี๋ยวเดินไปเอาอีกกล่องแล้วคนมาหยิบนี่ซวยเลยนะ
…
“น้อง มา… พี่ช่วยเอง”
“ขอบคุณครั………….”
รอนค้างอยู่แค่นั้น …
เพราะคนที่อาสาช่วยยกกล่อง … คือพี่ตำรวจ
“มา มา เดี๋ยวยกไปไว้ที่ข้างถนน น้องไปเรียกแท็กซี่ได้เลย” พี่ตำรวจบอก “หรือว่าเอารถมาเองล่ะ”
“เอ่อ เรียกแท็กซี่ครับพี่”
“ได้ๆ งั้นพี่เอาไปวางที่ข้างถนนให้”
รอนขอบคุณอีกครั้งก่อนจะยกกล่องแรกไปตั้งที่ข้างถนน โดยพี่ตำรวจยกอีกกล่องตามมา … กล่องที่พี่ตำรวจยกมาฉีกขาดพอสมควรตามสภาพหลังการขนส่ง แต่ยังพอคงสภาพอยู่ได้ … รอนได้แต่ภาวนาอย่าให้กล่องขาดแล้วของข้างในหลุดโผล่ออกมากลางถนน
“เอ้า ถึงแล้ว … โชคดีน้อง” พี่ตำรวจบอก
“ขอบคุณมากครับ” รอนยกมือไหว้
“หนักเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่ข้างในนี่มันคืออะไรกัน ส่งมาจากจีนซะด้วย” พี่ตำรวจพูดต่อก่อนจะหันไปอ่านสติ๊กเกอร์สำแดงสินค้าของผู้ส่ง
แล้วพี่ตำรวจก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที
ส่งจาก iPad ของฉัน