Midterm Fantasy - ตอนที่ 85
“ดูอะไรเหรอรอน” แพทถามอย่างสงสัย เพื่อนของเธอนั่งดูนั่งพิมพ์โทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่แล้ว
“อ๋อ ร้านที่ขายอาวุธน่ะ เราว่าจะซื้อเพื่อให้เมืองกาล่าใช้ในระบบป้องกันมอนสเตอร์น่ะ” รอนตอบ “ถ้าคิดเทียบราคากันแล้ว ต้นทุนและคุณภาพของอาวุธจากฝั่งเราถูกและดีกว่าอาวุธที่ฝั่งนั้นหลายเท่า”
“ว่าแต่จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องซื้อจากร้านทางอินเตอร์เน็ทแบบนี้ มันดูแปลกๆไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้ สั่งซื้อจากร้านออนไลน์ในแอปที่เธอเคยใช้ก็ได้นี่นา” เด็กสาวแย้ง
“ไม่ได้หรอก ถ้าสั่งน้อยๆแบบครั้งก่อนๆก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าสั่งมากๆราคาเกิน1500-2000ก็จะเจอเปิดกล่องเพื่อตรวจเช็คเก็บภาษี ถ้าเจอตรวจที่ศุลกากรว่าเป็นอาวุธเดี๋ยวจะอธิบายลำบาก” รอนอธิบาย “และนี่เป็นอาวุธสำหรับทหารของเมือง ก็เลยต้องสั่งจากแบบที่ทำพิเศษโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ใช่แบบมีดดาบทั่วไปตามร้านค้า”
รอนค่อยๆเล่าให้แพทฟังช้าๆถึงแผนที่คิดเอาไว้
อาวุธที่ซื้อจากอินเตอร์เน็ทจะซื้อจากร้านที่ทำอาวุธโดยเฉพาะ จะถูกส่งเอาไปขายให้กับเมืองกาล่าเพื่อเสริมกำลังให้กับทหารประจำเมืองและรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน
ในเวลาเดียวกันเมื่อคนเห็นว่าอาวุธที่ทหารเมืองกาล่าใช้มีคุณภาพดี ร้าน ARMAMENT ก็จะเริ่มขายอาวุธออกมา โดยอาวุธกลุ่มนี้จะเลือกจากมีดพร้าอาวุธที่ขายในท้องตลาดของโลกมนุษย์ตามปกติ ให้ทั้งชาวบ้านและนักผจญภัยของโลกโน้นซื้อเอาไปใช้ต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้
“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทุกคนจะมีอาวุธดีๆใช้ จำนวนมอนสเตอร์ในพื้นที่เมืองกาล่าจะลดลง หมู่บ้านโอลเซ่นที่พวกเราอยู่ก็จะปลอดภัยขึ้น เราสองคนก็จะมีที่อ่านหนังสือได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นไง”
“โห นี่ทั้งหมดเธอทำเพื่อจะได้พื้นที่อ่านหนังสือเหรอ” แพทบอก “ดีเลย งั้นเดี๋ยวเราจะช่วยมั่ง เธอบอกว่าจะเอามีดจากฝั่งนี้ไปขายที่โน่นใช่ไหม งั้นเดี๋ยวแพทจะไปติดต่อร้านมีดดาบที่ขายตามข้างทาง ซื้อมาแล้วขนไปโลกโน้น ถึงเราจะเอาของใส่แหวนเก็บของข้ามมิติข้ามฝั่งมาไม่ได้ แต่ถ้าของไม่หนักมากแพทก็น่าจะยกไหว”
“อืม เรื่องนี้ความจริงไม่ต้องรีบหรอก”รอนบอก
“อ้าวทำไมล่ะ ยิ่งเร็วยิ่งดีไม่ใช่เหรอ” เด็กสาวงง
“ก็อาวุธเหล็กกล้าจากฝั่งเราน่ะ เทียบเท่ากับอาวุธโอริค่อนของโลกโน้นปกติเป็นของราคาแพงในโลกโน้น แต่หากเราเอาอาวุธไปจำนวนมากๆในคราวเดียว ราคามันจะตกรุนแรงได้ แถมก็จะกระทบกับช่างทำอาวุธโอริค่อนที่ฝั่งโน้นได้” รอนบอก “ดังนั้นนอกจากทำให้หมู่บ้านทางนั้นสงบสุข เราก็อยากจะทำกำไรมากๆ เอาเหรียญทองมาแลกเงินทางนี้มากๆเหมือนกัน”
“อืม จะว่าไปเดี๋ยวนี้เธอเริ่มจะเข้าใจเรื่องเงินๆทองๆเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วนะ” เด็กสาวชม “แต่เราก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเธอต้องหาเงินเยอะๆด้วย บ้านเธอก็ไม่ได้ลำบากเรื่องเงินไม่ใช่เหรอ”
รอนไม่ตอบอะไร เขาตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เขี่ยเศษอาหารที่เหลือลงถุงพลาสติก
“กับข้าววันนี้อร่อยมากเลย ผัดผักวันนี้ใส่น้ำมันงาด้วยเหรอ”
“อื้อ สูตรของแม่เราเอง” เด็กสาวตอบ “ตอนเด็กๆแม่สอนเอาไว้ว่าถ้าใส่น้ำมันงาลงไปจะหอมชวนกินเพิ่มขึ้น เมื่อเช้าเราเลยลองทำดูบ้าง”
“ที่แท้ก็หัดมาจากคุณแม่นี่เอง ไว้วันหลังไปเที่ยวบ้านต้องขอลองชิมฝีมือแม่ของเธอมั่งแล้วล่ะ” รอนพูดขึ้นโดยไม่ทันคิดอะไรก่อนจะสังเกตสีหน้าของแพทที่เปลี่ยนไป
“แม่เรา ไม่อยู่แล้วล่ะ” แพทพูดขึ้น “สัปดาห์หน้าก็จะครบรอบ3ปีแล้ว”
“อ๊ะ ร เราขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอก รอนไม่รู้นี่นา”
เด็กสาวเปลี่ยนอารมณ์จากกำลังยินดีที่รอนชมเรื่องอาหารเป็นอารมณ์เงียบซึมแบบฉับพลัน ปริ่มๆเหมือนน้ำตาจะไหล รอนหันซ้ายหันขวามองห้องเรียนที่ไม่มีใครอยู่แล้วหยิบผ้าออกมาจากกระเป๋า ค่อยๆดึงมือของเด็กสาวมากุมไว้
“<Heal>”
ม้วนเวทรักษาสว่างวาบขึ้น แผลน้ำมันจากการทำอาหารและลวกที่นิ้วมือของเด็กสาวค่อยๆจางหายไปช้าๆ รอนประคองมือของแพทเอาไว้ พลิกดูให้แน่ใจว่าไม่เหลือแผลใดๆ
“ไม่มีแผลแล้ว ปล่อยได้แล้ว”
“อืม ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม”
“ไม่เจ็บแล้ว” เด็กสาวบอก ค่อยๆเลื่อนมือลงช้าๆ “วันหลังไม่ต้องใช้ม้วนเวทก็ได้ รอให้เราข้ามไปฝั่งโน้น พอพลังเวทฟื้นขึ้นเราก็รักษาแผลก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ถ้าปล่อยไว้แพทก็ต้องทนเจ็บไปทั้งวันสิ” เด็กหนุ่มเก็บม้วนเวทใช้แล้วลงไป
“ขอบใจนะที่ทำอาหารอร่อยๆให้กินทุกวันเลย”
“อื้อ”
ตกบ่ายแล้ว แพทที่เดินผ่านประตูบ้านไปหันกลับมาโบกมือให้กับเพื่อนหนุ่มที่มาส่ง
“เดี๋ยวเจอกันนะ”
รอนโบกมือให้แล้วก็เดินจากไป เด็กสาวเดินเข้าบ้านอย่างยิ้มแย้ม เธอวางกระเป๋าไว้แล้วตรงไปที่ห้องทำงานของพ่อ
ก๊อกๆๆ
“เข้ามาได้”
“กลับมาแล้วค่ะคุณพ่อ” เด็กสาวทัก “สวัสดีค่ะคุณพ่อ สวัสดีค่ะลุงบัว”
พ่อของแพทนั่งที่โต๊ะทำงานโดยมีลุงบัวยืนถือเอกสารอยู่ ดูแล้วทั้งคู่กำลังคุยอะไรบางอย่างค้างไว้
“อันนี้รอนฝากมาให้ค่ะ” แพทยื่นถุงที่ภายในมีแกนมอนสเตอร์4ชิ้นส่งให้พ่อ พ่อรับไปแล้วตรวจเช็คดู
“เดี๋ยวพ่อโอนเงินเข้าบัญชีของรอนให้” วิทวัสบอกกับลูกสาว “วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างลูก”
“ดีค่ะพ่อ”
“เรียนรู้เรื่องไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีแล้ว แล้วนี่ที่ว่าจะไปแข่งขันวิชาการ แน่ใจแล้วใช่ไหม” พ่อถามอย่างสนใจ เพราะรู้ดีว่าแพทมีปัญหาเรื่องการอ่านตัวหนังสือ
“แน่ใจค่ะ หนูมั่นใจด้วยว่าครั้งนี้ต้องทำคะแนนได้ดีด้วย เดี๋ยวต้องโทรไปหาคุณตาคุณยายบอกให้รู้ดีกว่า”
“ฮะฮะ เด็กคนนี้นี่ขี้เห่อจริงๆ ก็ดีลูก โทรหาคุณตาคุณยายบ้างก็ดี”
“ค่ะ งั้นหนูขึ้นห้องก่อนนะคะ”
แพทออกจากห้องไป คุณวิทวัสและลุงบัวรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของเด็กสาวห่างออกไป
“ตกลงบ้านที่รอนอาศัยอยู่คือบ้านหลังนั้นจริงๆสินะ”วิทวัสพูด
“ครับนาย ถึงแม้ภายนอกจะตกแต่งใหม่ทาสีใหม่ แต่ผมลองเช็คบ้านเลขที่แล้วเป็นบ้านหลังเดียวกันครับ” ลุงบัวบอก
วิทวัสเปิดดูเอกสารในมือ ตอนที่รอนเอาเหรียญทองจากซีแลนเดียมาขาย เขาก็รู้แล้วว่ารอนต้องบังเอิญได้ศิลานักปราชญ์มาครอบครองจนข้ามไปอีกโลกได้
และในเมื่อศิลานักปราชญ์ของเขายังถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดีในบ้านตนเอง ก็แปลว่ารอนต้องเก็บได้ศิลานักปราชญ์ของนักรบมังกรแห่งแสงอาร์ย่า
วิทวัสหลับตาลงคิดอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งแรกที่ได้รับภารกิจให้สังหารนักรบมังกรแห่งแสงอาร์ย่า Rally point ของเขาในโลกมนุษย์อยู่ที่สหรัฐ เขาต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงประเทศไทย จากนั้นก็ทำการสืบหาที่พักของอีกฝ่าย
ครั้งแรกที่มายังบ้านหลังนั้น เขาบุกโจมตีเข้าไปจนจอมเวทหญิงต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากชั้นบนของบ้าน
ถ้าจำไม่ผิดห้องนอนของอารย่าอยู่ชั้นบน ห้องนอนของเด็กรอนก็อยู่ชั้นบน ดังนั้นการจะบังเอิญเก็บลูกแก้วศิลานักปราชญ์คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“อีกเรื่องครับนาย หงซันให้ลูกน้องมาบอกว่าค่าคุ้มครองในเดือนหน้าเป็นต้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น5ล้าน ผมยังไม่ได้ตอบอะไรพวกมันไปมาขอความเห็นจากนายก่อนครับ”
“รอไว้สามวันให้เหมือนกับเราลังเล แล้วค่อยตอบตกลงไป”
“นายครับ แต่ถ้าค่าคุ้มครองสูงถึง60ล้านต่อปี เราจะลำบากนะครับ ตอนนี้เราก็แทบจะไม่เหลือกำไรแล้ว”ลุงบัวแย้ง
“ไม่เป็นไร ตอนนี้เราต้องยอมมันไปก่อน” พ่อของแพทบอก มือขวาที่ล้วงลงไปในถุงผลึกมอนสเตอร์คลายผงผลึกที่ถูกดูดพลังทิ้งไป เอื้อมมือไปหยิบผลึกอีกชิ้นมาดูดซับพลังและพบว่าพลังในร่างเต็มจนไม่อาจดูดซับผลึกชิ้นหลังได้
เขายิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเหี้ยมเกรียม
“อดทนไว้ก่อน อีกไม่นานบัว อีกไม่นานเราจะโต้กลับพวกมัน เทนสไควร์คนนี้จะจัดการมันให้สาสมกับที่ทนมาเป็นสิบๆปี”
“ครับนาย”
รอนเดินออกจากซอยบ้านแพท เขาเดินผ่านตึกไปรษณีย์เก่าขณะที่โทรศัพท์ในมือส่งเสียงขึ้น เด็กหนุ่มพลิกเปิดดูอีเมล์ที่ส่งมา
SleeplessInCanton : น้องชายสะดวกไหม สินค้ามาถึงแล้ว
เร็วจริง รอนคิดก่อนจะพิมพ์กลับไป
“รับของที่ไหนครับ”
SleeplessInCanton : โกดังเก่าใกล้ท่าน้ำโรงแรมโอราเมง คนส่งของชื่อหวังหลินและหยางเทียน สองคนขับเรือมา
รอนสอบถามรูปร่างลักษณะจนแน่ใจก่อนจะตรงไปยังจุดนัดพบ เขาเดินกลับไปทางเดิม โรงแรมโอราเมงที่เป็นจุดส่งของอยู่ริมแม่น้ำข้างโรงเรียนของเขาเอง
รอนเดินไปตามถนน แม้แสงอาทิตย์จะเริ่มน้อยลงแต่บริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ใกล้โรงเรียนที่เด็กหนุ่มชินทางอยู่ เขาเลี้ยวผ่านร้านข้าวตรงเข้าไปในซอยเล็กที่มุ่งไปที่โกดังเก่าริมน้ำอันเป็นจุดนัดพบ
“เฮ้ย ไอ้วุธ ดูเด็กนั่น”
“อะไรวะไอ้แมน”
วัยรุ่นสองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้านวางช้อนส้อมลง วุธมองตามทิศที่เพื่อนบอก เด็กนักเรียนม.ต้นเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินเดินผ่านพวกเขาตรงเข้าไปในซอย ใบหน้าดูคุ้นตา
“ก็ไอ้เด็กนั่นไง ไอ้ที่ทำพวกเราซวยกันทั้งกลุ่มในอุโมงค์คนข้ามนั่นไง”
วุธอึ้งคิดนิดนึงแล้วก็คิดออก เมื่อตอนนั้นที่มันไปดักรอเด็กนักเรียนในอุโมงค์เพื่อดักชิงเงินทวงหนี้ ก่อนที่จะเจอเล่นงานจนบาดเจ็บวิ่งหนีกันออกไปแล้วไปจ๊ะเอ๊ะกับตำรวจ คนอื่นๆเจอตำรวจจับกันหมดยกเว้นวุธกับแมนที่อาศัยจังหวะที่ตำรวจจับเพื่อนๆหลบหนีออกมาได้
จากคตีเก่าๆของทุกคน คงอีกสักพักใหญ่ๆกว่าจะพ้นโทษได้
“เล่นมันเลยไหมไอ้วุธ”
“จะบ้าเรอะ คราวก่อนเรามากันตั้งกี่คนยังเจอมันเล่นซะยับเลย”
วุธตบหัวเพื่อนผัวะนึงก่อนจะค่อยๆคิด ยังไงมันก็แค้นเจ้าเด็กนั่น โอกาสเหมาะๆแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
“ไป ไปหาพี่เป่า ให้พี่เป่าช่วย”
“ดี ไปกันเร็ว “
สองคนนั่นลุกออกไปโดยไม่จ่ายค่าข้าว เจ้าของร้านได้แต่มองตามตาปริบทำอะไรไม่ได้เพราะรู้ว่าสองคนนี้คือลูกน้องของไอ้เป่า
รอนเดินไปจนสุดซอย ตรงนั้นมีแถวแนวของโกดังเก่า เดินไปจนถึงลานกว้างริมน้ำ เรือยนต์ลำนึงลอยลำที่ท่า คนบนเรือกำลังผูกเชือกโยงเข้ากับเสาริมน้ำ
“รอน?”
“คุณหวังหลิน คุณหยางเทียนใช่ไหมครับ”
หวังหลินและหยางเทียนมองไปที่รอนอย่างแปลกใจ เด็กมัธยมต้นหน้าตาดูธรรมดาไม่เหมือนนักเลงเลย
หากเป็นการซื้อขายอื่นทั้งสองคนนี้อาจจะระแวงว่ารอนคือสายของตำรวจ หากแต่ครั้งนี้เป็นการซื้อขายอาวุธมีคมธรรมดาเลยทำให้ทั้งคู่ไม่สงสัยรอนสักเท่าไหร่
หวังหลินใช้รอกยกลังไม้ขึ้นวางบนท่า เปิดงัดฝาออกให้รอนตรวจเช็ค
“นี่ หัวธนู ลังนี้มีดสั้นสำหรับขว้าง ส่วน4ลังนี้คือปลายหอก”
หยางเทียนเอาไม้พลองยาว2เมตรขึ้นจากเรือ เสียบหัวหอกเข้าไปให้ดูว่าใช้ได้จริง
“ทำไมปลายหอกมันตั้ง4ลังครับเนี่ย” เด็กหนุ่มถามอย่างงงงวย “ผมสั่งไปแค่1000ชิ้นเองนะครับ”
หวังหลินทำหน้าแบบไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เธอคิดว่าปลายหอกมันคือผักหญ้าหรือยังไง รู้ไหมว่าชิ้นนึงหนัก4ขีด ลังนึง250ชิ้นก็หนัก100กว่ากิโลกรัม แล้วนี่เธอมาคนเดียวตัวเปล่าไม่มีรถมาจะขนกลับไปยัง…”
หวังหลินพูดได้แค่นั้นก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ารอนใช้มือแต่ละข้างยกลังขึ้น ลังหนักร้อยกว่ากิโลกรัมถูกเด็กหนุ่มยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว ขณะที่รอนมองไปที่พื้นรอบๆแล้วส่ายหน้า ลังไม้ตั้ง6ลัง ต่อให้เขายกได้หมดแล้วเขาจะขนไปยังไงล่ะเนี่ย
หรือว่าจะเรียกแพทมาให้ใช้แหวนเก็บของต่างมิติ ถึงจะขนของผ่านแหวนมาไม่ได้ แต่ตัวแหวนก็สามารถนำมาใช้เก็บของที่โลกฝั่งนี้ได้
คิดแล้วรอนก็ส่ายหน้าอีกครั้ง เขาไม่อยากให้แพทมาตรงแถวนี้คนเดียว
“สงสัยต้องไปเรียกแท็กซี่มาก่อน” รอนพูดกับตัวเอง
แล้วแสงไฟหน้าของรถก็สว่างขึ้น รถแท็กซี่สามคันวิ่งเข้ามาจอดเอี๊ยดที่กลางลาน
“โอ้ อะไรกัน ยังไม่ได้เรียกรถเลยก็มาถึงที่เลยเหรอเนี่ย”