Midterm Fantasy - ตอนที่ 89
“รอนเป็นยังไงบ้างลูก”
แม่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่ห้องฝ่ายปกครอง จับตัวเด็กหนุ่มพลิกซ้ายพลิกขวาดูว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติหรือไม่
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับแม่ แผลกระจกบาดเย็บ3-4เข็มเองครับ”
แม่พลิกดูตามตัวแล้วถอนหายใจโล่งอก
“โล่งอกไปที ทีแรกแม่เห็นกองเลือดที่หน้าห้องแล้วก็ตกใจ กองเลือดมันใหญ่มากจนนึกว่าบาดเจ็บหนักไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วลูก” แม่บอก “แล้วนี่หนูแพทเป็นอะไรมากไหมลูก”
“ไม่เป็นอะไรค่ะคุณน้า ไม่ได้บาดเจ็บอะไร” แพทตอบพลางมองไปที่เสื้อของตนเอง ไม่น่าแปลกใจที่แม่ของรอนจะถามแบบนั้นเพราะเสื้อนักเรียนสีขาวของเธอถูกเลือดของรอนย้อมจนกลางเป็นสีแดงหม่นไปครึ่งตัว
ก็อกๆๆ
ร่างของลุงบัวเดินเข้ามาในห้องฝ่ายปกครองเดินตรงไปหาแพท
“คุณหนูบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ”
“แพทไม่บาดเจ็บค่ะลุงบัว”
“แล้วเลือดนี่…” พ่อบ้านถาม เสื้อของคุณหนูแดงฉานออกปานนั้น
“เลือดของรอนค่ะ ตอนที่กระจกแตกเค้าเอาตัวมาบังแพทไว้”
ลุงบัวยืนรอจนแม่ของรอนเดินไปคุยกับครูแล้วจึงค่อยเดินเข้าไป
“ขอบคุณคุณรอนมากครับที่ช่วยคุณหนูไว้”
รอนก้มศีรษะรับคำขอบคุณ
“ลุงบัวมารับแพทกลับบ้านเหรอครับ”
“ใช่ครับ นายท่านเห็นข่าวแล้ว ในข่าวมีภาพคุณหนูติดไปด้วย ฟังจากคำบรรยายในข่าวแล้วคนที่ก่อเหตุอาจจะเข้าใจผิดและไม่ปลอดภัยได้ เลยให้ผมมารับตัวกลับบ้านก่อนครับ”
รอนพยักหน้ารับมองดูลุงบัวพาแพทกลับไป ถึงยังไงอยู่ในชุดที่เปื้อนเลือดขนาดนี้คงอยู่เรียนต่อไม่ได้แน่
…
“เอาล่ะ เอาข่าวแรกลงจากเพจและรายการย้อนหลังได้” ชายวัย30กว่าๆในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสั่ง “แล้วลงขออภัย ระบุลงไปว่าเพื่อความเป็นส่วนตัวของแหล่งข่าว”
“พี่ธนัท แต่ว่าแบบนี้จะไม่เข้าใจผิดไปกันใหญ่เหรอครับ” ชายหนุ่มที่นั่งหน้าคอมฯถาม “เราไม่ได้ระบุแหล่งข่าวตั้งแต่ต้น แถมไอ้เป๋าโทรมาเมื่อกี้ก็ถามหาชื่อของน้องผู้หญิงสามคนนั้น แปลว่ามันเข้าใจผิดว่าน้องผู้หญิงสามคนนั้นคือแหล่งข่าว ทั้งที่จริงๆคนของเราไปฟังคนแถวนั้นพูดเฉยๆ”
เด็กฝึกงานและพนักงานหลายคนเหลือบมองธนัทหัวหน้าทีม ในใจของแต่ละคนรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิดจากสิ่งที่เรียนมาหลายอย่างแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกไป
ธนัทถอนหายใจ
“ศาสตรา นายรู้ไหมว่าไอ้เป๋งคุมพื้นที่นี้มาแล้วกี่ปี”
“…”
“สิบปี สิบปีที่มันอยู่ที่นี่มาโดยไม่มีใครทำอะไรมันได้ มันไถเงินเรียกค่าคุ้มครองร้านค้าละแวกนี้มาสิบปีโดยไม่เจอจับ เพราะมันอยู่ในแก๊งค์เมษา ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน” ธนัทบอก “ก่อนนี้มันทำตัวเรื่อยๆไม่มีใครสนใจ แต่ครั้งนี้คือครั้งแรกที่มันพลาด มันพลาดทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่”
“หน้าที่ของเรา ไม่ใช่แค่นำเสนอข่าว แต่ต้องชี้นำสังคม ในสังคมที่ถูกกัดกินแบบนี้ถ้าเราเสนอข่าวไปเรื่อยๆไม่ทำอะไร ก็จะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง”
“แต่ว่าเราทำแบบนี้เด็กสามคนนั้นอาจถูกเข้าใจผิดนะครับ! พวกเธอจะเดือดร้อน” ศาสตราแย้ง
“เด็กสามคนนั้นเดือดร้อน แล้วชาวบ้านร้านค้าที่ถูกเป๋งโมบายรีดไถเก็บค่าคุ้มครองไม่ลำบากหรือยังไง” ธนัทบอก “นี่คือโอกาสอันดีที่เราจะทำเรื่องนี้ให้เป็นที่สนใจ ถ้าเป๋งโมบายเจอกระแสสังคมสนใจมากๆมันก็จะไปรีดไถชาวบ้านไม่ได้”
“พี่เข้าใจว่าพวกเธอทุกคนไม่สบายใจ แต่มันคือหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องเสียสละ พวกเราต้องทำหน้าที่เพื่อสังคม จะต้องมีคนเสียสละเพื่อให้สังคมดีขึ้น ไม่ว่าเด็กสามคนนั้นหรือพวกเราต่างก็กำลังเสียสละกันอยู่เข้าใจไหม”
“ครับ” รุ่นน้องก้มหน้าลงด้วยความอาย เขาไม่นึกเลยว่าความคิดของเขาจะตื้นเขินจนตามไม่ทันรุ่นพี่แบบนี้ ธนัทตบบ่าแปะๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไป ในห้องมีชายอีกคนกำลังวางโทรศัพท์
“เป็นไงมั่ง”
“ไม่น่ามีปัญหา ตะกี้เป๋งโมบายโทรมา เราบอกไปแล้วว่าบอกแหล่งข่าวไม่ได้ แต่เดี๋ยวจะลบข่าวให้เพราะอีกฝ่ายก็ขอให้เอาออกเหมือนกัน”
“ไม่มีปัญหาแน่นะ”
“ไม่มีหรอก เป๋งโมบายมันปักใจแล้วว่าคนในภาพคือคนให้ข่าว เราก็ยืนยันไปว่านักข่าวก็เขียนไปตามที่ได้ข่าวมา ตอนนี้ไอ้เป๋งมันไม่สนพวกเราหรอก” ชายคนนั้นบอก “ว่าแต่ยอดเป็นไงมั่ง”
“ก็ใช้ได้ ความเห็นในเพจแตกเป็นสองฝั่ง ยอดคนเข้าดูเพิ่มกว่าเมื่อวาน2เท่า แต่กระแสน่าจะไม่นาน”
“งั้นเดี๋ยวเล่นข่าวดาราต่อแล้วกัน”
จากนั้นทั้งสองก็ลืมเรื่องนี้ไป
“กูไม่มีทางลืมเรื่องนี้แน่” เป๋งโมบายทุบโต๊ะ “ไอ้เด็กบ้า มาให้ข่าวพูดชื่อพวกเราออกทีวีแบบนี้มันหยามกันชัดๆ”
“พี่เป๋งใจเย็นๆ แต่ในข่าวไม่มีเสียงพูดเลยนะ เราเข้าใจผิดหรือเปล่า”
“เข้าใจผิดอะไร ถ้าเข้าในผิดพวกนั้นมันจะเอาข่าวลงแล้วบอกว่าเพื่อความเป็นส่วนตัวของแหล่งข่าวรึไง”
“ไปสืบมาว่าพวกมันคือใคร แล้วคืนนี้ตามพวกเรามาให้หมด ถ้าพวกนี้ไม่มีแบ็ค พวกเราก็เล่นมันให้หมดทั้งสามคน”
เป๋งทุบโต๊ะอีกครั้ง บัตรประชาชนของน้องนักเรียนคนนั้นกระเด้งไปตามแรงสั่นสะเทือน
รอนวางมือถือลงกับแท่นชาร์จ ไฟล์หนังสือพื้นฐานการใช้หอกและไม้พลองถูกใส่เข้าไปในโทรศัพท์แล้ว จากการต่อสู้เมื่อวันก่อนทำให้รอนรู้ว่าหอกและไม้เท้ายาวใช้ได้ผลดีกับอีกฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่า และในโลกฝั่งนี้ที่ฆ่าคนไม่ได้ รอนคิดว่าการใช้อาวุธไร้คมและไม้พลองน่าจะโอเคกว่าการใช้มีดดาบ
เด็กหนุ่มเข้าอินเตอร์เนท อ่านข่าวโรงเรียนของตน ดูเหมือนว่าสเตตัสข่าวก่อนหน้านี้จะเจอลบทิ้งไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่สเตตัสเกี่ยวกับเป๋งโมบาย ที่มีการลงประวัตินักเลง ลงที่ตั้งร้านและธุรกิจของมัน ไปจนถึงลูกน้องที่รวมๆกันมีเกือบร้อยคน
ถ้าแบบนี้แพทจะมีอันตรายไหม ถ้าพวกนั้นเข้าใจผิดแล้วมาตามแพทเพราะมีภาพในข่าวล่ะ
เด็กหนุ่มตัดสินใจโทรหาเพื่อนสาวและบอกความกังวลไป
“ไม่มีปัญหาหรอกรอน” เสียงของแพทดังมาจากโทรศัพท์
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“คือร้านพ่อของเราจ่ายค่าคุ้มครองให้กับแก๊งค์เมษา แก๊งค์หลักที่เป๋งนั่นสังกัดอยู่ มันไม่กล้าทำอะไรเราหรอก”
“แล้วเรื่องโรงเรียนก็ไม่ต้องห่วง นักเรียนในโรงเรียนของเรามีคนที่ครอบครัวมีอิทธิพลหรือคนใหญ่คนโตปะปนอยู่บ้าง พวกนั้นไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกหรอก” แพทบอก “แต่ที่น่าห่วงคือน้องสามคนนั้นมากกว่า เราโทรถามน้องม.1ที่รู้จักกัน เค้าว่าสามคนนั้นทางบ้านทำอาชีพธรรมดา ไม่มีแบ็คอะไร ถ้านักเลงพวกนั้นตามไปก่อกวนคงแย่”
รอนฟังแล้วนิ่งอึ้งไป คาดไม่ถึงว่าการที่ตนเล่นงานนักเลงกลุ่มนึงไปจะลุกลามบานปลายได้แบบนี้ เขาเล่าให้แพทฟัง
“แบบนี้ก็แย่สิ พวกเราจะทำยังไงดี” แพทพูดอย่างกังวล
“หรือว่าเราจะแอบเข้าไปในร้านของเป๋งแล้วเอาบัตรประชาชนน้องคนนั้นออกมา”
“เอ่อ รอน ป่านนี้มันคงถ่ายรูปถ่ายเอกสารเก็บไว้แล้วล่ะ” แพทบอก
ความจริงนอกจากถ่ายภาพเก็บไว้แล้ว ตอนนี้พวกนั้นยังได้ข้อมูลพ่อแม่ของน้องนักเรียนคนนั้นมาเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำไป
“หรือว่าเราจะลองบุกเข้าไปก่อกวนพวกมันดี” รอนเสนอ “ถ้าก่อกวนมันมากๆมันจะได้หันเหความสนใจมาที่เราแทนที่จะไปเล่นงานน้องสามคนนั้น”
“เดี๋ยวสิรอน เราแค่สองคนเนี่ยนะ พวกนั้นน่าจะมีเป็นร้อย เราแค่สองคนไม่ไหวหรอก ต่อให้เราใช้เวทมนตร์หรือม้วนเวทช่วยก็สู้คนเป็นร้อยไม่ได้หรอกนะ”
“ได้สิ” รอนบอก “เรามีวิธี”
รอนรอจนพ่อแม่หลับ จากนั้นแอบออกจากบ้าน ปั่นจักรยานมุ่งไปบ้านของแพทที่ห่างออกไปประมาณ5กิโลเมตร ไปจนใกล้บ้านของแพทแล้วหาซอกหลืบมืดๆหลบ
เที่ยงคืนแล้ว รอนข้ามโลกไปที่อีกฟากหนึ่งคุยแผนการกับแพทจนเป็นมั่นเหมาะ จากนั้นเปิดหนังสือ ฝึกซ้อมการใช้หอกและไม้พลองตามหนังสือ
หนึ่งชั่วโมง
สองชั่วโมง
สามชั่วโมง
ห้าชั่วโมง
สิบชั่วโมง
ยี่สิบชั่วโมง
รอนฝึกการใช้ไม้พลองอย่างบ้าคลั่ง ฝึกจนเจ็บปวดกล้ามเนื้อเมื่อยล้าแต่เขาก็ใช้ผลึกแกนมอนสเตอร์กับม้วนเวทรักษาทำให้หายดีแล้วฝึกซ้อมต่อ
แพทกลับมาจากข้างนอก ยื่นหน้ากากกับหมวกให้รอน
“อะไรเหรอ”
“หน้ากาก หมวก ถ้านายบุกเข้าไปแล้วเจอมันจำหน้าได้ก็ยุ่งสิ” แพทบอก “เราซื้อมาจากตลาด”
รอนพลิกดูหน้ากากและหมวกสีดำในมือ รูปร่างคล้ายๆหน้ากากเฉินเจิน
“หน้ากากอะไรเหรอ”
“เห็นคนขายบอกว่าเป็นหน้ากากของนักรบมังกรเทนสไควร์ ขายให้เด็กๆในเมืองไว้เล่น ถ้าเธอใส่ไปพวกนั้นคงไม่รู้จักแน่ๆ”
รอนและแพทเตรียมของที่จะเอากลับไปโลกจากนั้นนั่งรอเวลาจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วทั้งคู่ก็เคลื่อนย้ายกลับไปที่โลก รอนเดินออกจากที่ซ่อนไปหาแพท ในความมืดเด็กสาวเปิดหน้าต่างห้องนอนร่ายเวท
“<Windwalk>”
แพทกระโดดออกมาจากหน้าต่างบ้าน ร่างค่อยๆร่อนลงมาช้าๆอย่างเงียบเชียบ ทั้งคู่เช็คของแล้วมุ่งตรงไปที่แหล่งกบดานของเป๋ง
ร้านมือถือของเป๋งโมบายตั้งอยู่ในซอย เป็นตึกอาคารพานิชย์สามชั้น ตรงกลางมีลานกว้างมองจากด้านบนเหมือนรูปตัว O
รอนและแพทหลบอยู่ในเงาใต้ต้นไม้ห่างๆ เด็กหนุ่มใส่หูฟังเสียบโทรศัพท์
“แพท เธอใช้สกิลของเธอช่วยบอกสถานการณ์แล้วบอกทางโทรศัพท์นะ แล้วถ้ามีอะไรไม่แน่ใจให้หนีไปเลยนะ”
“อื้อ”
รอนใส่หน้ากากดำหมวกดำ หยิบไม้พลองขึ้นแล้วค่อยๆเดินออกไป ที่เขาพาแพทมาเพราะต้องการให้แพทใช้สกิล “ลางสังหรณ์”ช่วยเขาบอกสถานการณ์ภายใน
ส่วนแพทแม้จะแปลกใจที่รอนไม่มีสกิล แต่พอเขาบอกว่าเขาไม่มีพลังเวทก็เลยพอจะอธิบายได้
รอนเดินไปใกล้ตึกเป้าหมายยกมือให้สัญญาณ เด็กสาวพยักหน้าและเปิดสกิล
จริงๆสกิลนี้ไม่ได้ใช้พลังเวทนี่นา ทำไมรอนถึงไม่มีล่ะ
… แต่ช่างเถอะ
“[Battle Map]”