Midterm Fantasy - ตอนที่ 94
“ถัดจากนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว” พ่อเฒ่าเบรเซอร์บอกกับทุกคนในขบวน
ชาวบ้านที่เดินทางมาในครั้งนี้ต่างถอนหายใจโล่งอกยิ้มอย่างดีใจที่ได้กลับบ้าน การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นกว่าทุกครั้งที่เคยทำมา ส่วนหนึ่งเพราะชาวบ้านมีฝีมือในการต่อสู้มากขึ้น และอีกส่วนสำคัญก็คือผู้ที่ร่วมทางมาด้วยทั้งสองคนนั่นก็คือแพทและรอนที่นอกจากจะร่วมต่อสู้ด้วยแล้วแพทยังบอกให้ทุกคนรู้ล่วงหน้าได้ว่ามีมอนสเตอร์หลบอยู่ที่ไหนบ้าง
ทั้งหมดค่อยๆเดินไปจนกระทั่งถึงหน้าหมู่บ้าน แนวรั้วไม้ค่อยๆปรากฎให้เห็นในสายตาพร้อมกับเสียงตีระฆังเตือนจากผู้ที่อยู่ยาม ชาวบ้านหลายๆคนโผล่หน้ามาที่ทางเข้ากัน แล้วร่างเล็กๆก็วิ่งออกมาจากภายในหมู่บ้านนั้น
“คุณรอนกลับมาแล้ว”
โรล่าวิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าเด็กหนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ข้าก็กลับมาแล้วเหมือนกันนะโรล่า” พ่อเฒ่าเบรเซอร์ยกนิ้วขึ้นชี้ที่ตัวเอง จนทุกคนที่เดินทางมาด้วยหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน โรล่ายิ้มแหยๆแล้วเข้าไปทักทายพ่อเฒ่าด้วยอีกคน
“อย่างนี้แหละลุง เด็กๆพอโตขึ้นก็เป็นแบบนี้กันทุกคนทำใจซะเถอะ”
ลูกบ้านแซว
ชาวบ้านคนอื่นๆรวมทั้งมาเรียกับพอลเดินออกมาต้อนรับขบวนที่เดินทางกลับมาถึง ชาวบ้านทั้งหลายช่วยกันเคลื่อนย้ายข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมาจากเมืองเข้าไปกันแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง
“ช่วงที่พวกเราไม่อยู่ที่หมู่บ้านมีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม” เบรเซอร์ถามพอล
“ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรครับ มอนสเตอร์ไม่ได้โจมตีหมู่บ้านของพวกเราเลยในช่วงนี้” พอลตอบ “ถ้าจะมีก็มีแต่มีนักเดินทางของเผ่าสัตว์กลุ่มนึงที่สนใจผลผลิตของเรา แต่เรื่องนี้คงต้องให้คุณรอนเป็นคนตัดสินใจ”
“ผมเหรอครับ” รอนถามอย่างประหลาดใจ
“เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวพวกเราจะต้องประชุมย่อยกันอยู่แล้ว ไปคุยกันในที่ประชุมก็แล้วกัน” เบรเซอร์บอก
“รอน แต่พวกเราต้องอ่านหนังสือนะ อีกสองวันจะสอบแข่งขันแล้ว” แพทเตือน
“ได้ๆ เดี๋ยวประชุมนิดนึงเสร็จแล้วเราจะรีบกลับไปอ่านด้วย” รอนบอก
“เร็วๆล่ะ” แพทบอก เหลือบมองไปด้านหลังของเด็กหนุ่มนิดนึงก่อนจะเดินไปที่บ้านพัก
“คุณรอนเหนื่อยไหมคะ” เสียงเล็กๆของโรล่าดังมาจากด้านหลัง
“เอ่อ ไม่หรอกครับ”
“ช่วงนี้โรล่าฝึกอาวุธทุกวันเลย ไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปแค่ไหน เลยอยากจะชวนคุณรอนไปล่ามอนสเตอร์เล็กๆแถวนี้สักหน่อยค่ะ”
รอนกำลังจะตอบรับแต่นึกได้ว่าต้องไปอ่านหนังสือกับแพท
“คือผม…”
“โรล่า เดี๋ยวเราสองคนไปช่วยคุณตาเบรเซอร์จัดของก่อน อย่าเพิ่งกวนคุณรอนเขาเลย” มาเรียเดินตรงเข้ามาดึงมือเด็กสาวไปแบบไม่เปิดโอกาสให้ได้คุยต่อ
“เอาไงดีเนี่ย … ช่างเถอะ” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
ครู่ใหญ่ๆ ตัวแทนชาวบ้านก็มาพร้อมกัน เบรเซอร์บอกให้ทุกคนรู้ถึงแผนงานของเมืองกาล่าที่จะปรับระบบความปลอดภัยระหว่างเมืองและหมู่บ้านให้ประชาชนไม่ต้องผจญกับภัยมอนสเตอร์มากเท่าแต่ก่อน
ทุกคนนั่งฟังแผนงานของเมืองกาล่าอย่างประหลาดใจ ทั้งเรื่องที่จะมีการปรับปรุงถนน มีการสร้างที่พักและที่หลบภัยระหว่างทางแบบมีทหารประจำ มีการฝึกฝนชาวบ้านให้มีกลุ่มติดอาวุธและชุดเกราะ ไปจนถึงการมีชุดลาดตระเวนบนถนนในแต่ละวัน
“แต่เรื่องแบบนี้ต้องใช้เงินมาก ตอนนี้เมืองมีเงินมากขนาดนั้นเหรอ” ตัวแทนชาวบ้านคนนึงถาม “หรือว่าจะมีการเก็บภาษีเพิ่ม”
“ไม่ใช่หรอก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับภาษี เพราะค่าใช้จ่ายบางส่วนร้าน ARMAMENT ของคุณรอนจะเป็นผู้ออกให้”
ตัวแทนชาวบ้านทั้งหลายฮือฮาขึ้นมา รวมไปถึงโรล่าและมาเรียที่กำลังเสิร์ฟน้ำให้ทุกคน
“ความจริงก็ไม่เชิงออกให้หรอกครับ มันเป็นความร่วมมือระหว่างร้านของผมกับเมืองกาล่ามากกว่า” รอนบอก “ร้านARMAMENTเพิ่งขายอาวุธชั้นเยี่ยมให้กับเมืองกาล่าไป แต่กำลังซื้อของเมืองกาล่าก็มีจำกัด ผมเลยคิดจะให้ท่านโซล่าเป็นตัวแทนในการติดต่อเจ้าเมืองอื่นๆให้มาซื้อของของร้าน ARMAMENT ด้วย และกำไรส่วนหนึ่งจะหักไว้ให้ท่านโซล่าในฐานะนายหน้า ซึ่งท่านโซล่าก็จะเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในการก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทางรอบๆเมืองด้วย”
“นอกจากนี้ผมยังมีสินค้าที่คิดว่าจะให้หมู่บ้านโอเซ่นแห่งนี้เป็นศูนย์กระจายสินค้า โดยที่ไม่สามารถหาซื้อได้ที่อื่น” รอนบอก “เพราะพ่อค้าเร่ที่จะเดินทางมาซื้อสินค้าจากที่นี่จะมีนักผจญภัยคุ้มกันมาด้วย เมื่อพวกเขาเดินทางมาที่นี่ก็จะกำจัดมอนสเตอร์ตามรายทางไปพร้อมๆกัน เราก็จะได้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์เอง”
“โอ้ เยี่ยมเลย”
“แบบนี้ต่อไปพวกเราก็สบายกันแล้ว”
ชาวบ้านหลายคนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แต่แบบนี้มันจะไม่แฟร์กับคุณรอนหรือเปล่า ต้องเอากำไรมาแบ่งให้กับเมืองกาล่ารวมไปถึงหมู่บ้านของเราแบบนี้โดยที่เราไม่ได้ตอบแทนอะไรให้เลย”
“ไม่หรอกครับ ผมยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้านอีกแห่งหนึ่งของผม” รอนบอก ค่อยๆหันไปมองคุณเบรเซอร์ มาเรีย พอลไปจนถึงโรล่า “ผมอยากให้ทุกคนที่นี่อยู่ได้อย่างสงบสุข”
รอนนึกไปถึงตอนที่มาที่นี่ใหม่ๆและที่นี่ถูกก็อบลินโจมตี ชาวบ้านที่นี่ก็ช่วยชีวิตเขาไว้
แม้ว่าจะเป็นการช่วยชีวิตเขาซึ่งมาช่วยหมู่บ้านนี้ แต่การช่วยชีวิตก็คือการช่วยชีวิต เขาอยากตอบแทนอะไรให้คนที่นี่บ้าง
รอนใจลอยนิดนึง ชาวบ้านแต่ละคนมองสลับไปมาระหว่างรอนและโรล่าแล้วก็หัวเราะออกมาไม่มีใครว่าอะไร ที่ผ่านมาโรล่าแสดงท่าทีออกมาจนทุกคนในหมู่บ้านรู้ความในใจไปหมดแล้ว แม้ว่ารอนจะไม่พูดอะไรแต่ทุกคนก็เดากันไปเหมือนๆกัน
ไม่มีใครเชื่อว่ารอนจะมาช่วยขนาดนี้เพื่อหาที่อ่านหนังสืออย่างเดียว
“แต่ว่าถ้าคุณรอนช่วยแบบนีไปนานๆจะดีเหรอ” มาเรียแย้งขึ้น “ต่อไปถ้าหากคุณรอนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ทุกอย่างคงไม่สบายแบบนี้ ยังไงพวกเราก็ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม อย่าเพิ่งชินไปกับเรื่องที่ไม่แน่นอนจากคนนอกสิ”
ทุกคนที่กำลังยิ้มอยู่หุบยิ้มแล้วเงียบกริบ ก็จริงอย่างที่มาเรียบอก ถึงจะช่วยเหลือขนาดไหนยังไงคุณรอนก็เป็นคนนอก ยังไงไม่ได้อยู่ที่นี่ถาวร
มาเรียยิ้มที่มุมปากนิดๆ พึงพอใจกับตรงหน้าที่ตัวแทนชาวบ้านทุกๆคนคิดได้ว่าความช่วยเหลือจากรอนนั้นไม่ใช่เรื่องยั่งยืนและเริ่มมีสีหน้าที่กังวล
แต่เธอก็ยิ้มได้ไม่ถึงนาที เพราะจู่ๆทุกคนก็ยิ้มออกมาพร้อมๆกันและมองไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมองไปที่โรล่า
และถ้ามาเรียรู้ว่าแต่ละคนคิดยังไง อาจจะต้องคลั่งกว่านี้ เพราะตอนนี้ในหัวของทุกคนคิดขึ้นมาว่า
‘เป็นคนนอกที่ไม่ได้อยู่ถาวรเรอะ งั้นก็ทำให้เป็นคนในซะสิ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เรามีโรล่าอยู่ทั้งคน”
ความคิดของทุกคนตรงพ้องกันโดยมิได้นัดหมาย
“เอาล่ะเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ว่าแต่พอลบอกว่ามีเรื่องเกี่ยวกับเผ่าสัตว์ มีอะไรรึ” เบรเซอร์ถาม
“คือเมื่อวันก่อน มีนักผจญภัยและพ่อค้าของเผ่าสัตว์เดินทางผ่านมาและมาพักที่หมู่บ้านของเราครับ พอพวกเขาเห็นต้นไม้ที่พวกเราปลูกไว้ในบ้านพวกเค้าก็ตื่นเต้นกันแบบสุดๆ” พอลบอก
“ต้นไม้?”
“ครับ ก็ต้นไม้ที่คุณรอนปลูกเอาไว้เมื่อตอนโน้น ตอนที่เรากำลังจะลี้ภัยออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว” พอลบอก “พวกเผ่าสัตว์บอกว่า มันคือพืชที่เผ่าสัตว์ใช้ทำอาหารเมนูของพวกเค้าซึ่งหาไม่ได้ในทวีปซีแลนเดีย พวกนั้นขอซื้อต่อเอาไปทำอาหารกันครับ”
รอนค่อยๆนึก ก่อนหน้านี้เขาเอาต้นหอมผักชีกระเพราโหระพาสะระแหน่พริกและพืชผักเครื่องเทศหลายอย่างไปโปรยเอาไว้นี่นะ
จริงสินะ ถ้าแบบนี้ก็พอมีอีกหนทางหนึ่ง
รอนคิดอะไรขึ้นมาได้บ้างแต่ความคิดยังไม่ตกผลึกดี แต่มันน่าจะช่วยให้หมู่บ้านโอลเซ่นมีอะไรที่แตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆได้
“เรื่องเมล็ดพันธุ์ ผมคิดว่าน่าจะพอหาได้ครับ แต่ว่าถ้าหากเป็นตัวผักสด อาจจะหาลำบากสักหน่อย คงต้องให้ทุกคนช่วยๆกันปลูกเอง”รอนบอก “ผมจะหาเมล็ดพันธุ์มาเก็บไว้ที่นี่เผื่อว่าพวกเขาจะสนใจกันก็จะได้ขายให้ไป”
“งั้นถ้าหากพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง ผมจะบอกตามนี้แล้วกันครับ” พอลบอก
“งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว” เบรเซอร์บอก
รอนเตรียมลุกจากที่นั่งเพื่อกลับไปหาแพทที่บ้านพักเตรียมการอ่านหนังสือ แต่แล้วชาวบ้านที่เพิ่งประชุมเสร็จกลับพากันมาหาเขา
“คุณรอน พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันตอนนี้ฝึกการใช้อาวุธไปถึงไหนแล้วครับ” ชายคนนึงถาม
“ช่วงนี้ผมเน้นใช้หอกครับ กำลังพยายามฝึกอยู่” เด็กหนุ่มตอบ
“จะว่าไปช่วงนี้มีคนเห็นมอนสเตอร์มาป้วนเปี้ยนแถวแม่น้ำ พวกเราว่าจะชวนคุณรอนไปกันหน่อย พวกเราจะได้ไปจัดการมอนสเตอร์แล้วก็จะได้ฝึกอาวุธไปด้วยในตัว คุณรอนไปด้วยกันนะครับ”
“แต่ว่าผมนัดกับแพทเอาไว้ว่า..”
“ไปแป๊บเดียวเองครับ แค่แม่น้ำตรงนี้เอง” ชาวบ้านชวน
“งั้นก็ได้ครับ ตกลงครับ” รอนตอบ
“โรล่า โรล่า ช่วงนี้เธอฝึกการใช้ดาบสั้นกับมีดไม่ใช่เรอะ ไปด้วยกันสิจะได้ฝึกต่อสู้กัน”
“อ่า ค่ะค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” โรล่ารีบวิ่งไปที่เตียงแล้วหยิบเอาดาบสั้นกับโล่ออกมา สวมเกราะหนังทับลงอย่างรวดเร็ว
“คุณแพท คุณแพท พวกเราจะพาคุณรอนออกไปที่แม่น้ำสักพักนึงนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับเดี๋ยวพวกเราไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มาแล้ว”
ชาวบ้านสิบกว่าคนช่วยกันดุนหลังรอนและโรล่าให้ออกจากหมู่บ้านขณะที่แพทยกมือค้างไว้ห้ามไม่ทัน
คนทั้งหมดเดินผ่านพื้นที่รอบนอกหมู่บ้านไป พื้นดินที่ว่างเปล่าบางส่วนกำลังถูกเกลี่ยขุดเพื่อเตรียมการเพาะปลูกหลังจากหมดหน้าหนาว หิมะเริ่มละลายเผยให้เห็นดินสีน้ำตาลที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งหมดเดินมาได้ประมาณ2ไมล์ ก็ถึงริมน้ำ
“คุณรอน โรล่า สองคนซุ่มตรงนี้แล้วกันถ้ามีมอนสเตอร์มาก็ค่อยออกไป” ชาวบ้านชี้ให้เห็นเพิงซุ้มพรางตาที่เอาไว้เพื่อซุ่มสังเกตมอนสเตอร์ของชาวบ้าน “เดี๋ยวพวกเราจะกระจายไปเฝ้าที่ด้านโน้นกัน”
รอนและโรล่าลงไปนั่งในเพิงซุ้ม ข้างในมีผ้าห่มอยู่หนึ่งผืน รอนหยิบมาห่มร่างของเด็กสาวให้โดยไม่ลังเล
“เดี๋ยวนะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ”
“จริงสิ เมียข้าให้ไปซ่อมหลังคา”
“ข้าไม่ได้หุงอาหารเย็น”
“งั้นพวกเราฝากโรล่ากับคุณรอนดูแถวนี้ละกัน ถ้าเจอมอนสเตอร์ก็ไล่มันให้ด้วยนะครับ”
แล้วทุกคนก็เดินกลับทันทีแบบไม่รอให้ทั้งสองคัดค้าน ในมือของคนนึงมีผ้าห่มเก่าๆหนึ่งผืนติดมือกลับไปด้วย
“แปลกจริง” รอนบอกเกาหัวแกรกๆ
“ค่ะ แปลกจริงๆ ว่าแต่คุณรอนหนาวไหมคะ ใช้ผ้าห่มด้วยกันก็ได้นะคะ” เด็กสาวเปิดผ้าห่มแล้วเขยิบไปใกล้เด็กหนุ่ม ห่มให้เข้ามาอยู่ด้วยกันโดยไม่รอคำตอบ จากนั้นทั้งสองคนก็อิงแอบมองดูพื้นที่ภายนอกที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ที่ทางเดินกลับชาวบ้านคุยกันอย่างอารมณ์ดี
“แบบนี้สองคนนั้นต้องก้าวหน้าไปอีกขั้นแน่ๆ”
“ผ้าห่มผืนเดียวสองต่อสองบรรยากาศสงบเงียบ ต้องสำเร็จแน่ๆ”
“ว่าแต่จะไม่อันตรายเหรอ อยู่กันแค่สองคน”
“ไม่หรอกน่า สองวันนี้จู่ๆมอนสเตอร์เล็กๆก็หายไปไม่ใช่รึไง”
“หรือจะมีมอนสเตอร์ใหญ่ๆออกมาอีกจนพวกมอนสเตอร์เล็กๆกลัว!”
“อย่าคิดมากน่า มันกลัวพวกเรามากกว่า พวกเราลาดตระเวนกันทุกวันขนาดนี้”
แล้วชาวบ้านทั้งหมดก็กลับหมู่บ้าน โดยไม่ได้สังเกตว่าที่พื้นบริเวณที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านไป มีรอยเท้าของอะไรบางอย่างขนาดใหญ่เท่าชามข้าวเดินตัดผ่านอยู่บนพื้นถนน