สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 72 (4)
งานมงคล (4)
ชิงหลัวรวบรวมสติก่อนจะใช้กำลังภายในพุ่งทะยานไปตบพลังเข้าใส่ร่างเงาที่อยู่หลังภูเขาจำลอง คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของคนผู้นั้นจะว่องไวกว่านาง พลังกลางฝ่ามือยังไม่ทันประชิดตัวก็ยื่นแขนออกมาสกัดเอาไว้ก่อนแล้ว หัวใจของชิงหลัวพลันบีบรัดกำลังจะส่งกระบวนท่าต่อไปแต่คนผู้นั้นไม่มีทีท่าจะหลบหนี แต่ชิงพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังก้อนหิน
หญิงสาวผู้นั้นอยู่ในชุดคล้ายกับสาวใช้ กลมกลืนไม่สะดุดตาสักนิด ชิงหลัวกลัวแต่ว่าฉู่สวินหยางจะตกอยู่ในอันตรายจึงยื่นมือออกไปคว้าไหล่ของนางไว้
ทว่าได้ยินเสียงหนักแน่นของหญิงสาวร้องออกมาหนึ่งคำว่า “หญิง!”
ฉู่สวินหยางตามมาถึงพอดี สบตากับนางเพียงแวบเดียวก็จำนางได้จึงรีบยกมือสั่งให้ชิงหลัวหยุดเคลื่อนไหวในทันที “หยุดก่อน! พวกเดียวกัน!”
ชิงหลัวชะงักไป แม้จะยั้งมือทันแต่ก็ยังไม่คลายความระแวง
การป้องกันของจวนอ๋องหนานเหอเข้มงวดกวดขัน ดังนั้นแม้ฉู่สวินหยางจะขอฉู่อี้อันให้ลู่หยวนติดตามนางมา แต่ก็ไม่กล้าวางคนดักซุ่มจนโจ่งแจ้ง ยิ่งกว่านั้น…
นางไม่เห็นรู้เลยว่าข้างกายของฉู่อี้อันมีองครักษ์ลับหญิงที่ฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ชิงหลัวก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างระวังภัย เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “อิ้งจื่อ?”
“ท่านหญิง!” อิ้งจื่อพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ไม่พิรี้พิไรก็เอ่ยต่อฉู่สวินหยางอย่างตรงไปตรงมา “เจ้านายข้าห่วงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องจึงสั่งให้พวกบ่าวแฝงตัวเข้ามาเป็นกำลังหนุนตั้งแต่สองวันก่อนเผื่อเอาไว้ยามจำเป็นเจ้าค่ะ”
ฝีมือเหยียนหลิงจวิน?
เขาก็ยังอุตส่าห์คิดได้ คงจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าจวนอ๋องหนานเหอคงวุ่นวายกับการตระเตรียมงานมงคลจนไม่มีใครว่างมาสนใจ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น การปลอมตัวเป็นสาวใช้หรือไม่ก็เด็กรับใช้สักสองคนในวันนี้มันทั้งง่ายดายและยากที่จะถูกเปิดโปง
ฉู่สวินหยางเผยยิ้ม ยักคิ้วเล็กน้อย แล้วส่งสายตาตั้งคำถามให้นาง
อิ้งจื่อเข้าใจ เคลื่อนตัวพานางไปที่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เหลยซวีกับฉู่เยว่เหยียนสองคนล้วนถูกนางตีคว่ำอยู่กับพื้น สลบไสลไม่ได้สติ
“สองคนนี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ คงไม่ได้คิดทำเรื่องดีๆ แน่!” อิ้งจื่อบอก
ฉู่สวินหยางกวาดสายตามองร่างของคนทั้งคู่ ในใจก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้ว…
จู่ๆ ฉู่เยว่เหยียนก็พาบุรุษแปลกหน้าเข้ามา จุดประสงค์ไม่ต้องบอกก็เดาได้
อิ้งจื่อเห็นนางเงียบไป ลังเลชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “หากว่าท่านหญิงไม่สะดวก เรื่องนี้ บ่าวสามารถจัดการให้ได้!”
นี่เพราะกังวลว่าฉู่เยว่เหยียนกับนางเป็นพี่น้องกัน?
“ไม่จำเป็น ข้าจัดการเองได้!” ฉู่สวินหยางยกมือตัดบทนาง คิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “วันนี้เจ้านายเจ้ามาไหม?”
“มาเจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อตอบ
“งั้นก็ดี ข้าทางนี้มีเรื่องยุ่งยาก มีเพียงเขาพอจะแก้ไขได้ เจ้าช่วยไปเชิญเขามาหน่อยได้ไหม” ฉู่สวินหยางถาม
อิ้งจื่อทำงานแต่ไรก็ไม่เคยถามหาเหตุผล นางผงกศีรษะทันที ไม่พูดมากความก็พุ่งตัวเข้าไปด้านลึกของสวนดอกไม้ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชิงหลัวมองคนสองคนที่นอนอยู่บนพื้น นัยน์ตาพลันมีไอสังหารลอยวน เปิดปากเสียงอำมหิตว่า “ท่านหญิงจะจัดการสองคนนี้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”
ฉู่เยว่เหยียนช่างไร้สมองจริงๆ แม้แต่แผนการต่ำทรามเช่นนี้ก็ยังกล้าทำ ฉู่สวินหยางไม่โกรธไม่เคือง ยังสามารถขยับยิ้มได้อย่างสงบใจ เอ่ยว่า “ที่ตรงนี้ไม่เลว ให้พวกเขานอนไปสักพักเถอะ พวกเรากลับไปดูที่เรือนดีกว่า”
ชิงหลัวกวาดตามองสองคนอีกครั้งอย่างนึกรังเกียจ แล้วจึงตามฉู่สวินหยางกลับไปที่เรือนพัก
ที่เรือนพักในเวลานี้ หญิงสาวทั้งสามนางต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและพากันจากไปแล้ว
ฉู่สวินหยางเดินเข้าลานเรือนพักไป ฝีเท้าพลันชะงัก ลู่หยวนทิ้งตัวลงมาจากหลังคา พลางโยนร่างเล็กของคนผู้หนึ่งลงบนพื้น
คนผู้นั้นรูปลักษณ์สามัญ คิ้วตาชั่วร้าย สวมชุดเด็กรับใช้ของจวนอ๋องหนานเหอ ถูกลู่หยวนมัดปากเอาไว้ มันมองมาที่ฉู่สวินหยางอย่างขลาดกลัว ส่งเสียงอู้อี้คล้ายอยากจะบอกอะไร
“จับได้บนหลังคาขอรับ!” ลู่หยวนไขความกระจ่าง
ฉู่สวินหยางไม่ได้ถามต่อ เพียงมองข้ามเขาไปแล้วจ้องที่ประตูเรือนด้านหลัง ถามว่า “ด้านในเรือนเป็นอย่างไร?”
“มีคนเผายาสลบอย่างแรงเอาไว้ในเรือน ท่านหญิงสี่สลบไปแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยดีขอรับ!” ลู่หยวนตอบ
ยาสลบ? ไม่ต้องบอกก็รู้ ถ้าหากนางตามเข้าไป คงต้องสลบไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นฉู่เยว่เหยียนก็จะพาเหลยซวี่เข้ามา จัดฉากบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ทีนี้ก็คงยากจะอธิบายอะไรๆ ให้ชัดเจนได้อีก!
แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดจะลงมือกับนางจริงๆ เหตุใดต้องพุ่งเป้าไปที่ฉู่เยว่หนิงด้วยเล่า?
ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่นางไม่ได้เข้าไปในเรือน จากนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นคงไม่มีทางอยู่เฉยไม่ทำอะไรแน่!
ฉู่สวินหยางเกิดความฉงนแวบผ่านกลางใจ ไตร่ตรองไปพลันเอ่ยถามลู่หยวนว่า “เรือนหลังอื่นไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“ไม่มีขอรับ!” ลู่หยวนส่ายหน้า
“ก็ดี…” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ใช้สมองครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนพาน้องสี่ไปที่เรือนข้างๆ ก่อน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนรับคำ ช่วยกันพาฉู่เยว่หนิงกับสาวใช้อีกคนที่ไม่ได้สติไปที่เรือนด้านข้าง ฉู่สวินหยางที่อยู่ในเรือนก็ไม่ได้ว่างงาน นางเดินเข้าไปดึงเศษผ้าที่มัดปากของคนผู้นั้นให้หลุดออก
คนผู้นั้นหวาดกลัวสุดขีด สั่นเทาไปทั้งตัวเอ่ยเสียงเครือว่า “ไว้ชีวิตด้วย! ท่าน.. ท่านหญิง ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!”
ฉู่สวินหยางขยับยิ้ม รอยยิ้มนั้นช่างอ่อนหวานและสงบนิ่ง เอ่ยคล้ายทอดถอนใจว่า “เจ้ารู้จักข้า?”
คนผู้นั้นสะดุ้งคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนพูดอะไรพลาดไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง ดวงตาบอกชัดว่าไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี เขากลัวว่าฉู่สวินหยางจะบีบคั้นให้เขาสารภาพ สมองวิ่งวุ่นสรรหาเหตุผลเพื่อให้ตนพ้นผิด
ทว่าฉู่สวินหยางกลับไม่ซักไซ้สักคำ เพียงรอคอยต่อไปอย่างอดทน
ไม่นานนักพวกลู่หยวนสองคนที่จัดการฉู่เยว่หนิงเรียบร้อยแล้วก็กลับมา
ลู่หยวนคิดว่านางกำลังสืบสวนคนผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าน้อยสอบปากคำไปแล้ว เขาไม่ยอมพูด แต่ดูจากท่าทาง แปดส่วนคงเป็นสายของศัตรูที่วางเอาไว้ อีกเดี๋ยวก็ให้มันส่งสัญญาณลับเพื่อล่อคนออกมา”
คนผู้นั้นเหมือนถูกโจมตีเข้าที่หัวใจ สีหน้าไร้เลือด
ฉู่สวินหยางยังคงเงียบไม่ถามความเพียงยื่นมือให้ลู่หยวน ถามว่า “เจ้ามีอาวุธมาด้วยใช่ไหม? ให้ข้ายืมหน่อย!”
ลู่หยวนอึ้งไป แล้วก็ควักเอามีดสั้นที่อยู่ในรองเท้าออกมาส่งให้นาง
ฉู่สวินหยางทรุดนั่งบนข้อเท้า กะน้ำหนักจากปลายมีดสั้นที่อยู่ในมือ หัวเราะด้วยหน้าตามีเมตตา
คนผู้นั้นถูกนางจดจ้อง พลันกลืนน้ำลายแห้งสองอึกอย่างไม่รู้ตัว ละล่ำละลักออกมาว่า “ท่านหญิง ข้า… ข้า… ข้าพูดแล้ว…”
“ชู่ว!” ฉู่สวินหยางกลับสั่นนิ้วหยุดวาจาของเขาแล้วหัวเราะเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าอยู่ทางโน้นเจ้าทำหน้าที่อะไร แต่ว่าตอนนี้ข้าอยากจะใช้เจ้าสักหน่อย อดทนไว้นะ”
ยังไม่ทันขาดคำ มีดสั้นในมือก็ปักลงมา
“อ้าก!” คนผู้นั้นพลันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นกระทบกับน้ำแข็งที่เกาะใต้ชายคาจนสะท้านไปทั่วแผ่น
“เกิดอะไรขึ้น?” คู่ชายหญิงที่รออยู่ตรงกอไผ่หลังเรือนหันมาสบตากัน “มิใช่บอกว่าจะใช้เสียงร้องของผู้หญิงเป็นสัญญาณหรือ?”
“ที่นี่คือจวนอ๋องหนานเหอ คงไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรได้หรอก!” สายตาของหญิงสาวเข้มขึ้น หยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ทำตามแผนเลย เจ้าออกไปก่อน!”
ชายหนุ่มชั่งใจ เห็นด้วยว่าคงไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นแน่ จึงเทเหล้าจอกเล็กในมือสาดใส่ชายเสื้อ แล้วพาเด็กรับใช้ข้างกายสองคนพุ่งตัวไปที่เรือนซึ่งเป็นที่มาของเสียงร้องโหยหวน
เขาเดินอย่างเร่งร้อน บวกกับเป็นเส้นทางที่คำนวณเวลาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงมาถึงเรือนอย่างรวดเร็ว
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป เขาก็ตกตะลึงเป็นอันดับแรก
ในเรือนนั้นไร้ผู้คนตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มีเด็กรับใช้นอนเอกเขนกอยู่กลางเรือน ใต้ร่างแดงฉานไปด้วยโลหิตที่ไหลออกมาจากต้นขา
ห้องหับด้านในล้วนแต่ปิดสนิท เวลานั้นจึงไม่อาจวิเคราะห์ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ชายหนุ่มพลันสูดหายใจเข้าลึกอย่างระวังภัย เด็กรับใช้ข้างกายเขาเดินเข้าไปตรวจสอบบาดแผลคนผู้นั้น ไม่คิดว่าเพิ่งจะโน้มตัวลงไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะก้องใสของสตรีดังขึ้นที่ด้านหลัง “ไม่ต้องตรวจหรอก ก็แค่เลือดออกเล็กน้อย ตาขาวเกินไปก็เลยเป็นลม!”
ในสมองของชายหนุ่มคล้ายจะชาวาบ หมุนตัวกลับไปทันที เห็นเป็นฉู่สวินหยางที่ในมือถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดบนมีดสั้น พลางก้าวข้ามประตูมาพร้อมเสียงหัวเราะจริงใจ
สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียด ฝีเท้าซวนเซไปด้านหลังก้าวหนึ่ง ในสมองมีคำถามมากมายผุดขึ้นซ้อนทับกัน หลุดปากถามไปว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“คุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหว” ฉู่สวินหยางถอนหายใจอย่างไม่รีบร้อน “แม้ข้าจะไม่นึกฝันว่าจะได้เจอเจ้า แต่ที่เจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อ…มาพบข้าโดย ‘บังเอิญ’ รึ?”
นางจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘บังเอิญ’ สองพยางค์ฟังแล้วหนักแน่นมีพลัง ราวกับว่ากระแทกเข้ากลางหัวใจ
คุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหวนามว่าจางอวิ๋นเจี่ยน เขาเป็นจอมเสเพลโฉดเขลาแต่เมื่อเทียบกับเหลยซวี่แล้วอย่างน้อยก็มีศักดิ์สูงกว่ามาก เกรงแต่ว่าหากก่อเรื่องอะไรขึ้นมาแม้แต่ฮ่องเต้ก็คงยากจะบอกปัด อีกทั้งจางอวิ๋นเจี่ยนก็เกิดมาพร้อมรูปโฉมที่ไม่แย่ แม้เขาจะเที่ยวโสเภณีตลอดทั้งคืน คนนอกรู้เข้าอย่างมากก็เรียกเขาว่าหนุ่มน้อยเจ้าสำราญเท่านั้น
คนผู้นี้ไม่ว่าจะอยู่ในแผนของฉู่หลิงอวิ้นหรือว่าซูหว่าน ก็ต้องถือว่าทุ่มเทความคิดไปไม่น้อย
จางอวิ๋นเจี่ยนอย่างไรก็เป็นจอมเสเพล เมื่อถูกฉู่สวินหยางจับได้คาที่จึงอดจะลุกลนไม่ได้ เอ่ยแก้ตัวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าแค่เดินผ่านมาแถวนี้ ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนจึงแวะมาดู ในเมื่อท่านหญิงอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” เขาพูดไปก็ชิงจะเดินหนีออกประตู
ฉู่สวินหยางยกมือขวางไว้พร้อมรอยยิ้ม มีดสั้นในมือคมกริบ อีกนิดเดียวเกือบจะแทงถูกจางอวิ๋นเจี่ยนแล้ว
“เจ้าทำอะไร?” จางอวิ๋นเจี่ยนที่ถูกนางขวางทางมองด้วยสายตาดุร้าย
“มีเรื่องขอให้เจ้าช่วย!” ฉู่สวินหยางบอกความ
“ช่วยเรื่องอะไร?” ในใจจางอวิ๋นเจี่ยนกระวนกระวายคิดแต่อยากออกไปให้เร็วที่สุดจึงตอบอย่างรำคาญ “ข้าพูดไปชัดเจนแล้ว ข้าแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“บังเอิญผ่านมา?” ฉู่สวินหยางนัยน์ตาเย็นเยียบ อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่พลันหายวับจากนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงเย็นชา “ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญเป็นร้อยพัน ในเมื่อบังเอิญมาชนของในมือข้า เช่นนั้นก็ถือว่าซวยไปแล้วกันนะ!”
จางอวิ๋นเจี่ยนตกใจ ยังไม่ทันไหวตัว วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงตวาดของฉู่สวินหยางดังขึ้นอย่างกะทันหัน “จับตัวเขาไว้เดี๋ยวนี้!”
——————————————–