สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 73 (1)
วางยาสลบ (1)
จางอวิ๋นเจี่ยนชักเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว มองซ้ายมองขวาระวังภัย
เด็กรับใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังคิดจะก้าวขึ้นมาคุ้มครองผู้เป็นนายตามสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันขยับก็ถูกร่างเงาสองสายที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนฟาดจนล้มไปกองกับพื้น
ลู่หยวนกับชิงหลัวสองคน สีหน้าเย็นเยือก ปรากฏขึ้นมาราวกับภูติผี
“เจ้ากล้าแตะข้า?” จางอวิ๋นเจี่ยนเดิมก็เป็นแค่คุณชายที่ไม่มีแม้แรงจะถอนขนไก่ เวลานี้มือเท้าพลันลนลานสับสน ถอยกรูไปตั้งหลัก “ที่นี่คือจวนอ๋องหนานเหอ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“กลัวอะไร? ข้าบอกแล้วไงว่ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” ฉู่สวินหยางก้าวเท้าเข้าหาพร้อมส่งยิ้มให้ ส่งมีดสั้นที่เช็ดจนสะอาดแล้วให้ลู่หยวนพลางเอ่ยบอก “อีกอย่าง…ข้ารับรอง เจ้าไม่มีทางขาดทุนหรอก”
จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้สติกระเจิงไปสิ้น มองคนสามคนที่นอนเอกเขนกบนพื้นพร้อมกับเลือดอีกหนึ่งกอง ปากก็สั่นระริก เขาเล็งหาโอกาสแล้วพุ่งตัวออกไปทางประตู แต่เท้าวิ่งออกไปเพียงหนึ่งก้าวก็รู้สึกชาหนึบที่ท้ายทอยด้วยถูกชิงหลัวที่ตามไปติดๆ ใช้ฝ่ามือฟาดใส่จากด้านหลัง
ฉู่หวินหยางหันมามอง เอาผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดในมือยัดใส่ปากเขา สั่งการต่อด้วยสายตาเย็นชา “อีกเดี๋ยวคงจะมีคนมาเพิ่ม ชักช้าไม่ได้ รีบทำความสะอาด ลากคนแซ่จางกับเด็กรับใช้สองคนออกไปซ่อนในสวนดอกไม้ก่อน ลู่หยวน น้องสี่ให้เจ้าจัดการ อย่าให้ใครหาเจอ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!” สองคนรับคำ รีบลงมือตามสั่ง
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไป สายตาของฉู่สวินหยางกวาดมองรอบๆ พอดีเหลือบไปเห็นร่างสูงเด่นเคลื่อนตัวผ่านซากไม้เก่าแก่กลางอุทยานมาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังมีสาวใช้ที่เกือบจะไร้ตัวตนอย่างอิ้งจื่อกับเฉี่ยนลวี่ติดตามมาด้วย
ฉู่สวินหยางยิ้มน้อยๆ รีบสาวเท้าไปรอรับ
หางตาของเหยียนหลิงจวินกระตุกเบาๆ กวาดตามองสภาพรอบเรือน คิ้วขมวดเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็น แล้วสั่งกับสาวใช้ข้างกายทั้งสองว่า “เข้าไปช่วย!”
“เจ้าค่ะ!” พวกนางพยักหน้ารับคำ เข้าไปช่วยเคลื่อนย้ายคน
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ไต่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่จ้องมองฉู่สวินหยางด้วยสีหน้าเย็นชา
“ขอโทษที ต้องรบกวนเจ้าอีกแล้ว” ฉู่สวินหยางยิ้ม ด้วยมิใช่เวลามาทักทายปราศรัยจึงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดทีหลัง แต่ตอนนี้ข้ามีของสิ่งหนึ่งต้องให้เจ้าช่วยตรวจดูว่ามันคืออะไร”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินเพียงทำเสียงรับรู้เบาๆ
ฉู่สวินหยางจึงพาเขากลับไปที่ศาลาหลังนั้นซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สีหน้าของเหยียนหลิงจวินไม่สู้ดีนักคล้ายว่าไม่มีอารมณ์จะเปิดปากพูด เพียงเดินตามหลังมาติดๆ ฉู่สวินหยางก็หาได้ใส่ใจ พอไปถึงที่ศาลา มองหาตำแหน่งที่แน่นอนจนพบ แล้วตบฝ่ามือเข้าใส่เสาต้นด้านข้างเบาๆ ทีหนึ่ง
ฝุ่นผงที่เกาะอยู่นานปีร่วงลงมาจากที่สูงพร้อมกับถุงหอมสีแดงหนึ่งใบ
ฉู่สวินหยางยื่นมือออกไปรับแต่เหยียนหลิงจวินกลับพุ่งตัวชิงมารับถุงหอมใบนั้นเอาไว้ก่อนอย่างไร้สุ้มเสียง
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้อวดเก่ง
เขากำถุงหอมไว้ในมือ ไม่รอให้ฉู่สวินหยางบอกก็เปิดออกแล้วเพ่งมองวัตถุที่อยู่ภายใน เพียงแวบเดียวนัยน์ตาพลันมีพายุร้ายหมุนผ่าน อารมณ์บนหน้าเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและน่ากลัวจนแม้แต่ฉู่สวินหยางเองยังสะท้านในใจ
“นี่คือ…” ฉู่สวินหยางเป็นคนฉลาด ในใจก็พอจะเดาออกได้หลายส่วน
เหยียนหลิงจวินเม้มปาก ไม่ตอบคำถามนาง
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นลู่หยวนกับพวกอิ้งจื่อกำลังหอบหิ้วผู้ที่สลบไสลไม่รู้เรื่องออกมาจากเรือนพอดี มือหนึ่งข้างของลู่หยวนแบกเด็กรับใช้ของจางอวิ๋นเจี่ยนหนึ่งคน ส่วนจางอวิ๋นเจี่ยนถูกอิ้งจื่อลากเอวออกมา เฉี่ยนลวี่กับชิงหลัวแยกกันไปอุ้มฉู่เยว่หนิงกับสาวใช้ประจำตัวของนาง แต่ละคนรับน้ำหนักไม่เบา แต่กลับเคลื่อนไหวอย่างไร้อุปสรรค ชั่วพริบตาก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว
“นายท่าน!” อิ้งจื่อก้าวออกมาผงกศีรษะให้ “ทำลายร่องรอยทั้งหมดในเรือนเรียบร้อยแล้ว คนพวกนี้จะจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ?”
สายตาทิ่มแทงของเหยียนหลิงจวินมองผ่านร่างของจางอวิ๋นเจี่ยนทีหนึ่ง แล้วยัดถุงหอมใส่ในเสื้อเขา เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “เด็กรับใช้สองคนนั่นหากำแพงแล้วโยนออกไปเสีย คนผู้นี้หาห้องขังเอาไว้ก่อน เจ้าเอาส่วนผสมในห่อมาแล้วเพิ่มดอกไป๋เหอเข้าไป รมควันเอาไว้ หลังจากนี้ข้าต้องใช้มัน”
สั่งจบก็นิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “จำไว้ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วต้องนำถุงหอมกลับมาส่งคืนท่านหญิงสวินหยาง!”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าถุงหอมมาจากที่ใด แต่เมื่อตกมาอยู่ในมือฉู่สวินหยาง ทั้งยังเห็นชัดว่าเป็นสมบัติของสตรี จึงไม่กล้าหละหลวม
เป็นครั้งแรกที่อิ้งจื่อเห็นเขาแสดงนิสัยเย็นชาเคร่งเครียดต่อหน้าฉู่สวินหยาง หัวใจพลันบีบรัดอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบหลุบตารับคำสั่ง “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ฉู่สวินหยางส่งสายตาให้ลู่หยวน บอกเป็นนัยว่าให้เขาไปช่วย ลู่หยวนพยักหน้า แล้วพาตัวคนจากไปพร้อมกับอิ้งจื่อ
ชิงหลัวทางนี้จดจ้องฉู่เยว่หนิงที่ยังสลบไม่ได้สติด้วยความเป็นห่วงเอ่ยว่า “ท่านหญิง จะทำอย่างไรกับท่านหญิงสี่ดีเจ้าคะ?”
ฉู่เยว่หนิงหมดสติอยู่ที่นี่อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ แม้ว่าพวกนางจะมาพบทันเวลา ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้ามีคนมาเห็นเข้าอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมให้แอบอ้าง
ระหว่างที่หารือกัน ก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กของผู้คนจากอีกฝั่งของสวนดอกไม้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชิงหลัวเริ่มร้อนรน ซอยเท้ากับพื้น กล่าวว่า “หรือจะให้บ่าวหาข้ออ้างสักอย่างพาท่านหญิงสี่กลับจวนไปก่อนเจ้าคะ?”
“ไม่ได้!” ฉู่สวินหยางยกมือห้ามนางโดยไม่หยุดคิด “วันนี้ในจวนมีแต่คนเต็มไปหมด เจ้าพานางออกไปเช่นนี้ไม่มีทางลอดพ้นสายตาผู้คนได้หรอก”
สมองของฉู่สวินหยางหมุนติ้ว ครุ่นคิดสักครู่แล้วหันไปมองเหยียนหลิงจวินด้วยความหวัง
“ใต้เท้าเหยียนหลิง…”
เหยียนหลิงจวินกระจ่างแก่ใจดี ได้ยินดังนั้นก็ยอมก้าวไปข้างหน้า จับชีพจรของฉู่เยว่หนิงผ่านแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ฤทธิ์ยาสลบที่นางโดนไม่ใช่สามัญ หากไม่ถึงเย็นคงไม่มีทางฟื้นแน่ ข้าไม่ได้พกยาติดตัวมา เจ้าเผาสะระแหน่แห้งหนึ่งใบจนเป็นผง แล้วบดยาเม็ดนี้ให้ละเอียด ผสมกับเหล้าอย่างแรงให้นางดื่ม ประมาณหนึ่งเค่อก็น่าจะตื่นขึ้นมาได้”
เขาพูดพลางหยิบเอาเม็ดยาสีเขียวอ่อนไม่สะดุดตาออกมาจากขอบเอวแล้วโยนให้
ฉู่สวินหยางรับเม็ดยาไว้ในมือ พิจารณาอย่างไม่ค่อยมั่นใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็แกะนิ้วชิงหลัวแล้วยัดมันใส่มือนาง สั่งการว่า “วันนี้ฮูหยินใหญ่มาพร้อมกับท่านพ่อด้วย เจ้าไปหานาง นางรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ”
“เจ้าค่ะ!” เสียงคนจอแจดังเข้าใกล้มากขึ้นทุกขณะ ชิงหลัวไม่พิรี้พิไร รีบรับคำแล้วแบกฉู่เยว่หนิงวิ่งหลบไปทางเล็กๆ ลึกเข้าไปในสวนดอกไม้
จัดการเรื่องเหล่านี้แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก
ฉู่สวินหยางถอนหายใจเบาๆ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหันไปมองที่เฉี่ยนลวี่ เอ่ยว่า “เจ้ามาช่วยข้าก่อน!”
เหยียนหลิงจวินในเวลานี้ทำหน้าไม่รับแขก เฉี่ยนลวี่หัวใจเต้นตุบๆ แค่มองหน้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำจึงพยักหน้าทันควันโดยไม่หยุดคิด
“ทุกอย่างตามท่านหญิงจะบัญชา!” อย่างไรเจ้านายของตนก็ตามใจท่านหญิงสวินหยางทุกอย่างอยู่แล้ว นางรับปากไปอย่างไรก็ไม่ผิดแน่
ฉู่สวินหยางขยับยิ้ม แล้วพานางเดินไปที่ด้านหลังของภูเขาจำลอง
ตรงนั้น เหลยซวี่กับฉู่เยว่เหยียนยังนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนพื้นดิน
เฉี่ยนลวี่ขมวดคิ้ว อดจะหันไปส่งสายตาสงสัยให้กับฉู่สวินหยางไม่ได้ ท่านหญิงสวินหยางท่านนี้คงไม่ได้คิดจะให้นางถอดเสื้อผ้าของทั้งสองคนแล้วฉวยโอกาสเล่นบทจับชู้กระมัง?
เหยียนหลิงจวินเหลือบมองสองคนด้วยความรังเกียจ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ยืนอึ้งอะไร? พาสองคนนี้เข้าเรือนไปสิ!”
เรื่องของฉู่เยว่เหยียนกับเหลยซวี่ ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่อิ้งจื่อได้เล่าคร่าวๆ ให้เขาฟังหมดแล้ว หากบอกว่าจางอวิ๋นเจี่ยนสมควรตาย สองคนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่ใจสั่นเล็กๆ รีบร้อนหาที่ซ่อนให้สาวใช้ที่อยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็ดึงสายผูกเอวของคนทั้งสองไว้ในมือ
ฉู่สวินหยางเห็นนางมีท่าทางหวาดกลัวก็งุนงง พอเหลือบไปเห็นน้ำแข็งที่เคลือบอยู่บนหน้าของเหยียนหลิงจวิน คิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งกว่าเก่า…
ทำไมเฉี่ยนลวี่ถึงดูหวาดกลัวเขาขนาดนั้น? ความจริงตอนที่เขาซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้มต่างหากถึงจะทำให้คนรู้สึกใจสั่นขวัญหายได้จริงๆ
แม้ว่ากำลังของเฉี่ยนลวี่จะไม่เลว แต่อย่างไรก็เป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าปี จะให้ลากคนสองคนด้วยมือเปล่าก็ออกจะกินแรงเกินไป เหยียนหลิงจวินที่อยู่ด้านข้างยืนเฉยวางท่าเป็นเจ้านาย ฉู่สวินหยางทนมองไม่ไหวจึงถอนหายใจจะเดินเข้าไปช่วย แต่เขากลับขยับตัวชิงไปกระชากเหลยซวี่มาไว้ในมือแล้วก้าวพรวดๆ ไปทางเรือนพัก
เฉี่ยนลวี่หน้าขาวซีด รีบแบกฉู่เยว่เหยียนตามไปติดๆ ด้วยความกังวล
ฉู่สวินหยางเดินตามสองนายบ่าวท่าทางพิกลไปอย่างเงียบๆ
แม้ว่าพวกนางทางนี้จะจัดการได้ว่องไว แต่อีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน ย่อมลื่นไหลไม่ติดขัด ทางด้านหน้ามีขบวนสตรีสูงศักดิ์ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยสาวใช้กำลังมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็วโดยมีซูหว่านเป็นแกนนำ
โลกช่างคับแคบเสียนี่กระไร!
หากเดินต่ออย่างไรก็ต้องปะทะกัน
สมองของสวินหยางหมุนแล่นเร็วจี๋ เปิดปากสั่งการเฉี่ยนลวี่อย่างเด็ดขาด “หลังเรือนมีหน้าต่าง เจ้าพาคนอ้อมไปข้างหลัง แล้วส่งเข้าไปในห้อง”
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่ตอบรับ หมุนตัวหลบไปทางด้านข้าง
—————————————————————————-