สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 73 (2)
วางยาสลบ (2)
ฉู่สวินหยางดึงสายตากลับมา เดิมคิดว่าเหยียนหลิงจวินความคิดว่องไวหาได้จำเป็นให้นางเอ่ยปาก แต่พอหันหน้ามากลับเจอว่าเขายังเดินสาวเท้าพรวดๆ ตรงไปหาพวกซูหว่านอย่างไม่กังวลหรือหลบเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว
ดูจากท่าทาง…
คงไม่ได้คิดจะใช้เหลยซวี่เป็นอาวุธซัดกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาให้ราบเป็นหน้ากองกระมัง?
ฉู่สวินหยางร้อนใจ เหงื่อเย็นๆ พลันผุดทั่วร่าง
แต่วินาทีต่อมาก็ต้องดวงตาพร่าลาย…
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเรือน จู่ๆ เหยียนหลิงจวินก็ปล่อยมือ จากนั้นก็ชิงจังหวะช่วงที่ร่างของเหลยซวี่ทรุดลง ถีบเข้าอย่างแรงไปหนึ่งเท้า เขาแทบจะไม่ขยับร่างกาย ยิ่งมีชายเสื้อคลุมบังไว้ ยากนักที่จะมีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา แต่บุรุษผอมสูงที่ถูกเขาหิ้วไว้ในมือกลับลอยละลิ่วไปทางเรือนพักราวกับผ้าขี้ริ้วรุ่งริ่งผืนหนึ่ง
ตามมาด้วยเสียงโครมดังสนั่น
หางตาของฉู่สวินหยางตวัดตามไป
ตอนที่สายตากวาดที่ทางเรือนพักก็เห็นร่างของเหลยซวี่พาดอยู่กับธรณีประตูเรือนซึ่งตรงข้ามประตูใหญ่อย่างเหมาะเจาะ
ประตูเรือนเปิดออกด้วยแรงกระแทก ภาพฉากดูสมจริง ราวกับว่าเขาล้มลงตอนที่คิดจะพังประตูเข้าไปพอดี
ฉู่สวินหยางเหงื่อเย็นโชกหน้า
หลังจากที่เหยียนหลิงจวินถีบเหลยซวี่ไปเท้าหนึ่งก็ยืนสง่าผ่าเผยอยู่ที่เก่า อกผายยืดตรง รอคอยอย่างเงียบๆ ที่นอกประตูใหญ่ ดวงหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหล เลิศล้ำเหนือทุกสรรพสิ่งราวกับอยู่คนละโลกกับดวงหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์ในวินาทีก่อนหน้านี้
ใต้เท้าเหยียนหลิงที่มีรอยยิ้มหยาดเยิ้มช่างน่าขนลุกจริงๆ!
ฉู่สวินหยางสะท้านไปทั่วร่างด้วยความหนาวเย็น แต่ก็เพียงชั่ววินาที ดวงหน้าก็ขยับเป็นรอยยิ้มไร้พิษสง ขยับเท้าขึ้นไปยืนเคียงข้างเขาอย่างช้าๆ
การกระทำเมื่อครู่ของเหยียนหลิงจวินไม่ถือว่าหลบซ่อน ถึงขึ้นเรียกว่าโอ้อวดก็ยังได้
เมื่อได้เห็นกลุ่มคนที่ดาหน้าเข้ามาในตอนนี้ ฉู่สวินหยางถึงค่อยเข้าใจเจตนารมณ์ของเขา…
กลุ่มคนกลุ่มนั้น มีซูหว่านเดินนำมาหน้าสุด นอกจากสาวใช้ประจำตัวที่ห้อมล้อมอยู่ข้างกาย ก็ยังมีบ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอจำนวนหนึ่งซึ่งกำไม้พลองไว้ในมือ
คนพวกนี้อยู่แนวหน้า บดบังสายตาของเหล่าสตรีเบื้องหลังได้พอดี
การกระทำของเหยียนหลิงจวิน ซูหว่านย่อมมองเห็นอย่างแจ่มชัดถนัดตา
เห็นว่าเขาหิ้วคนครึ่งเป็นครึ่งตายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา นางยังไม่ทันจะแน่ใจฐานะของคนผู้นั้น สายตาก็พลันพร่าเลือน แล้วร่างใหญ่ของคนผู้นั้นก็กระแทกกับประตูด้านในเสียงดังโครม
ซูหว่านทำหน้าตกตะลึง ฝีเท้าชะงักกึกพร้อมๆ กับข้ารับใช้ที่ทำหน้าเหมือนเห็นผี
“เมื่อครู่เสียงอะไรนั่น?” คนด้านหลังเบียดตัวขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเห็นเหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางยืนอยู่หน้าประตูก็ประหลาดใจเป็นยิ่งยวด “ท่านหญิงสวินหยาง? ใต้เท้าเหยียนหลิง? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่เล่า?”
“อ้อ!” เหยียนหลิงจวินสีหน้าราบเรียบ หลุบตามองลายปักเมฆาบนปกคอเสื้อ “ท่านหญิงสวินหยางกำลังพาหม่อมฉันไปคารวะองค์รัชทายาทกับท่านอ๋องหนานเหอ พอดีตอนที่ผ่านทางมาคล้ายจะได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ถึงเดินเข้ามาดู ทุกท่านเล่า? เหตุใดจึงมาถึงที่นี่?”
ผู้ที่ถามเมื่อครู่คือคนแซ่ฉินซึ่งเป็นชายาของผู้ตรวจการนามว่าหลิวปิ่งอิ้น ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า “พวกเราก็น่าจะได้ยินเสียง? เมื่อครู่ตอนที่กำลังสนทนาอยู่ห้องรับแขกด้านข้าง ฟังสาวใช้เล่าว่าเหมือนมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากทางนี้ถึงได้เดินมาดูกัน”
การรายงานข่าวย่อมเป็นผลงานของซูหว่านอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานั้นซูหว่านเพิ่งจะได้สติกลับคืน ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาหา ทันทีที่ยื่นหน้าเข้าไปมองด้านในเรือน สีหน้าก็ดูไม่ได้ทันที
ในเรือนมีเลือดกองหนึ่ง ชายผู้แต่งกายเหมือนเด็กรับใช้นอนสลบอยู่ ผู้นั้นก็คือสายลับที่นางวางเอาไว้ ธรณีประตูยังมีอีกหนึ่งคนนอนพาดอยู่ ศีรษะเอนเข้าไปด้านในจนมองไม่เห็นหน้า ส่วนคนที่นางวางแผนให้ล่วงหน้ามาก่อนอย่างจาง อวิ๋นเจี่ยนกลับไม่รู้ว่าหายหัวไปไหน
ฉู่สวินหยางที่เดิมควรเป็นผู้รับเคราะห์กลับยืนอยู่ด้านนอก ทั้งยังปลอดภัยไร้เรื่องราว หัวใจของซูหว่านสะท้านสั่น ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างพลันโถมเข้าใส่ นางกัดฟันแล้วสะบัดหน้าหันมามองเหยียนหลิงจวิน เอ่ยเสียงหนาวเย็นว่า
“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร?”
เหยียนหลิงจวินส่งยิ้มสบายอุรา ตอบด้วยหูตาแพรวพราว “อ่อ? ท่านหญิงซูคิดว่าข้าทำอะไรหรือ?”
ซูหว่านถลึงตาใส่ เหตุการณ์เมื่อครู่ใครๆ ก็มองเห็น เขากลับพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย
ชั่วเวลาหนึ่งนางรู้สึกสับสน สัมผัสได้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มงามล่มเมืองของบุรุษตรงหน้ามีสิ่งต้องห้ามที่นางไม่อาจแตะต้องซุกซ่อนอยู่ ซูหว่านแค่เสียหลักไปชั่วครู่ ทันใดก็มีดรุณีน้อยแทรกตัวขึ้นมาจากกลุ่มคนด้านหลังด้วยรอยยิ้มสดใส นางอายุประมาณได้สิบสี่สิบห้า แต่งชุดกระโปรงสีแสงฉูดฉาด ดวงตากลมโตสุกใสมีเสน่ห์ แก้มทั้งสองข้างมีลักยิ้มกดลึกตอนที่แย้มยิ้ม นางพุ่งตัวมาเร็วมากเหมือนผีเสื้อที่บินออกมาจากพุ่มดอกไม้ เข้าถึงตัวก็คว้าหมับเข้าที่มือของฉู่สวินหยาง ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า
“น้องสวินหยาง!” ระหว่างที่จำนรรจา เครื่องประดับมุกบนผมก็แกว่งไหว เพิ่มความมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
ฉู่สวินหยางตะลึงไป ก่อนจะเผยยิ้มพร่างพราวออกมาจากนัยน์ตา กุมมือของนางกลับ เอ่ยเสียงยินดีว่า “พี่ชิงเอ๋อร์ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
ฮั่วชิงเอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเมืองฉู่นามว่าฮั่วกัง ฮั่วกังถือเป็นขุนนางที่ติดตามสกุลฉู่มานาน หลายปีก่อนตอนเกิดสงครามก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่อี้อัน ฉู่อี้อันให้การดูแลฮูหยินและบุตรสาวของเขา ช่วงนั้นจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ฮูหยินของเขาเกิดในครอบครัวสามัญชน นิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ฮั่วกังก็เป็นตรงไปตรงมา ฮั่วชิงเอ๋อร์ได้รับนิสัยของคนทั้งสองมาเต็มๆ นางเปิดเผยจริงใจ เข้ากันกับฉู่สวินหยางได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเมื่อสามปีก่อนตอนที่แม่เฒ่าฮั่วสิ้นลม ตรงกับช่วงที่สงครามระหว่างหนานฮวาเป็นไปอย่างตึงเครียด ราชสำนักออกคำสั่งงดเว้นการอาลัย ฮั่วกังไม่อาจอยู่ไว้ทุกข์ ฮูหยินฮั่วกับฮั่วชิงเอ๋อร์จึงเป็นคนพาโลงศพกลับบ้านเกิด คำนวณเวลาดู เดือนที่แล้วก็ครบสามปีเต็มในการไว้ทุกข์พอดี
“ไม่กี่วันหรอก รีบกลับมาให้ทันข้ามปีน่ะ!” ฮั่วชิงเอ๋อร์ตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดงไปหมด
ฮูหยินฮั่วก้าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม แกล้งทำหน้าเข้มดุนางไปทีหนึ่ง “ห้ามเสียมารยามนะ!”
จากนั้นก็ย่อกายคารวะฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “ผ่านมาหลายปี เด็กคนนี้ก็ยังนิสัยเหมือนเดิม ท่านหญิงอย่าได้ถือสานางเลย”
“ฮูหยินฮั่วเกรงใจไปแล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ
ฮั่วชิงเอ๋อร์นิสัยอยู่ไม่นิ่ง เวลานี้เพิ่งเห็นว่าภายในเรือนเละเทะไปหมด พลันขมวดคิ้วมุ่น ยกชายกระโปรงก้าวนำเข้าไปเป็นคนแรก “เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย? ถูกโจรปล้นรึ?”
นางเกิดในครอบครัวทหาร แม้จะมีฮูหยินฮั่วคอยห้ามปรามแต่นิสัยก็ยังเป็นเช่นนี้ นางเรียนวิชามวยเพื่อฝึกฝนร่างกายจึงกล้าหาญชาญชัยกว่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ พูดจบแล้วก็โน้มตัวไปทดสอบลมหายใจของเด็กรับใช้ผู้นั้นทันที
ฮูหยินฮั่วตกอกตกใจ ถลาเข้าไปลากนางออกมาห่างๆ ตำหนิเสียงเบาว่า “อย่าก่อเรื่อง”
หัวคิ้วของฮั่วชิงเอ๋อร์พันกันหนักกว่าเก่า ปล่อยให้มารดาของตนลากออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ตอนนั้น คนอื่นๆ ก็พากันเดิมตามเขาไปในเรือน มองดูสภาพที่เกิดขึ้นแล้ววิพากษ์กันระงม
ซูหว่านกดโทสะไว้เต็มท้อง จ้องเขม็งไปที่เหยียนหลิงจวิน เอ่ยเสียงลอดฟันว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง เจ้าสมควรอธิบายอะไรหน่อยไหม?”
“อธิบายอะไร? พวกเจ้ามองเห็นเท่าไร ข้าก็มองเห็นเท่านั้น” เหยียนหลิงจวินตอบด้วยสีหน้าสบายๆ
“โกหก!” ซูหว่านกัดริมฝีปาก กดแรงจนแทบปริแตก ยกมือชี้นิ้วไปที่ไปเหลยซวี่ที่อยู่ตรงประตู “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นอยู่เต็มตาว่าเป็นเจ้าที่โยนคนผู้นั้นเข้ามา”
เสียงกระซิบกระซาบดังระงม สายตาสงสัยลอบประเมินเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินเบนสายตาขึ้นสูงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดังเก่า ไม่แม้แต่จะหันมองนาง ทั้งยังทำหน้าคร้านจะเอ่ยปาก
ซูหว่านเลือดขึ้นหน้า ก้าวขาเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว “เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่? ข้าเห็นกับตาตัวเอง สาวใช้ของข้ากับบ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอก็ยังเห็น”
ระหว่างที่นางเอ่ยประโยคนี้ก็ส่งสายตาเฉียบคมมองไปรอบด้าน
“ใช่แล้ว พวกเราก็เห็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายนางรีบก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “บ่าวเป็นพยานได้ ใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นคนโยนคนเข้ามาในเรือนเจ้าค่ะ”
บ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานเหอที่อยู่ด้านข้างก็เตรียมพร้อมจะเข้าร่วม
“ตรงนี้ถึงขั้นเลือดตกยางออกแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากจะเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย ข้าแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อนจะพูดนะ!” โดยไม่คาดคิด ฉู่สวินหยางก้าวออกมาพร้อมเอ่ยไปอีกเรื่องอย่างยิ้มๆ สายตาเย้ยหยันจ้องไปที่ซูหว่าน
“ท่านหญิงซู ใต้เท้าเหยียนหลิงกับเจ้าไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกันกระมัง?”
ระหว่างที่พูดนางก็กวาดสายตามองไปทางบ่าวคุ้มเรือนอย่างเป็นนัยแสดงท่าทีตักเตือนชัดเจน
—————————————————————————-