สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 73 (4)
วางยาสลบ (4)
คนแซ่เจิ้งค่อยพอจะหายใจสะดวก เอ่ยยิ้มแย้มกับทุกคนว่า “เรื่องราวตรงนี้ต้องขอให้ทุกคนอภัย ข้าไม่อยากให้เกิดข่าวไม่ดีในงานพิธี ดังนั้น…”
“พระชายาวางใจเถอะ พวกเราไม่ใช่คนที่จะพูดจาตามใจปาก ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน!” ฮูหยินหลิวรีบต่อความทันที
คนแซ่เจิ้งค่อยสบายใจ ยิ้มให้อย่างซาบซึ้ง “ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นก็เชิญทุกคนไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับแขกก่อนเถอะ ข้ายังต้องไปเจอชายาเหลยพวกนั้นอีก”
“เชิญพระชายาตามสบาย!” ทุกคนมองส่งนางจนลับตา ก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
ฮั่วชิงเอ๋อร์เข้ามาดึงแขนของฉู่สวินหยางเอาไว้ กระซิบว่า “น้องสาวคนดี ข้าไม่เจอเจ้าตั้งนานแล้ว คิดถึงยิ่งนัก พวกเราไปหาที่สนทนากันเถอะ!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางคล้องแขนฉู่สวินหยางอย่างเป็นธรรมชาติ หัวคิ้วก็พันกันเล็กน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว
ฉู่สวินหยางหัวเราะ วางมือลงบนมือของนาง “พรุ่งนี้ข้าว่าง ข้าจะไปหาเจ้าที่จวนแม่ทัพ ตอนนี้เกิดเรื่องกับน้องห้า ข้าต้องตามไปดูก่อน”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ใคร่จะพอใจ แต่ไม่นานก็ยิ้มแย้มให้อย่างใจกว้าง ตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะรอนะ!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่แง่งอน ยกกระโปรงแล้วหมุนตัวเดินตามฮูหยินฮั่วไป
ภายในลานว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางหันกลับมาเห็นว่าเหยียนหลิงจวินจ้องไปทางประตูใหญ่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด นึกว่าเขาสงสัยอยากรู้เบื้องหลังของฮั่วชิงเอ๋อร์ จึงเล่าความให้ฟังว่า “นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพฮั่ว ฮั่วกัง”
ความคิดของเหยียนหลิงจวินถูกนางขัดจังหวะ ดึงสายตากลับคล้ายว่าไม่ได้ฟังคำของฉู่สวินหยาง เพียงมองตานางแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ยาสลบชนิดนี้รุนแรงมาก หากว่าตั้งใจใช้มันกับฉู่เยว่หนิงจริงๆ ซูหว่านคิดจะให้นางสลบเป็นเวลานานเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง”
“ใช่!” เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกมืดมนอยู่บ้าง
นางหมุนศีรษะ หรี่ตามองประตูใหญ่ที่ยังเปิดอ้า “น้องสี่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบ ไม่เคยมีข่าวเสียหาย พวกนั้นก็ดูจะไม่ได้อะไรหากลงมือกับนาง”
“ฉู่เยว่เหยียนเป็นแค่ฉากหน้า หากพวกเราไม่ได้ขวางไว้แล้วทุกอย่างเป็นไปตามแผน คนที่จะถูกพบที่นี่น่าจะเป็นเจ้ากับคนแซ่จาง ถึงเวลานั้นฉู่เยว่เหยียนกับคนแซ่เหลยก็เป็นแค่หมากที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้” เหยียนหลิงจวินวิเคราะห์ด้วยสีหน้าลุ่มลึก ภายในดวงตาปล่อยไอเย็นเยียบน่ากลัว
“หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา ก็เป็นแค่การแก่งแย่งชิงดีภายในของวังบูรพา เป็นฉู่เยว่เหยียนที่ร่วมมือกับนอกเพื่อทำลายชื่อเสียงของเจ้า จางอวิ๋นเจี่ยนแค่ตามมาเจอโดยบังเอิญเท่านั้น เช่นนี้แล้ว นี่จึงเป็นเรื่องคาวๆ ที่พวกเจ้าวังบูรพาก่อขึ้น ต่อให้เหตุการณ์จะเกิดในจวนอ๋องหนานเหอ แต่ก็ไม่อาจลากโยงไปถึงผู้เป็นเจ้าของจวนได้ หมากกระดานนี้ประเสริฐอย่างยิ่ง ทั้งยังไม่มีช่องโหว่ แต่ว่าในแผนการทั้งหมด… ฉู่เยว่หนิงคล้ายจะเป็นส่วนเกิน”
บนกระดานหมากนี้ แต่เริ่มเดิมทีก็ไม่มีใครคาดหวังว่าฉู่เยว่เหยียนจะทำมันสำเร็จ หากว่ามิใช่อิ้งจื่อชิงลงมือ ภายหลังนางกับเหลยซวี่ย่อมต้องตกอยู่ในกำมือของจางอวิ๋นเจี่ยน และจางอวิ๋นเจี่ยนต่างหากที่จะเป็นหมากตัวสำคัญซึ่งซูหว่านวางเอาไว้ ทว่าบทบาทของฉู่เยว่เหยียนนั้นก็ไม่อาจขาดไปจากแผน เพราะต้องเป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ให้นางหลุดจากข้อครหาทั้งหมด
พวกนั้นคิดจะจัดการฉู่สวินหยาง ใช้อุบายเพียงเท่านี้ก็จบเรื่องแล้ว
ทำไมยังต้องใช้ยาสลบรุนแรงกับฉู่เยว่หนิงอีก?
แค่เรื่องบังเอิญหรือ?
ไม่หรอก! คนที่มีความคิดละเอียดซับซ้อนอย่างฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีทางทำเรื่องไร้ประโยชน์ให้คนสงสัยเล่น หากว่าเรื่องราวดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ แม้เรื่องของนางจะมากพอดึงดูดสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีใครตามไปเจอเรื่องที่ฉู่เยว่หนิงก็ตกเป็นเหยื่อ เช่นนี้มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยาก
ดังนั้นตอนนี้มีเพียงสมมติฐานที่เป็นไปได้เพียงข้อเดียว…
ซูหว่านกับฉู่หลิงอวิ้นมีเจตนาจะทำอะไรบางอย่างกับฉู่เยว่หนิงตั้งแต่แรก
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ปล่อยไปก่อนแล้วกัน” ฉู่สวินหยางคร้านจะสืบสาวเรื่องที่คิดไปก็ยังไร้คำตอบ เพียงถอนหายใจเฮือก แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูทางโน้นแล้วจัดการเรื่องของฉู่เยว่เหยียนให้เรียบร้อยก่อน เจ้ากลับไปด้านหน้าเถอะ อยู่ที่นี่นานก็ไม่เป็นผลดี”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับ
ฉู่สวินหยางเดินไปได้สองก้าว รู้สึกว่าสายตาของเขายังติดอยู่ที่แผ่นหลัง จึงหันกลับไปส่งยิ้มให้เขา “ข้าไปก่อนนะ!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินตอบเบาๆ สายตามองส่งนางจนลับหายจากลานเรือน
เฉี่ยนลวี่ซ่อนตัวอยู่บนหลังคานานแล้วเวลานี้จึงได้ทิ้งตัวลงมา เอ่ยปากเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่าน!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินไร้อารมณ์บนหน้า “ไปตามหาเจี๋ยหงที่ด้านหน้า บอกนางว่าตรงนี้จบเรื่องแล้ว ไม่ต้องคอยเฝ้าอีก พวกเจ้าทั้งหมดไปเฝ้าฉู่หลิงอวิ้นทางนั้น จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของนางให้ดี”
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่รับคำสั่ง เหมือนว่าไม่ต้องการอยู่ข้างกายเขาให้นานขึ้นแม้แต่เสี้ยวนาที ถึงได้พุ่งตัวออกไปทันควัน
ทางด้านฉู่สวินหยางก็หาสาวใช้ให้มาช่วยนำทาง พาไปเรือนพักของคนแซ่เจิ้งที่ซึ่งพวกฉู่เยว่เหยียนกับซูหว่านสองสามคนถูกจัดให้พักอยู่ในเวลานี้
เหลยซวี่กับสาวใช้ของซูหว่านถูกจัดให้อยู่ห้องด้านนอก ซูหว่านกับฉู่เยว่เหยียนอยู่ด้านใน คนหนึ่งนอนอยู่บนตั่งยาว อีกคนนอนอยู่บนเตียง ต่างสลบไสลไม่รู้ตัว
ฮูหยินเหลยมาถึงก่อนแล้ว ตอนที่ฉู่สวินหยางเข้าประตูไปก็เห็นนางโถมตัวอยู่บนร่างเหลยซวี่ น้ำตาไหลพรากๆ อ้อนวอนต่อฟ้าดิน เสียงร่ำไห้ฟังรวดร้าว ราวกับว่าได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว
ฉู่สวินหยางถูกนางทำให้ตกใจจนมุ่นคิ้วบางๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านใน
คนแซ่เจิ้งนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเครียดขรึม พอเห็นนางเดินเขามา เพียงเหลือบตาขึ้นมอง เอ่ยว่า “นั่งสิ”
ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ นั่งลงตามที่บอก แล้วดื่มชาเป็นเพื่อนนาง
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง ฮูหยินใหญ่แซ่เหยาก็กระหืดกระหอบมาถึง ผู้ที่มาติดตามมาด้วย ยังมีฉู่ฉีฮุยกับฉู่เยว่เหยาสองคน พอเห็นคนทั้งสองฮูหยินเหลยก็ไม่ร้องไห้อีก เช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วตามเข้ามาด้วย
“ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเหยียนเอ๋อร์? คนเล่า?” ฉู่เยว่เหยามาถึงก็รีบถาม ทันทีที่สายตากวาดเข้าไปในห้องก็รีบวิ่งไปตรงหน้าเตียงแล้วเขย่าตัวฉู่เยว่เหยียน เมื่อเรียกไปสองทีแต่ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไป หันขวับไปทางคนแซ่เจิ้งด้วยความเดือดดาล
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้า?” แม้คนจะประสบเคราะห์ในจวนตน แต่ฉู่เยว่เหยาก็อ่อนกว่าด้วยวัย การใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาเค้นถามทำให้คนแซ่เจิ้งไม่พอใจอย่างมาก
มุมปากของคนแซ่เจิ้งกระตุกยิ้มเย็นเลือนลาง จากนั้นก็ถอนหายใจพลันเปิดปาก “ท่านหญิงใหญ่อย่าเพิ่งร้อนใจ แค่โดนยาสลบเท่านั้น ใต้เท้าเหยียนหลิงตรวจดูแล้ว นอนพักสักหน่อยก็ไร้เรื่องราว”
ฮูหยินเหลยได้ฟัง หยดน้ำตาที่ไหลเป็นสายพลันชะงักหยุด เอ่ยเสียงเครือว่า “แต่เขาเอาแต่นอนไม่ได้สติ เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น ทำเช่นไรดีเล่า!”
คนแซ่เจิ้งมองท่าทางของคนบ้านนั้นก็ให้รำคาญใจ เบือนสายตาหนีไปด้านข้างอย่างรังเกียจ
ฮูหยินใหญ่ถึงเดินเข้าไปหาด้วยความกังวล ย่อเข่าคารวะคนแซ่เจิ้ง เอ่ยว่า “ท่านหญิงใหญ่เป็นห่วงน้องสาว ทางข้าได้รับข่าวก็รีบร้อนพากันมาที่นี่ ขอถามพระชายาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เป็นข้าที่จัดการไม่รอบคอบ วันนี้มัวแต่ยุ่งๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีขโมยแฝงตัวเข้ามาเสียแล้ว ดีที่ไปพบทันเวลาจึงไม่เกิดเรื่องร้ายแรง” คนแซ่เจิ้งตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งอก กุมมือฮูหยินใหญ่เอาไว้แล้วกล่าวว่า “ยังดีที่แค่ตกอกตกใจแต่ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รู้จะชี้แจงกับองค์รัชทายาทและพวกเจ้าอย่างไรดี?”
ฮูหยินใหญ่เพียงฟังด้วยสีหน้าวิตก นางไม่ตอบความ เพราะว่าเข้าใจดี…
ณ ที่แห่งนี้ วาจาของนางไร้ซึ่งอำนาจ
อย่าว่าแต่ฉู่ฉีฮุยคนอยู่ที่นี่เลย ต่อให้เป้าหมายคือฉู่สวินหยาง นางก็หาได้จำเป็นต้องออกหน้า
“ท่านหวงจ่างซุน ท่านมองว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร? ต้องไปรายงานองค์รัชทายาทสักคำหรือไม่?” ฮูหยินใหญ่ถาม หันหน้ากลับไปมองฉู่ฉีฮุย
ตั้งแต่ผ่านเข้าประตูมา ฉู่ฉีฮุยก็เอาแต่จ้องฉู่สวินหยางที่นั่งจิบชาอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เวลานี้ถึงค่อยได้สติ กำลังจะเปิดปากพูด ฉู่สวินหยางทางนั้นพลันวางถ้วยชาลง ปัดกระโปรงเล็กน้อยและลุกยืนขึ้น เอ่ยคำยิ้มแย้มว่า “ในเมื่อคนปลอดภัยแล้ว จำเป็นต้องทำเรื่องให้ใหญ่โตจนคนรู้กันทั่วด้วยหรือ? ลือต่อๆ กันไป จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของน้องห้า!”
“อะไรเรียกว่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่?” ฉู่เยว่เหยาโมโหทันทีที่ได้ฟัง นางเด้งตัวลุกขึ้น เอ่ยเสียงดังสนั่นด้วยหน้าตาดุร้าย “แม้คนเคราะห์ร้ายจะไม่ใช่เจ้า แต่อย่าลืมนะว่าเหยียนเอ๋อร์ก็เป็นน้องสาวของเจ้าเหมือนกัน!”
ฮูหยินใหญ่ได้ฟัง นัยน์ตาอ่อนโยนราบเรียบพลันปิดลงอย่างช้าๆ มุมปากหยักขึ้นเป็นยิ้มเย็นชา…
ฉู่เยว่เหยียนร่วมมือกับผู้อื่นวางแผนทำร้ายลูกสาวนาง ตอนนี้ยังมีหน้ามาโวยวายโยนความผิด?
แท้จริงแล้ว ช่างน่าขัน!
—————————————————————————-