สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 74 (2)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (2)
ฉู่เยว่เหยียนเลือกเหลยซวี่ ความจริงอาจไม่ใช่เพราะต้องการใช้จอมเสเพลคนหนึ่งมาทำลายนาง แต่ทันทีที่นางแต่งเข้าสกุลเหลย นางก็จะถูกกดทับด้วยฐานะ นางต้องร้องขอการมีตัวตนอยู่ในสกุลเหลย ต้องคอยสังเกตสีหน้าของคนแซ่เหลยกับฉู่ฉีฮุย ต่อไปมีหรือที่นางจะทำอะไรตามใจได้อีก?
ซูหว่านมองออกว่าฉู่เยว่เหยียนรอคอยวันที่จะเหยียบย่ำฉู่สวินหยางถึงได้แสดงความคิดเช่นนี้กับนาง เพียงแต่ฉู่เยว่เหยียนไม่ได้รู้เลยว่า บนกระดานหมากนี้ ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น กระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง[1] นางเองก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ถูกล่าเช่นกัน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!” สีหน้าของฉู่ฉีฮุยเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว สะบัดแขนเสื้ออย่างมีอารมณ์
แม้เขาจะไม่ซักถามถึงการกระทำของฉู่เยว่เหยียน แต่ตอนนี้ก็พอวิเคราะห์ได้ว่าวาจาของฉู่สวินหยางเป็นจริงถึงเก้าในสิบ
“ความจริงเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว!” ฉู่สวินหยางไม่ยอมถอยหลัง ก้าวประชิดมาอยู่เบื้องหน้าเขา
สีหน้าของนางสงบนิ่ง หว่างคิ้วกลับแฝงความเด็ดขาด สายตาจ้องเขม็งมาที่เขา เอ่ยเสียงเย็นเน้นชัดทุกคำว่า
“แต่เพราะอยากจะยืมมีดฆ่าคน เจ้าเลยแกล้งทำโง่งมตาบอด มองดูน้องสาวสุดที่รักทำเรื่องเลวทรามชั่วช้า เพราะเจ้าเป็นคนที่ต้องการกำจัดอิทธิพลของข้าที่มีต่อท่านพ่อมากยิ่งกว่านางเสียอีก”
“สวินหยาง!” ความจริงในหัวใจถูกตีแผ่ออกมาจนหมดสิ้น เขาจึงไม่อาจเก็บกดความเดือดดาลไว้ได้อีก
หน้าตาของเขาบิดเบี้ยว พลันยกนิ้วชี้หน้าฉู่สวินหยาง “ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า พูดจาอะไรต้องอาศัยหลักฐาน ถ้ายังเอาแต่พูดมั่วซั่วอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
“แล้วมีเวลาไหนที่เจ้าเคยเกรงใจข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเยาะเสียงขึ้นจมูก แล้วเอื้อมมือไปเด็ดกิ่งเหมยข้างๆ มาไว้ในมือ หัวเราะอย่างไม่แยแส “แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าก็ไม่คาดหวังอะไรจากเจ้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้ามีกำลังมากพอก็ดันทุรังทำต่อไปเถอะ แต่ว่า…เครื่องมืออย่างฉู่เยว่เหยียนนี้ ต่อไปเจ้าคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ!”
ฉู่ฉีฮุยหรี่ตาเพ่งมอง สายตาเต็มไปด้วยความระแวงระวัง เค้นเสียงลอดฟันออกมาว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนที่นางเล่นลูกไม้กับข้าในครั้งนี้ ข้าจะทำให้นางสมหวัง ให้นางกระเด็นออกจากโคลนเลนในวังบูรพาให้เร็วขึ้นหน่อย” ฉู่สวินหยางกล่าว “เหลยซวี่ผู้นั้นมิใช่ว่านางเลือกสรรมาเป็นอย่างดีแล้วรึ? ละครวันนี้อย่างไรก็ไม่อาจเสียแรงเปล่าๆ กลับไปข้าจะไปพูดกับท่านพ่อ ให้นางแต่งเข้าสกุลเหลย ให้พวกเจ้าสนิทสนมกันยิ่งๆ ขึ้นไปอีก!”
งานแต่งงานของฉู่เยว่เหยียนเป็นสิ่งที่เขาจะใช้ดึงกำลังพรรคพวกในอนาคต สกุลเหลยเป็นญาติฝั่งแม่ของเขาอยู่แล้ว เดิมก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหมากตัวไหนอีก
ฉู่ฉีฮุยมีโทสะอัดอั้นอยู่เต็มอก ความเกรี้ยวกราดพุ่งสูงก่อนระเบิดออกมาเป็นเสียงหัวเราะ “ความจริงก็คือ วันนี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เจ้าข่มขู่ข้าไม่ได้!”
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของฉู่สวินหยางคือฉู่อี้อัน เพื่อปกป้องชื่อเสียงฉู่อี้อันและวังบูรพา นางต้องยอมถอย ความจริงถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น แค่ปอกเสื้อผ้าของฉู่เยว่เหยียนกับเหลยซวี่แล้วโยนทั้งคู่ไว้ด้วยกัน แบบนั้นแม้มีร้อยปากก็คงเถียงไม่ขึ้น แต่ถ้าทำเช่นนั้น วังบูรพาคงกลายเป็นตัวตลก ฉู่อี้อันคงไร้สิ้นซึ่งศักดิ์ศรี
“งั้นหรือ? พวกเราก็คอยดูไป ไม่ต้องรีบร้อน” ฉู่สวินหยางยิ้มหวาน
สายตาของฉู่ฉีฮุยดำเข้ม จ้องนางไม่ยอมละหนี นิ้วมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อค่อยๆ กำเป็นหมัด บีบแน่น
ฉู่สวินหยางทิ่มแทงเขาด้วยสายตาก่อนจะหมุนตัวจากไปพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เอ่ยว่า “อ้อ อีกอย่าง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า วันนี้เป็นวันมงคล เรื่องเล็กๆ ที่ฉู่เยว่เหยียนก่อขึ้นมันแค่ลูกไม้ชั้นล่าง หากเจ้าไม่อยากจบเห่อยู่ที่นี่ ก็ดื่มเหล้ามงคลของตนไปอย่างสงบเถอะ อย่าได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำใดๆ อีก ไม่อย่างนั้น…”
ฉู่สวินหยางพูดไปรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกดลึงอย่างไม่รู้ตัว “ผลที่ตามมา เจ้าแบกรับไม่ไหวแน่!”
ฉู่ฉีเหยียนคิดว่านางแกล้งพูดเขย่าขวัญเขาเท่านั้น แต่ทั้งน้ำเสียงและสายตา หัวใจกลับเชื่อคำนางไปแล้วจึงกำหมัดแน่นเยาะเสียงใส่ “จะเป็นเรื่องอะไรได้ เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้าหรอก”
ฉู่สวินหยางยักไหล่ “จะเป็นเรื่องอะไรได้ เจ้ารอดูต่อไปเดี๋ยวก็รู้เอง!”
เอ่ยจบก็แกว่งกิ่งเหมยในมือแล้วเดินจากไปอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ฉู่ฉีฮุยยืนอยู่ที่เก่า สายตาแค้นเคืองมองที่แผ่นหลังของนาง นัยน์ตาสีหน้าเปลี่ยนกลับไปมาในเสี้ยววินาที จนแผ่นหลังของนางหายลับไปจากสายตาก็ยังไม่ยอมไหวติง
ทางฉู่สวินหยางที่กำลังเดินเลี้ยวบนทางเส้นน้อย พลันปะทะกับชิงหลัวที่รีบร้อนซอยเท้าเข้ามาพอดี
“ท่านหญิง!” อาจเพราะเร่งฝีเท้าเดินหา น้ำเสียงของชิงหลัวจึงหอบเล็กน้อย มองผ่านนางไปทางข้างหลังเป็นอันดับแรก เมื่อไม่พบอะไรน่าสงสัยจึงเอ่ยว่า “บ่าวได้ยินจากฮูหยินใหญ่ว่าท่านอยู่ที่นี่ กำลังจะไปหาท่านพอดีเจ้าค่ะ”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเล็กน้อย ฝีเท้ายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้วก็ถามขึ้นมาว่า “น้องสี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ “บ่าวใช้ยาที่ใต้เท้าเหยียนหลิงให้ไว้ รอจนแน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้วจึงออกมา ฮูหยินใหญ่ก็ไปถึงที่นั่นแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี!” ฉู่สวินหยางวางใจลงได้ในที่สุด ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง
ชิงหลัวรอคอยคำสั่งต่อไปของนางด้วยความอดทน แต่ผ่านไปพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขัน พูดกับตัวเองอย่างชอบใจว่า “น่าสนุก!”
ชิงหลัวมึนงง “ท่านหญิงว่าอะไรนะเจ้าคะ?”
“ข้าแค่กำลังคิดว่า น้องสี่ถูกวางไว้ในตำแหน่งใดของหมากกระดานนี้” ฉู่สวินหยางตอบ ในเมื่อยังหาคำตอบให้คำถามนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องเปลืองสมองครุ่นคิด แต่จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรออก “ลู่หยวนล่ะ เจ้าไม่ได้ให้เขาไปคอยเฝ้าฉู่หลิงอวิ้นรึ?”
“บ่าวของใต้เท้าเหยียนหลิงส่งข่าวมา บอกว่าให้ยกเป็นหน้าที่ของพวกเขาเจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบ นิ่งไปสักพัก ก็เสริมว่า “พวกเราคนของวังบูรพา หากเคลื่อนไหวภายในจวน จะสะดุดตาเกินไป”
เทียบกันแล้ว สาวใช้สองสามคนที่อยู่ข้างกายเหยียนหลิงจวิน นอกจากเชินหลานที่แต่งตัวเป็นหมอฝึกหัดคอยติดตามเขาคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่คุ้นหน้า
“อืม ตามใจเขาเถอะ” ฉู่สวินหยางไม่หยุดคิดมาก พยักหน้าเอ่ยว่า “ไปเถอะ พวกเราก็ไปหาที่ที่คนเยอะๆ หลบสายตาเสียหน่อย”
งานสมรสระหว่างท่านหญิงอันเล่อกับซื่อจื่อในอ๋องฉางซุ่น มีฮองเฮาเป็นแม่สื่อ ทั้งฮ่องเต้ยังประราชทานสมรสให้ด้วยพระองค์เอง เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงภายในเมืองหลวงที่มาได้ไม่มีใครจะไม่มาร่วมอวยพร ภายในจวนอ๋องแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเรือนหน้าเรือนหลังล้วนกระจุกไปด้วยคนทั้งสิ้น ห้องโถงด้านหน้ายังพอจัดการไหว ส่วนด้านหลังก็ตระเตรียมเรือนทุกหลังที่ใช้งานได้ แล้วพาคนแยกย้ายไปต้อนรับที่ห้องรับแขกของเรือน
ฮูหยินใหญ่ผละจากคนแซ่เจิ้งแล้วก็ไปที่เรือนหลิงหลง
ฉู่เยว่หนิงถูกนำตัวมาไว้ที่ห้องสาวใช้ด้านหลังของเรือน ดีที่วันนี้สาวใช้ทุกคนต่างวุ่นวายจนหัวหมุน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีใคร
ตอนที่ฮูหยินใหญ่ไปถึงฉู่เยว่หนิงก็ฟื้นแล้ว ชิงหลัวเห็นว่านางก็ขอตัวออกมา ภายในห้องจึงเหลือฮูหยินใหญ่แม่ลูกและชายาเหยารวมทั้งหมดสามคน
“หนิงเอ๋อร์!” ฮูหยินใหญ่รีบสาวเท้าไปข้างเตียง
“ท่านแม่!” ฉู่เยว่หนิงคว้าแขนของฮูหยินใหญ่ไว้ ปลายนิ้วสั่นเครือเล็กน้อย เพราะกลัวจะทำให้ใครๆ แตกตื่นจึงเอ่ยเสียงแผ่วเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ได้รับความเป็นธรรม
ฮูหยินใหญ่ยกมือขึ้นลูบผมนาง เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้านี่นะ อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะเกาะติดแม่แจ”
ฉู่เยว่หนิงสูดจมูกฟืดๆ เรื่องราวที่เกิดก่อนหน้านี้นางจำได้ไม่มาก รู้แค่ว่าตัวเองเข้าไปในเรือนนั้นแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีก พอตื่นขึ้นมาก็เห็นฮูหยินเหยาผู้เป็นป้าสะใภ้อยู่ข้างกายแล้ว
ชิงหลัวไม่ได้พูดอะไรมาก เล่าแค่ว่านางถูกคนเล่นงานเข้าแล้ว
ฉู่เยว่หนิงแต่เล็กก็ได้รับการคุ้มครองจากฮูหยินใหญ่เป็นอย่างดี ฮูหยินใหญ่อยู่ในวังบูรพาก็เป็นคนอ่อนน้อม อีกอย่างที่ให้กำเนิดออกมาก็เป็นบุตรสาว ดังนั้นจึงไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ กับพวกชายารองเหลย
เรื่องราวในครั้งนี้ ทำให้ฉู่เยว่หนิงขวัญเสียแล้วจริงๆ ฮูหยินใหญ่กอดนางไว้ในอก ตบหลังเบาๆ เป็นการปลอบโยนนาง
ฮูหยินเหยายืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดส่งสายตาให้นางแล้วถามว่า “จวนอ๋องคนมากสายตาเยอะ พวกเราหายหน้าไปนานอาจทำให้คนสงสัย รีบกลับไปที่ด้านหน้าจะดีกว่า”
“อืม!” ฮูหยินใหญ่ตั้งสติ ประคองฉู่เยว่หนิงให้ลุกยืน กุมมือของนางพลางสำรวจทั่วร่างอีกรอบหนึ่งพร้อมกำชับว่า “อีกเดี๋ยวถ้าเกิดปัญหาอะไร เจ้าก็บอกไปว่าหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนั้นดีแล้วก็ไปหาป้าสะใภ้ของเจ้า จากนั้นก็อยู่กับนางตลอดเวลา เรื่องอื่นไม่รู้อะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?”
“อืม! ลูกเข้าใจแล้ว” ฉู่เยว่หนิงไม่ได้ซักไซ้ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ต่อให้นางปลอดภัยดี แต่ถ้าเรื่องที่นางถูกคนรมยาใส่จนสลบแพร่งพรายออกไป ก็ยากจะอธิบายให้กระจ่าง
ฮูหยินใหญ่กุมมือนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน ทั้งสามคนจัดการเสื้อผ้าจนเรียบร้อยดีแล้วก็กลับไปที่ด้านหน้าจวน
เพราะว่าเรื่องวุ่นวายที่ฉู่เยว่เหยียนก่อถูกยับยั้งได้ทันเวลา ไม่ทันไรคนก็ลืมกันไปหมด จวนอ๋องทั้งหลังต่างครึกครื้นเฮฮา ดำเนินพิธีการไปตามลำดับขั้นตอน
————————————————————————
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น กระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง หมายถึง มัวแต่จ้องมองเหยื่อข้างหน้าโดยไม่รู้ว่ามีภัยอยู่เบื้องหลัง