สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 74 (3)
จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (3)
เวลาเที่ยงตรง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นเป็นทางการ ทั่วทั้งจวนต่างปกคลุมไปด้วยกลิ่นเหล้ายาปลาปิ้ง พากันชักชวนชนแก้วดื่มสุราแสดงความยินดี
ฤกษ์มงคลของวันนี้คือยามเว่ยหนึ่งเค่อ[1]
ขบวนแห่ของสกุลซูตีฆ้องร้องปาว เสียงดังกึกก้องได้ยินไปครึ่งเมืองหลวง เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูตรงเวลาพอดี
ซูหลินอยู่ในชุดเจ้าบ่าว ร่างผอมสูงนั่งอยู่บนอาชาขาวปลอด ตัวสูงใหญ่ หวังจะมารับสาวงามสมดั่งใจหวัง บนใบหน้าแทบจะปิดความเปรมปรีดิ์ไว้ไม่มิด
แขกเหรื่อต่างออกมาชมดู มองร่างในชุดแต่งงานสีแดงสด เจ้าสาวร่างอรชรถูกสี่เหนียงพยุงออกมา คารวะน้ำชาต่อบิดามารดาของอีกฝ่ายตามขั้นตอน จากนั้นก็ถูกประคองขึ้นเกี้ยวไป
พิธีการทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าว่าแต่เหตุไม่คาดฝันเลย แม้แต่เพลงประกอบยังไม่เพี้ยนผิดไปแม้แต่ครึ่งเสียง
ขบวนส่งตัวเจ้าสาวตีฆ้องร้องปาวออกจากตรอกไปแล้วแต่ฉู่ฉีเหยียนก็ยังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ก้มมองพรมแดงใต้เท้าที่ปูยาวไปตลอดทางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ความจริงไม่ใช่เพียงฉู่สวินหยาง แม้แต่เขาเองยังไม่เชื่อเลยว่าฉู่หลิงอวิ้นจะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ระยะนี้เขาสูญเสียเรี่ยวแรงในการเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทุกอย่างของฉู่หลิงอวิ้นด้วยความกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ เขารวบรวมสติไว้พร้อมทุกเวลา กลัวแต่ว่าหากฉู่หลิงอวิ้นเกิดเปลี่ยนใจจะได้ยับยั้งได้ทันท่วงที
ไม่นึกว่านี่เป็นแค่การวิตกเกินกว่าเหตุ?
สุดท้ายฉู่หลิงอวิ้นก็ออกเรือนไปอย่างราบรื่นเช่นนี้?
“ซื่อจื่อ ท่านมองอะไรหรือ? นายท่านตามหาอยู่น่ะขอรับ บอกว่าให้ท่านรีบเข้าไปต้อนรับแขก” ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่ที่หน้าประตูตลอด หลี่หลินหาเขาจนทั่วแล้วถึงเพิ่งจะเจอคน
สายตาของฉู่ฉีเหยียนเข้มขึ้น บนใบหน้ามีความอึมครึมที่ยากจะเข้าใจ พลันถามขึ้นว่า “หลี่หลิน เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเลยหรือ?”
หลี่หลินนิ่งไป เมื่อได้สติจึงขมวดคิ้วมุ่น “ท่านมองท่านหญิงแต่งออกจากประตูไปด้วยตนเอง ต่อให้ท่านหญิงจะเอาแต่ใจแต่อย่างไรนี่ก็เป็นถึงสมรสพระราชทาน ซื่อจื่อคงคิดมากไปเองขอรับ!”
“นั่นสิ!” ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจลึก หัวเราะเย้ยหยันกับตัวเองเบาๆ แต่สายตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในทันใด ออกคำสั่งว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่วางใจ เจ้าส่งคนตามไปดูขบวนเจ้าสาวที่สกุลซูด้วย ป้องกันเอาไว้ก่อน”
หลี่หลินสูดหายใจลึก “ซื่อจื่อกลัวว่าระหว่างทางท่านหญิงจะ…”
ฉู่หลิงอวิ้นจะหนีงานแต่งกลางทาง? นี่ออกจะ…
ไม่น่าเป็นไปได้เท่าไร!
หากว่านางหนีไป หนึ่งคือขัดราชโองการ สองคือไม่ไว้หน้าสกุลซู ต้องกลายเป็นความแค้น สามคือฉู่อี้หมินย่อมอับอายและเกรี้ยวกราดจนไม่ยอมรับว่ามีนางเป็นบุตรสาวอีก ต่อไปนางก็คงไม่เหลืออะไรทั้งนั้น
ตามความเข้าใจที่ฉู่ฉีเหยียนมีต่อฉู่หลิงอวิ้น นางไม่มีทางทำเรื่องที่สิ้นคิดเช่นนั้นแน่
แต่หากฉู่หลิงอวิ้นยอมจำนงต่อชะตาเช่นนี้ก็ดูน่าสงสัยจนเกินไป
ความคิดร้อยพันไม่อาจไขความกระจ่าง ฉู่ฉีเหยียนไม่อาจละความกังวลลงได้ โบกมือสั่งว่า “ทำตามที่ข้าสั่ง”
“ขอรับ!” หลี่หลินรับคำ รีบไปจัดการทันที
ฉู่ฉีเหยียนกลับเข้าไปในงานช่วยรับรองแขก สัมปชัญญะส่วนหนึ่งยังคอยแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลางสังหรณ์ไม่ดีเอาแต่ผุดขึ้นมากลางหัวใจ คนจึงสติไม่ค่อยครบถ้วนนัก
แม้เกี้ยวเจ้าสาวจะออกจากเรือนไป แต่งานเลี้ยงในจวนยังคงดำเนินต่อ ผู้คนคารวะจนครบสามจอกแล้วก็เริ่มเมามาย บรรยากาศของงานจึงรื่นเริงขึ้นทันตา
ฝีเท้าของเหยียนหลิงจวินซวนเซเล็กน้อย มือถือจอกหยก คว้ากาเหล้าออกจากงานเดินโซเซเข้าไปในสวนดอกไม้
ตอนแรกมีคนเห็นเขายืนพิงระเบียงดื่มเหล้าอยู่ไกลๆ แต่พอมองกลับไปอีกทีก็เหลือเพียงกาเหล้าหนึ่งกากับจอกเหล้าหนึ่งจอก แม้แต่เงาของภูตผีก็ไม่มีวี่แวว
และเพราะงานเลี้ยงชุลมุนวุ่นวาย เสียงคนเซ็งแซ่ หลายคนดื่มมากแล้วก็เดินทักทายผู้อื่นไปทั่ว ร่างสีพื้นๆ ของเขาที่หายไปจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน คิดว่าเขาไปดื่มเหล้าที่อื่นหรือไม่ก็เข้าห้องน้ำไปแล้ว
เวลานั้นเอง ที่นั่งของแขกรับเชิญหญิงอย่างฉู่สวินหยางก็ว่างเปล่าอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน
ทั้งสองคนได้เจอกันที่ปลายทาง แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้นัดแนะ แต่กลับพบอีกฝ่ายที่กำแพงด้านนอกเรือนของฉู่หลิงอวิ้นอย่างใจตรงกัน
สาวใช้ข้างกายทั้งสองคนของฉู่หลิงอวิ้นล้วนติดตามเจ้าสาวออกไปด้วย คล้อยหลังนางแล้ว คนอื่นๆ ก็ถูกป้ากู้สั่งให้แยกย้ายออกไปรับแขกที่เรือนหน้า เรือนทั้งหลังว่างเปล่าไร้คน ชั่ววินาทีพลันเปลี่ยนเป็นความเปลี่ยวร้างและเย็นชา กลายเป็นตัวเปรียบที่แตกต่างเมื่อเทียบกับงานเลี้ยงสุดครื้นเครงด้านหน้า
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินซุ่มอยู่ข้างกำแพงคอยสังเกตมองด้านในของเรือน
อิ้งจื่อที่ซ่อนกายในมุมมืดเข้ามาสมทบอย่างเงียบๆ รายงานว่า “เฉี่ยนลวี่ตามขบวนเจ้าสาวไปที่จวนสกุลซู ที่นี่มีบ่าวกับเจี๋ยหงคอยจับตาดูอยู่ ตั้งแต่นางจากไปก็เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีเรื่องใดๆ เลยเจ้าค่ะ”
เรื่องหนีงานแต่งกลางคัน ฉู่หลิงอวิ้นไม่มีทางทำแน่ๆ
แต่จะพูดว่านางแต่งให้ซูหลินอย่างไร้การขัดขืนแข็งข้อก็ฟังไม่ค่อยเข้าท่านัก
ฉู่สวินหยางมุ่นคิ้วไตร่ตรองอย่างละเอียดอยู่สักพัก เอ่ยว่า “แล้วก่อนที่นางจะออกไปล่ะ? มีใครมาที่เรือนนี้อีกบ้าง หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ผิดแผกไปจากเดิมหรือเปล่า?”
อิ้งจื่อใช้สมอง ตอบว่า “ตอนเช้ามีแขกมาหลายกลุ่ม ตอนใกล้เที่ยงชายาจวนอ๋องหนานเหอก็แวะมา สองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก ทุกอย่างล้วนเป็นปกติเจ้าค่ะ”
“ไม่ถูก!” อิ้งจื่อคิดแล้วพลันมีแสงวาบขึ้นในสมอง หายใจหอบอย่างตื่นเต้น
ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินมองสบตากัน แล้วส่งสายตาตั้งคำถามไปให้นาง
“ระหว่างนั้นท่านหญิงรองฉู่หลิงซิ่วมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ว่าน่าแปลกนัก หลังจากที่นางเข้าไป ท่านหญิงอันเล่อก็ไล่ทุกคนในห้องออกมา เหลือไว้เพียงสาวใช้ข้างกายตนสองคน” อิ้งจื่อตอบ “ได้ยินว่าพวกนางพี่น้องไม่ได้สนิทชอบพอกันเท่าไร ตอนแรกบ่าวจึงไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้มาคิดดู ระหว่างพวกนางสองคนไม่น่าจะมีความลับอะไรที่ต้องปิดบังผู้คนกระมัง”
“สองคนปิดห้องอยู่ในนั้นนานเท่าไร?” ฉู่สวินหยางซัก
“ไม่นานเจ้าค่ะ ประมาณครึ่งป้านชาได้” อิ้งจื่อตอบ “ด้านในก็ไม่ได้ยินเสียงดังอะไร แต่ตอนท้ายได้ยินท่านหญิงรองกระแทกประตูดังปังแล้วรีบร้อนเดินหนีไป คล้ายว่าทะเลาะอะไรกัน ทั้งยังผลักป้าคนหนึ่งที่เดินสวนมาจนล้มไปกองกับพื้นเลยเจ้าค่ะ”
ช่วงเช้าฉู่หลิงซิ่วยังแกล้งยั่วยุฉู่หลิงอวิ้นอย่างเปิดเผย ฉู่หลิงอวิ้นคงไม่ได้คิดวางแผนเอาคืนนางกระมัง?
ฉู่สวินหยางคิดไป แล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเอง…
ไม่มีทางหรอก!
เรื่องจวนตัวขนาดนี้แล้ว ฉู่หลิงอวิ้นยังจะเอาอารมณ์ที่ไหนไปเบาะแว้งกับฉู่หลิงซิ่ว?
คล้ายว่าเค้าความจริงจะเริ่มปรากฏ ภาพเริ่มแจ่มชัดทว่าชั้นหมอกหนายังคลุมปก ขาดเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น
เหยียนหลิงจวินเห็นนางคิ้วพันกันยุ่ง ก็ส่งสายตาให้อิ้งจื่อเล็กน้อย “เจ้าลอบเข้าไปตรวจสอบในห้องดูหน่อย ลองหาว่ามีร่องรอยทิ้งไว้บ้างหรือไม่”
ราตรียามเหมันต์มาถึงเร็วกว่าปกติ ท้องฟ้าในกาลนี้ค่อยๆ สลัวขึ้นทุกขณะ
อิ้งจื่อรับบัญชา กำลังจะปีนข้ามกำแพงไปก็เห็นว่าภายในห้องอันมืดดำพลันเกิดประกายไฟสว่างวาบขึ้นมา
ทุกคนพากันระวังตัว ย่อกายหลบอยู่ด้านหลังของกำแพง
“ทำไมในเรือนยังมีคนเหลืออยู่อีก?” อิ้งจื่อกระซิบแผ่ว รู้สึกโกรธเคืองกับความบกพร่องของตน
ภายในห้องไม่ได้จุดตะเกียง มีเพียงไฟจากแท่งไม้ไผ่อัดกระดาษอันเล็กๆ ที่วูบวาบไปมาอยู่สองครั้ง จากนั้นประตูก็ถูกผลักออกมาอย่างเงียบเชียบจากคนที่อยู่ด้านใน บุรุษที่แต่งกายเหมือนองครักษ์ยื่นศีรษะออกมามอง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงหันหน้ากลับไปโบกมือให้คนที่อยู่ในห้อง
ฉู่สวินหยางจ้องตาไม่กระพริบ เห็นเป็นบุรุษในชุดองครักษ์สองคนหอบม้วนพรมผืนหนาออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ
คนพวกนั้นดูท่าจะฝีมือไม่สามัญ ฝีเท้ากระทบพื้นเงียบกริบ มีเพียงเสียงเสียดสีของพรมที่หนีบอยู่ใต้วงแขนซึ่งฟังแล้วมีน้ำหนักไม่น้อย
ฉู่สวินหยางเพ่งมองด้วยความสงสัย กลับเห็นว่าด้านหนึ่งของม้วนพรมมีปอยผมดำขลับปลิวไสวกลางลมหนาวยามดึก สง่างามยิ่งนัก
นั่นใช่พรมที่ไหนกันเล่า…
เห็นชัดๆ ว่ามันม้วนคนเอาไว้คนหนึ่ง!
การเคลื่อนไหวของคนพวกนั้นว่องไวมาก เพียงกระพริบตาก็พากันออกนอกเรือนมาแล้ว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมาในสวนดอกไม้อย่างคุ้นชินเส้นทาง พุ่งหน้าไปทางประตูหลังของจวน
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!” ดวงตาของฉู่สวินหยางเป็นประกายวิบวับ รอจนคนเหล่านั้นเดินห่างไปก็หัวเราะออกมา
อิ้งจื่อยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามเสียงเบาว่า “จะให้ข้าไปขวางไว้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็น!” เหยียนหลิงจวินยิ้มเย็น “ปล่อยพวกนั้นเคลื่อนไหวตามใจ ตามไปก็พอ”
“บ่าวเข้าใจแล้ว!” อิ้งจื่อตอบรับ โบกมือให้เจี๋ยหงแล้วกระโดดข้ามกำแพง วิ่งออกไปทางด้านหลัง
————————————————————————
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลาประมาณบ่ายหนึ่งถึงบ่ายสามโมง หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที