สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 75 (1)
ไสหัวไป! (1)
“ฉู่สวินหยาง?” ฉู่หลิงอวิ้นหรี่มามองพลันรู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ครางเสียงแผ่วว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“คำนี้ข้าควรจะเป็นคนพูดกระมัง?” ฉู่สวินหยางเล่นเครื่องประดับตรงเอว พลางส่งยิ้มให้อย่างเอื่อยเฉื่อย
“ทุกนาทีของคืนเข้าหอมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง ละครฉากใหญ่เช่นนี้ ฉากภาพตระการตา พี่หญิงอันเล่อไม่รอเจ้าบ่าวของตนอยู่ในเรือนหอ แต่เล่นหนีออกมาปีนกำแพงพร้อมกับบุรุษกลุ่มหนึ่ง? แบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?” นางพูดไปพลางตบปาก ‘แปะๆ’ สองที เวลาเดียวกันก็ใช้หางตากวาดมององครักษ์ของฉู่หลิงอวิ้นไปรอบหนึ่ง
ฉู่หลิงอวิ้นไม่เคยถูกใครพูดจาดูถูกต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน? สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ชี้นิ้วอย่างเดือดดาล เอ่ยเสียงกร้าวว่า “ฆ่านางเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์ทั้งสามคนสั่นระริก ลังเลไม่กล้าลงมือ
หากฉู่หลิงอวิ้นออกคำสั่งอื่น ต่อให้สั่งพวกเขาให้จับตัวฉู่สวินหยางไว้ก็จะไม่อืดอาดแต่นี่กลับสั่งให้ฆ่าให้ตาย? ฉู่สวินหยางมีฐานะเช่นไร สั่งให้ฆ่าก็ฆ่าได้เลยหรือ?
เหล่าองครักษ์พากันกระสับกระส่าย ฉู่สวินหยางพลันเอ่ยรับด้วยเสียงหัวเราะว่า “ให้ข้าเป็นคนทำดีกว่า อย่าได้ลำบากพวกเขาเลย”
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นเคร่งเครียดทันตา
วาจาของฉู่สวินหยางยังไม่ทันจบดี ท่ามกลางความมืดบนต้นไม้ต้นข้างๆ กับด้านหลังของกำแพงสองฝั่งพลันมีร่างเงาสีทะมึนโผล่ออกมาราวกับปีศาจ
ฉู่หลิงอวิ้นใจกระตุกวูบ ดวงหน้าซีดเผือดอย่างไม่อาจควบคุม ก้าวถอยหลังด้วยความขลาดกลัว
ผู้ที่มาคือลู่หยวนกับชิงเถิง รวมถึงสี่องครักษ์คนสนิทของฉู่อี้อัน
ฝีมือของคนพวกนี้เดิมก็อยู่แนวหน้า แม้แต่หน่วยพลีชีพที่ฝึกออกมาก็ยังเทียบไม่ไหว เวลาเพียงพริบตาก็จัดการคนสามคนของฉู่หลิงอวิ้นจนลงไปกองกับพื้น
มือข้างหนึ่งของฉู่หลิงอวิ้นขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอกแน่น วงหน้าไร้สีเลือด จ้องคนสามคนที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความตกตะลึง
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นเล็กน้อย องครักษ์ทั้งสี่ถอยหายไปอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางคืนอันมืดมิดปราศจากสิ้นซึ่งเงาคน
ฉู่หลิงอวิ้นพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา เงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ ตวาดเสียงถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็ตามที่เห็น ข้ามาเพื่อขวางทางเจ้า” ฉู่สวินหยางยิ้มให้ ใช้หางตาเหลือบมองนาง “ไม่ว่าเจ้าจะคิดหนีงานแต่งหรือหนีตามคนอื่นไปก็ช่าง ขอโทษด้วยเถอะนะ แต่ข้าไม่ยอม!”
นางแสดงท่าทีว่าตนอยู่เหนือกว่า ราวกับที่ทำอยู่มันถูกด้วยและเหมาะสม น้ำเสียงเย่อหยิ่งชวนให้อารมณ์เดือดดาล
ฉู่หลิงอวิ้นได้ฟังพลันกระอักในใจ ความขุ่นข้องบีบรัดจนจุกอก
“เจ้า…” ดวงตาทั้งสองของฉู่หลิงอวิ้นเบิกกว้าง คิดจะอาละวาด แต่สถานการณ์เป็นรองเช่นนี้ทำให้นางไม่อาจมุทะลุ หลังจากหายใจเข้าออกอยู่หลายรอบจนสงบลงได้ในที่สุด ก็เอ่ยด้วยความนิ่งลึกว่า “เจ้ากับข้าไม่ได้ติดค้างไร้ซึ่งความแค้น เหตุใดเจ้าต้องมาทำลายแผนของข้า? เจ้า…”
“ดูท่าพี่หญิงอันเล่อคงจะมีแค่ผิวหน้าที่เลอโฉม สมองกลับไม่ดี ความจำใช้การไม่ได้!” ฉู่สวินหยางหัวเราะตัดบทนาง มือก็โยนถุงหอมที่มัดติดตรงเอวเล่น เท้าเดินกลับไปกลับมาอย่างอ้อยอิ่งในตรอกแคบๆ นั่น “เจ้าคงไม่ลืมง่ายขนาดนั้นหรอกกระมัง? ยุยงฉู่เยว่เหยาให้กลับไปวังบูรพาเพื่อรับอนุ กระตุ้นซูหว่านให้เป็นศัตรูกับข้า หลอกใช้ซูหลินให้ลงมือเอาชีวิตข้า! ถ้าหากนี่เรียกว่าไม่ได้ติดค้างไร้ซึ่งความแค้น เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย ต่อไปก็พูดได้ว่าไร้สิ่งติดค้างต่อกันแล้วกระมัง?”
ฉู่หลิงอวิ้นอ้าปากค้าง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับรู้จักฝ่ามือตนเอง ขณะเดียวกันสัญชาตญาณเตือนภัยพลันร้องเตือน…
ที่แท้นังเด็กนี่ก็มาด้วยความแค้น น่ากลัวว่าวันนี้จะไม่วางมือไปง่ายๆ
“ก็ได้!” เวลานี้ การโต้เถียงด่าทอไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นพยายามควบคุมลมหายใจ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ข้ากับเจ้าจะเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน แต่ว่ามันคนละส่วนกัน ครั้งนี้เป็นแค่เรื่องส่วนตัวระหว่างจวนอ๋องหนานเหอกับจวนสกุลซู เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งย่าม?”
“แค่เรื่องส่วนตัว?” ฉู่สวินหยางได้ยิน ก็หัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องตลก นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนแผ่นอกของคนชุดดำ จ้องตาฉู่หลิงอวิ้นด้วยความกดดัน ย้อนถามว่า “ถ้าเป็นแค่เรื่องส่วนตัวระหว่างจวนอ๋องหนานเหอกับจวนสกุลซูจริงๆ แล้วเหตุใจก่อนหน้านี้เจ้าต้องวางยาสลบน้องสี่ของข้าด้วย?”
ฉู่หลิงอวิ้นถอยหลังหนึ่งเท้า ฝืนยืดหลังให้ตรงแน่ว เอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าอย่ามาเที่ยวใส่ความผู้อื่น ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เรื่องนั้้นซูหว่านเป็นคนทำ ไม่เกี่ยวกับข้า อยากรู้อะไรก็ไปถามนางสิ”
คำยังไม่จบดี นางพลันนึกอะไรออกบางอย่าง อารมณ์บนหน้าจึงแข็งทื่อ
สุดท้ายได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากฉู่สวินหยาง “ข้าได้บอกหรือยังว่าเรื่องไหนเป็นฝีมือของซูหว่าน? ถือว่าเจ้าสารภาพออกมาเองได้ใช่ไหม? หากไม่ใช่เจ้าที่คอยชี้แนะ หากไม่ใช่เจ้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้นาง จวนอ๋องหนานเหอสามร้อยกว่าคนกลายเป็นแจกันประดับไปแล้วหรือไง? ถึงได้ปล่อยให้คนนอกวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดจะทำอะไรก็ทำ?”
ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางกระตุ้นจนเดือดดาล เลิกคิดจะแก้ตัวอีก เพียงตั้งคอแข็งทื่อ เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเจ้า ถ้าเจ้าฉลาดหน่อยก็หลีกทางไปเสีย คิดจะแตะต้องข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความกล้าพอหรือเปล่า?”
ฉู่สวินหยางไม่กล้าแตะต้องนางจริงๆ หรอก ไม่อย่างนั้นคงทำเรื่องให้ใหญ่โตวุ่นวายไปแต่แรกแล้ว
ทว่า…
แม้ฉู่หลิงอวิ้นจะรักษาความสุขุมไว้บนใบหน้าสุดชีวิต ทว่าหัวใจกลับกระวนกระวายไม่เป็นสุข ตลอดเวลาก็เอาแต่ตะแคงหูคอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวในจวนสกุลซู
ฉู่สวินหยางมีหรือจะรู้ไม่ทันนาง? เห็นท่าดังนั้นก็เอ่ยขำๆ ว่า “ทำไมเล่า กลัวว่าข้าจะแหกปากขึ้นมารึ?”
ทันทีที่คนสกุลซูได้มาเห็น ต่อให้นางมีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย
ความคิดของฉู่หลิงอวิ้นถูกเปิดเผย หลุดเสียงตวาดออกไปด้วยความอับอายที่กลายเป็นเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้า?”
“เจ้ากลัว?” ฉู่สวินหยางย้อนถาม
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นชะงักกึก กัดริมฝีปากแน่น เพลิงโทสะเผาไหม้ในดวงตา ไอสังหารแผ่ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่สวินหยางกลับทำเป็นมองไม่เห็นสายตาดำมืดที่คมกริบดั่งมีดดาบของนาง
นางก้มหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยังคงหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย เอ่ยช้าๆ ว่า “ตอนนี้ยังเร็วไป กว่าซูหลินจะกลับเข้าเรือนหอไปเจอเรื่องประหลาดใจที่เจ้าเตรียมเอาไว้ให้ก็คงจะอีกสักพัก ถือโอกาสนี้ที่ทัศนียภาพบนกำแพงออกจะงดงาม ไม่สู้พวกเรามาเจรจากันหน่อย? วิเคราะห์หาข้อได้ข้อเสียของหมากกระดานนี้ ?”
ฉู่สวินหยางพูดไป มือข้างหนึ่งก็คว้ากำแพงไว้ แล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างง่ายดายอีกครั้งหนึ่ง
มือทั้งสองข้างยันกับอิฐด้านบนกำแพง มองลงมาด้วยนัยน์ตายิ้มหยี แกว่งขาเล่นอย่างไม่ทุกข์ร้อน สบายใจไม่มีใดเปรียบ
ลู่หยวนกับชิงหลัวตามฉู่สวินหยางไปติดๆ
ฉู่หลิงอวิ้นสิ้นไร้ไม้ตอก โมโหจนควันขึ้นหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าว มองนางด้วยความอาฆาตแค้น
ฉู่สวินหยางไม่สนใจ มองพระจันทร์ทรงกลมที่ลอยเคว้งไกลสุดตา เปิดปากด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน
“เรือนหอทางนั้นข้าไม่รู้รายละเอียดหรอกว่าเจ้าจัดการอย่างไร แต่เรื่องราวพลิกผันร้อยแปด อีกไม่นานเจ้าอาจถูกเปิดโปงก็เป็นได้? หรือว่าจะรอให้พวกเขาเปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุก แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยโผล่หน้าไปสารภาพผิด? อย่างไรก็ตามแผนที่เจ้าต้องรีบกลับจวนอ๋องหนานเหอไม่อาจรอช้า เพราะเจ้าต้องฉวยโอกาสตอนที่เรื่องราวยังไม่เกิดแสร้งว่าถูกคนกักตัวเอาไว้ รอให้ทุกอย่างผ่านไป ซูหลินมาตามหาเจ้า ความจริงก็กลายเป็นว่าฉู่หลิงซิ่ววางอุบายด้วยมีใจทะเยอทะยานเสียสติ อยากแต่งเข้าสกุลซูเพื่อเสพสุขกับชื่อเสียงเงินทอง ถึงเวลานั้นนางจะตกเป็นจำเลย ส่วนเจ้า…แม้จะไม่ได้แต่งเข้าสกุลซูตามราชโองการ แต่ก็เป็นเรื่องผิดพลาดที่จนใจ อีกทั้งยังมีเสด็จย่าของเรากางปีกปกป้อง เรื่องนี้นอกจากให้แล้วๆ กันไปก็ไม่มีหนทางอื่นอีก”
ดวงหน้าของฉู่หลิงอวิ้นแข็งทื่อ เงียบกริบไร้เสียง ฉู่สวินหยางถือว่าความเงียบนั้นคือการยอมรับ มองนางทีหนึ่ง ก่อนที่จะเบี่ยงสายตาหนี
“ถ้าเจ้าทำลายงานแต่งหรือว่าหนีมัน นั่นก็คือการตบหน้าสกุลซูดีๆ นี่เอง ไม่ต้องเดาก็รู้ จวนอ๋องฉางซุ่นไม่ยอมอยู่เฉยแน่ สองสกุลต้องกลายเป็นคู่แค้นที่ชิงชัง” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้มันจะต่างออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาให้เป็น เจ้าเองก็เป็นผู้ถูกกระทำ หากซูหลินอยากจะแก้แค้น ก็ต้องแค้นฉู่หลิงซิ่วที่ถูกลาภยศครอบงำจนหน้ามืดตาบอด กับจวนอ๋องหนานเหอทางนั้น…แม้จะมองหน้าได้ไม่สนิท แต่ถ้ายังมีพี่หญิงอันเล่อเจ้าอยู่ทั้งคน อาศัยความหลงใหลโง่งมอันไม่แปรเปลี่ยนของเขา ภายหลังค่อยทุ่มเทความคิดหว่านล้อมสักนิดก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าตัวปลอมที่แต่งออกไปเป็นแค่สาวใช้ธรรมดาๆ เมื่อจบเรื่องแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนคนกลับไปได้อีก กลบเกลื่อนว่าไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น แต่ฉู่หลิงซิ่วไม่เหมือนกัน นางเป็นถึงท่านหญิงในจวนอ๋องหนานเหอ ในเมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ใครจะกล้าทำว่าเรื่องราวไม่เคยเกิดขึ้นอีก? ดังนั้นสกุลซูจึงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น”
ฉู่สวินหยางพูดไปก็ตบมือด้วยความนับถือ เอ่ยชมไม่ขาดปากว่า “แผนการเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังอดจะตบโต๊ะชมเชยไม่ได้”
————————————————————————