สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 75 (2)
ไสหัวไป! (2)
เสียงปรบมือฟังชัดยามค่ำคืน สำหรับฉู่หลิงอวิ้นเหมือนว่าฝ่ามือนั้นฟาดลงบนหน้าของนางอย่างไร้ความปราณี จนความอดกลั้นทุกอย่างที่มีแทบจะสลายเป็นผุยผง หายวับไปกับตา
นางจิกเล็บกลางฝ่ามือ ไร้ซึ่งวาจา หากว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็คงจะโห่ร้องชื่นชมความเก่งกาจในการตัดสินใจและเชื่อมโยงเรื่องราวของนังเด็กคนนี้ไปแล้ว
นั่นเพราะ…
ฉู่สวินหยางคาดการณ์ทุกอย่างได้ตรงจุด ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในการคิดคำนวณของนาง
“เช่นนั้นแล้วจะทำไม? ข้าเคยบอกแล้วนี่ มันเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า” จบคำ ฉู่หลิงอวิ้นเพียงเอ่ยเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นเยียบ
“แต่เจ้าคิดจะใช้วังบูรพามาเป็นแพะรับบาปตั้งแต่ต้น” ฉู่สวินหยางกล่าว ประโยคเดียวตรงประเด็น
เวลานี้นางถึงได้เบือนหน้ากลับมา มุมปากกระตุกคล้ายยิ้ม แต่สายตาลุ่มลึกคมปลาบจ้องเขม็งที่ดวงหน้าขาวซีดทว่าไม่ทิ้งความงาม
“เจ้า…” ฉู่หลิงอวิ้นสะอึก เกือบหลุดร้องออกมาเพราะโดนจี้ใจดำ
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วท้าทาย เอ่ยว่า “อย่าปฏิเสธว่าไม่ใช่! ทำก็บอกว่าทำ ถ้าตอนนี้เจ้ายอมรับ บางทีข้าอาจจะเหลือทางรอดไว้ให้เจ้าบ้าง”
ฉู่หลิงอวิ้นเงียบกริบ ในใจกลับมีคลื่นใหญ่ม้วนสูง โหมซัดอย่างไม่ปราณี
นังเด็กน่าตาย!
นางถึงขนาด…
รู้ทุกอย่างเลยรึ!
ฉู่สวินหยางมองนาง เล่าเรื่องราวที่เหลือต่อไป
“แผนเดิมของเจ้า ความจริงไม่มีฉู่หลิงซิ่วอยู่ในนั้น ตามที่ตกลงกันไว้ คนที่ต้องถูกส่งให้เข้าหอแทนเจ้าควรจะเป็นน้องสี่ของข้า? ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอก็จะพูดได้ว่าท่านพ่อใช้แผนสกปรกมาทำลายการเกี่ยวดองของพวกเจ้ากับสกุลซู ความเคลือบแคลงในใจของฝ่าบาทจะต้องถูกกระตุ้นอีกครั้ง ถึงเวลานั้นวังบูรพาจะต้องตกนรกทั้งเป็น ตัวเจ้าเองไม่เพียงหลุดพ้นจากวิกฤติ ยังสามารถโจมตีวังบูรพาจนถึงขึ้นเอาชีวิตได้อีกด้วย”
นี่เป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดของแผนการครั้งนี้ นางรอดตัวไม่พอยังไม่ลืมจะลากวังบูรพาลงนรกไปด้วย ยังดีที่แผนการตอนหลังถูกแทรกแซง ไม่อย่างนั้น…
แค่เพียงคิด ฉู่สวินหยางก็ใจสั่นไปหมด!
ฉู่หลิงอวิ้นขบฟันแน่น ไม่เอ่ยวาจา ได้แต่เบี่ยงตาหลบอย่างทนรับไม่ไหวกับสายตากดดันของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่ได้หวังว่านางจะตอบคำถาม จึงเอ่ยกับตัวเองต่อไปว่า
“รายละเอียดพวกนี้ซูหว่านคงไม่รู้สินะ? ตอนที่เจ้าร่วมมือกับนางคงจะบอกแค่ว่าเพื่อเล่นงานข้า มีเจ้าคอยวางหมากอยู่เบื้องหลัง ซูหว่านเป็นคนลงมือ เริ่มจากสั่งคนให้ทำเสื้อผ้าของพวกคุณหนูให้เปื้อน ล่อข้ากับน้องสี่ไปที่เรือนหลังนั้น ถึงเวลานั้นเจ้าก็ฉวยประโยชน์เอาตัวน้องสี่ไป ขณะเดียวกันก็ให้ซูหว่านกักตัวข้าไว้ ถือว่าชำระแค้นธนูดอกนั้น แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ข้าไม่ได้หลงกล และทันทีที่เจ้าเห็นว่าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผน เจ้าก็รีบตัดสินใจถอนตัวทันควัน แต่ว่าซูหว่านทางนั้น เพราะเจ้าไม่อาจบอกแผนเรื่องหนีงานแต่งงานให้นางฟัง ทั้งยังไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น สุดท้ายจึงปล่อยมือไม่ใยดีให้นางกระโดดลงหลุมที่ตัวเองขุดไว้ น่าเศร้าที่นางไม่มีวันรู้เลยว่าตอนที่นางมุ่งมั่นตั้งใจจัดการคนนอกร่วมกับเจ้าผู้เป็นพี่สะใภ้ในอนาคตนั้น เจ้ากลับซ้อนแผนไว้อีกขั้นอย่างแยบยล เพื่อถีบพวกนางสองพี่น้องให้ออกห่าง”
“ส่วนฉู่หลิงซิ่ว…” ฉู่สวินหยางถอนหายใจ หัวเราะหยัน “ก็ถือว่านางหาเรื่องใส่ตัวเอง ที่ดันเลือกมาซ้ำเติม บาดแผลของเจ้าในวันนี้ จนเจ้าเกลียดขี้หน้านางขึ้นมากะทันหัน”
น้ำเสียงของฉู่สวินหยางมั่นคงและสงบ เมื่อเอ่ยจบแล้วก็เหลือไว้เพียงความเงียบงัน
ลู่หยวนกับชิงหลัวฟังไปใจก็ให้สะท้านสั่น ไม่ต้องคิดก็เดาออกว่า หากเรื่องราวดำเนินไปตามเส้นทางที่ฉู่หลิงอวิ้นวางเอาไว้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน
สตรีผู้นี้ช่างอำมหิตเลือดเย็น!
ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนแต่วางหมากออกมาได้อย่างแยบยล
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร จู่ๆ ลมหนาวก็โชยพัดมา
ลมเหมันต์ ทั้งแห้งผาก และเยือกเย็น
เมื่อกวาดสายตาผ่านตรอกโล่งที่มืดดำ จะเห็นดรุณีน้อยชุดม่วงผมดำขลับอยู่เหนือกำแพง กระโปรงขาวพัดพริ้ว ดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างทรนง ภายใต้ความสุขุมอ่อนโยนก็งามงดเย้าตา
สายตาของทุกคนถูกสะกดไว้บนกำแพง บางคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด บางคนจ้องมองด้วยความชิงชังปะปนด้วยความริษยา จนไม่มีใครรู้ตัวเลยว่า บัดนี้พื้นที่คับแคบตรงนั้นได้มีร่างคนเพิ่มขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“ลงมา!” เสียงต่ำห้าวของบุรุษดังขึ้น แฝงซึ่งการบีบบังคับไม่อ่อนข้อ
ทุกอารมณ์ถูกดึงกลับ ต่างพากันหันไปมองต้นเสียง
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ด้านหลัง ดวงหน้านิ่งเรียบแหงนขึ้นเล็กน้อย เสี้ยวหน้าโดดเด่นถูกแสงจันทร์ฉาบทับ ปรากฏให้เห็นผิวสีหยกที่คล้ายจะเปล่งแสงนวลเนียน เป็นความสมบูรณ์อันไร้ที่ติ
เมื่อครู่ต่างคนต่างมีเรื่องอยู่ในใจ ไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาโผล่ออกมาตั้งแต่ตอนไหน
และเขาก็หาได้แยแสผู้คน หัวคิ้วขมวดเล็กๆ มองฉู่สวินหยางที่หัวเราะชอบใจอยู่บนกำแพงอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยื่นมือให้นางแล้วค้างไว้อยู่แบบนั้น
คนหนึ่งทำท่ารอคอย คล้ายเป็นการออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ ทว่ากลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
ฉู่สวินหยางนั่งอยู่บนกำแพง ลมเย็นพัดปอยผมพันกันยุ่ง ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย เป็นแสงวิบวับคล้ายดวงดาวสุกใส
เห็นว่าเขามา ฉู่สวินหยางจึงยิ้มให้ก่อนกระโดดลงจากกำแพงอย่างไร้ทางเลือก
เหยียนหลิงจวินคว้ามือของนางไว้ จับนางให้ยืนบนพื้นอย่างมั่นคง แต่ตอนที่สัมผัสถูกอุณหภูมิตรงปลายนิ้ว หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นอีกรอบ เขาคลี่ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ที่อยู่ในมืออีกข้างออกแล้วคลุมบ่าให้นาง ช่วยนางจัดแจงราวกับว่าข้างกายไร้คนอื่น ซ้ำยังผูกเงื่อนที่คอเสื้อให้จนเรียบร้อย
นิ้วมือเรียวยาวพริ้วไหว ท่ามกลางขนเสื้อดำขลับ มันดูเด่นชัดสะดุดตา
การที่เขาลงมือทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกขัดแย้ง แต่ยังคงสง่างามดังเก่า และยังเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน
ผ้าคลุมผืนนั้นเห็นชัดว่าเป็นของเขา ความหนาและใหญ่ของมันบังร่างทั้งร่างของฉู่สวินหยางเสียมิด ชายเสื้อด้านล่างยาวจนลากพื้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูตลกน่าขัน
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน ฉู่สวินหยางรู้สึกไม่สะดวกใจนัก เท้าจึงก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แล้วส่งยิ้มกลบเกลื่อนให้ เอ่ยว่า “ข้าไม่หนาว!”
เหยียนหลิงจวินไม่สนใจนาง ก้าวขาตามติด กระชับเสื้อคลุมให้แน่นหนาอย่างดื้อรั้น
ลู่หยวนกับชิงหลัวต่างก็หลุบตาหลบต่ำ ได้แต่ทำทีว่าตนไม่ได้พกตากับหูมาด้วย
ฉู่หลิงอวิ้นยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง ตาสองข้างแดงเรื่อ
วินาทีที่เหยียนหลิงจวินปรากฏตัวขึ้น นางรู้สึกตกตะลึงก่อนจะตามมาด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เหมือนว่าหน้ากากที่สวมอยู่บนหน้าจะแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ แม้แต่ความรู้สึกร้อยพันที่ปั่นป่วนอยู่ในใจก็แหลกสลาย เศษเสี้ยวเกลื่อนพื้นจนไม่อาจเก็บกวาดได้หมด
ขอบตาแดงก่ำ เหมือนจะมีของเหลวร้อนลวกไหลพรูออกมา
นางออกแรงกัดริมฝีปาก เล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือจนเกิดรอยเลือด
สายตาของฉู่สวินหยางมองผ่านนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ หัวคิ้วพลันเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น
ฉู่หลิงอวิ้นสบตากับนางเข้าพอดี พลันหัวเราะออกมาด้วยความเศร้าหมองปนเจ็บแปลบ
นางเงยหน้าขึ้น บังคับให้น้ำตาที่คลออยู่ไหลกลับเข้าไป เอ่ยเสียงไร้ความรู้สึกว่า “กลางเมืองหลวง ใต้แผ่นฟ้า ใต้เท้าเหยียนหลิง เจ้ากำลังช่วยคนเลวกระทำการชั่วช้าและต้องการจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องหนานเหอใช่หรือไม่? ตั้งแต่ข้ารู้จักกับเจ้าก็ไม่เคยขุ่นข้องหมองใจ…”
เหยียนหลิงจวินผู้นี้ แม้จะถือว่าเป็นคนหน้าใหม่ในวงขุนนางและผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมืองหลวงแต่เสียงล่ำลือทุกๆ ด้านล้วนเป็นเลิศ นอกจากที่ไปขัดใจสองพี่น้องสกุลซูเมื่อครั้งก่อน ก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยล่วงเกินใครอีก
ความรู้สึกบอกนางว่า คนผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย
ฉู่หลิงอวิ้นพลันเกิดความหวังบางอย่างจากความคิดนั้น
ไม่คิดว่าวาจายังไม่ทันกล่าวจบ เหยียนหลิงจวินทางนี้ก็เอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า
“งั้นเริ่มหมองใจกันตั้งแต่วันนี้เถิด!” ประโยคเดียว กระชับและเชื่องช้า แต่ทุกคนสลักชัดแทงใจ
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นไร้เลือดโดยทันที ฝีเท้าถอยร่นซวนเซ
“เจ้า…” ปากนางอ้าค้าง น้ำตาที่กดลงไปอย่างยากลำบากรื้อกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งตามอารมณ์กราดเกรี้ยวที่อยู่เต็มอก
ตอนที่พูดประโยคนั้น เหยียนหลิงจวินไม่หันมามองด้วยซ้ำ ยิ่งไม่เคยส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ มัวแต่ช่วยฉู่สวินหยางจัดแต่งเสื้อคลุมบนร่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เหอะ…” ฉู่หลิงอวิ้นพลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าช่างน่าขันสิ้นดี และอาจเพราะเจ็บปวดเกินไป สุดท้ายจึงหัวเราะออกมาจริงๆ
เสียงหัวเราะนั้น ไม่อาจกักเก็บหยดน้ำตาได้อีก
————————————————————————