สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 75 (3)
ไสหัวไป! (3)
ชั่วชีวิตนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าระหว่างนางกับเหยียนหลิงจวินไม่มีความสัมพันใดๆ ต่อกัน ฉู่สวินหยางมองอารมณ์ที่นางแสดงออก พลันรู้สึกว่าทนมองต่อไปไม่ไหว
นางทำหน้าตึง เอ่ยปากสั่งลู่หยวนว่า “อย่าชักช้า รีบเก็บกวาดแล้วไปเถอะ!”
“ขอรับ ท่านหญิง!” ลู่หยวนผงกศีรษะ ก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าหมับที่ข้อมือของฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นเหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ สะบัดมือทิ้งด้วยความลนลาน ทางหนึ่งก็กรีดร้องเสียงแหลม “ฉู่สวินหยาง เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“สบายใจได้ เทียบกับเสด็จย่าที่รักเจ้าฝังกระดูกแล้ว ข้าคุยง่ายกว่าเป็นกอง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่แต่งให้ซูหลิน ข้าก็จะไม่บีบคั้นเจ้า” ฉู่สวินหยางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก เพราะถ้าต่อไปพวกเราเจอหน้ากันมีแต่จะกระอักกระอ่วน”
ฉู่หลิงอวิ้นลังเลอยู่ครึ่งวันพลันชะงักกึก จ้องมองนางด้วยสายตาหวาดระแวงเต็มที่
นางคิดว่าฉู่สวินหยางมาเพื่อขัดขวางนาง พยายามยัดเยียดนางให้ซูหลิน เพราะอย่างไร…
เป้าหมายเดิมของงานแต่งงานฉากนี้ก็คือฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่อธิบายเพิ่มเติมอีก เพียงชี้นิ้วไปที่พรมบนพื้น เอ่ยว่า “ใช้ของให้คุ้ม อย่าได้สิ้นเปลือง ม้วนนางไว้ข้างใน พวกเรากลับ!”
พรมผืนนั้น ก็คือผืนที่องครักษ์ของฉู่หลิงอวิ้นใช้พันตัวฉู่หลิงซิ่วมา
แม้จะเรียกว่าเวรกรรมตามทัน แต่ก็ไม่ควรจะตามมาไวเช่นนี้
ร่างของฉู่หลิงอวิ้นโอนเอน ดวงหน้าซีดเผือด ในที่สุดจึงตัดสินใจแหกปากร้อง…
ต่อให้ต้องตกอยู่ในมือของซูหลิน ก็ยังดีกว่ายอมให้นังเด็กใจเหี้ยมอย่างฉู่สวินหยางพาตัวนางไป อย่างไรสถานการณ์ทางนี้ยังสับสน ถึงเวลานั้นค่อยโบ้ยให้ฉู่สวินหยาง บอกว่านังเด็กคนนี้ส่งคนมาจับตัวนางจนนางต้องตัดสินใจทำเรื่องเช่นนี้อย่างไร้ทางเลือก
ความคิดของฉู่หลิงอวิ้นหมุนแล่น กำลังจะอ้าปาก พลันได้ยินเสียงตวาดดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของตรอกถนน “พวกเจ้าเป็นใครน่ะ?”
น้ำเสียงคุ้นหู แต่ฉู่หลิงอวิ้นกำลังหัวหมุนจึงไม่ทันนึกออก
เป็นลู่หยวนที่ตาดี กระซิบบอกฉู่สวินหยางว่า “คนของจวนอ๋องหนานเหอขอรับ!”
“เอ๊ะ?” ฉู่สวินหยางชะงักไป ก่อนจะเข้าใจอะไรๆ ในทันที…
คงไม่พ้นฝีมือของฉู่ฉีเหยียน!
เขายังคงรู้จักพี่สาวของตัวเองดี ถึงได้เตรียมการไว้เสร็จสรรพ
ฉู่หลิงอวิ้นได้ยินเสียง หัวใจเต้นด้วยความยินดี รีบเรียก “หลี่…”
เสียงร้องยังไม่ทันจะลอดออกมาก็ถูกสกัดไว้ในลำคอ ร่างของนางก็ล้มพับไปพร้อมกับเสียงที่ดับหาย
พวกหลี่หลินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เร่งฝีเท้าบุกพรวดเข้ามา
“เจ้ากับชิงหลัวพานางไปก่อน!” ฉู่สวินหยางสั่งเสียงเรียบ ก่อนหันไปมองเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินพยักหน้าให้เบาๆ อย่างเข้าใจความหมาย เพียงส่งสัญญาณมือ พวกอิ้งจื่อทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้น
“ล่อพวกนั้นไปทางอื่น ก่อนฟ้าสว่าง ห้ามให้กลับไปถึงจวนอ๋องหนานเหอ” เหยียนหลิงจวินสั่ง
พวกอิ้งจื่อไม่ปริปากคัดค้าน กระโจนเข้าหาทันที
ลู่หยวนนำพรมมาม้วนร่างของฉู่หลิงอวิ้นไว้ด้านใน ช้อนไว้ใต้วงแขนแล้วพุ่งตัวไปอีกฝั่งของตรอกพร้อมกับชิงหลัว ขณะเดียวกันเหยียนหลิงจวินก็ลากมือฉู่สวินหยางลอยหายไปเพื่อเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสัยเช่นนี้
ตอนที่ผู้มีฝีมือของสองฝั่งประมือกันอยู่ในตรอก งานเลี้ยงภายในจวนสกุลซูยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก ส่วนคนที่เอาแต่หวนคิดถึงฉู่หลิงอวิ้นอย่างซูหลิน ได้ฉวยโอกาสแอบหลบไปทางเรือนหอแล้ว
เด็กรับใช้คนสนิทพยุงซูหลินที่ฝีเท้าซวนเซมุ่งหน้าไปทางเรือนหลังอย่างรีบร้อน ด้วยผลพวงจากฤทธิ์สุรา ภาพเบื้องหน้าจึงพร่าเลือน มองเห็นแต่ฉากที่ตนรับมือนางในดวงใจในชุดแต่งงานสีแดงลงมาจากเกี้ยว เห็นเอวบางอ้อนแอ้นที่ขยับเดิน ก็อดจะจินตนาการไปถึงเรือนร่างใต้ร่มผ้าไม่ได้ว่าจะเพริศพริ้งถึงเพียงไหน
ซูหลินจิตใจฟุ้งซ่าน ดวงหน้าที่เดิมแดงฉ่ำด้วยสุราถูกเติมสีให้เข้มขึ้นไปอีก ในสมองเต็มไปด้วยฉากแนบชิดสนิทเนื้อที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ไกล
เขาติดตามบิดาเข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสี่ และนับแต่ที่ได้เจอฉู่หลิงอวิ้นโดยบังเอิญในตอนนั้น จิตใจก็เอาแต่พะวงคิดถึงไม่หาย ตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งกับนาง รับผู้งามเป็นเลิศนี้มาไว้ในครอบครอง
รอคอยมาเนิ่นนาน ในที่สุดฝันก็จะกลายเป็นจริง
คิดไป ซูหลินก็ยิ่งเร่งฝีเท้าเพื่อไปเรือนด้านหลังอย่างทนรอไม่ไหว หัวใจร่ำร้องแต่จะร่วมเดินทางอันแสนหวานไปพร้อมกับชายาของตน
“กรี้ด…” ทันใดนั้นเอง พลันได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวดังขึ้น จนกลบเสียงงานเลี้ยงรื่นเริงด้านหน้าที่ยังไม่เลิกรา
ทิศทางของเสียงนั้น มาจากฝั่งของเรือนเจ้าสาวพอดี
เลือดในกายของซูหลินแข็งทื่อ สมองตื่นจากความมัวเมาราวกับถูกคนสาดน้ำเย็นจัดใส่หน้า เมื่อได้สติแล้ว ก็รีบวิ่งไปที่เรือนหอทันที
หลังจากเสียงกรีดร้องจบลง ก็ตามมาด้วยเสียงมากมายในหัวสมอง ซูหลินกลัวว่าจะมีคนทำร้ายฉู่หลิงอวิ้น หัวใจเหมือนถูกแผดเผา รอจนเขาพุ่งตัวไปถึงที่นั่น เรือนทั้งหลังก็อลหม่านไปหมด
สาวใช้ในเรือนสกุลซูทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รวมไปถึงสี่เหนียงในชุดแดงสด ต่างก็เดินสวนกันให้ควั่กเหมือนกับแมลงวันไร้หัว ทุกคนทำหน้าเหมือนเจอผี หน้าซีดไร้เลือด บางคนก็หน้าดำคล้ำ ขณะที่บางคนก็ไปนั่งคุกเข่าตัวสั่นระริกอยู่ตรงมุม ไม่ปริปากพูดคำ
ประตูใหญ่ของเรือนหอมีคนอยู่เนืองแน่น แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญจากด้านในก็ยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
สมองของซูหลินขาวโพลนไปหมด แม้จะพยายามปลอบตัวเอง ว่าตำหนักนี้มีทหารคอยเฝ้าเข้มงวด ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่ แต่ว่าสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้ากำลังทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้าร้องโวยวายอะไร?” ซูหลินก้าวเข้าลานไป ก็ส่งเท้าถีบสาวใช้คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างประตู
สาวใช้ผู้นั้นร้องโอยๆ กลิ้งไปกับพื้น ปีนขึ้นมาได้ก็ชี้นิ้วไปทางเรือนหอ น้ำตาไหลพรากๆ พูดไม่เป็นภาษาคนว่า “เป็น…เจ้าสาว…เจ้าสาว…”
เรื่องราวใหญ่โตเกินคาดฝัน ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงจวนอ๋องหนานเหอ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าปากมาก
หัวใจของซูหลินกระตุกวูบ หมดความอดทนจะซักไซ้ต่อ เท้าถีบใส่นางอีกทีหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้ายาวเดินไปทางเรือนหอ
“ไสหัวไปให้หมด!” เขาตวาดเสียงดังใส่ทุกคน
เหล่าสี่เหนี่ยงและข้ารับใช้ที่มุงอยู่หน้าประตูรีบแหวกทางออกเป็นสองฝั่ง พอผ่านประตูเข้าไปก็เห็นจื่อเหวยกับจื่อซวี่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับเจ้าสาวชุดแดงที่นอนอยู่บนเตียง
บ่าวสองคนล้วนตาแดงก่ำ ทางหนึ่งก็ตะโกนด่าทั้งน้ำตา “นังสารเลว! หน้าไม่อาย ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาให้ได้!”
แน่นอนว่าเขารู้จักสาวใช้ทั้งสองคนของฉู่หลิงอวิ้น ซูหลินยืนงงเป็นไก่ตาแตก อึ้งไปเป็นพักก่อนจะรีบก้าวขาเข้าไปทันทีที่ได้สติ เขากระชากคนทั้งสองที่นั่งคร่อมและพยายามดึงชุดเจ้าสาวอยู่ออกแล้วเหวี่ยงลงบนพื้นด้วยความเดือดดาล ระเบิดอารมณ์ว่า “ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ใครก็ได้เข้ามาลากพวกชั้นต่ำสองคนนี้ออกไปโบยให้ตาย!”
กล้าแตะต้องผู้หญิงของเขา? สาวใช้สองคนนั้นเสียสติไปแล้วอย่างนั้นรึ?
ซูหลินโกรธมาก ดวงหน้าบิดเบี้ยว ทำเอาสี่เหนี่ยงและบ่าวรับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตกใจจนขาอ่อนทรุดกระแทกพื้น
เจ้าสาวที่อยู่บนเตียงปล่อยโฮออกมา ตอนที่ซูหลินกำลังเจ็บปวดหัวใจเหลือแสน จื่อเหวยที่ถูกเหวี่ยงลงพื้นก็ปาดน้ำตาทิ้งแล้วโถมตัวมากอดขาเขาไว้แน่น
ซูหลินกำลังจะสะบัดนางออกด้วยความขยะแขยง แต่ได้ยินเสียงแค้นใจของจื่อเหวยดังขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยท่านญิงของพวกเราด้วย รีบไปช่วยท่านหญิงของพวกเราด้วยเถอะ!”
ซูหลินยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่
จากนั้นจื่อซวี่ก็ฝืนทนเจ็บปีนขึ้นมา พุ่งตัวไปหน้าเตียงแล้วพยายามดึงเจ้าสาวที่นอนร้องไห้กระซิกๆ อยู่ด้านบนให้ลงมาด้านล่าง สองคนกลิ้งหลุนๆ ล้มอยู่บนพื้น
“ซื่อจื่อ ท่านดูสิ นี่มันนังสาวเลว!” จื่อซวี่ร้องบอก ออกแรงดึงผมของเจ้าสาว ผลักนางให้ไปอยู่ต่อหน้าซูหลิน
ฉู่หลิงซิ่วนอนสะลึมสะลือ ฟื้นขึ้นมายังไม่ทันจะได้สติเต็มที่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พร้อมด้วยเสียงถาดถ้วยชากระแทกลงบนพื้น จากนั้นยังไม่ทันที่นางจะรู้ทิศรู้ทาง ก็ถูกสาวใช้สองคนกดเอาไว้ ดึงทึ้งนางสารพัดเหมือนกับคนบ้า
ผมเผ้าถูกดึงกระเซิง เครื่องประดับหล่นเต็มพื้น เสื้อผ้าก็ขาดรุ่ยเป็นจุดๆ คอเสื้อเปิดอ้า เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวผ่องเกือบครึ่ง ภายใต้แสงเทียนถือได้ว่าเป็นภาพจรรโลงตาภาพหนึ่ง ทว่าดวงหน้าของนางในยามนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเล็บข่วน เลือดซึมกระจายอยู่หลายแผล จมูกช้ำ หน้าบวม ยุ่งเหยิงไปทุกสิ่ง
ดวงตาของซูหลินเบิกกว้าง เหมือนว่าต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าเป็นใบหน้าของใคร จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที
“ทำไมถึงเป็นเจ้า?” ซูหลินซัดเซถอยหลัง ล้มตัวลงเตียงมงคลที่ระเกะระกะยากจะหาใดเปรียบ
จื่อเหวยปาดน้ำตาแล้วขยับเข้าหา โขลกศีรษะลงพื้นไม่ยอมหยุด เอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ท่านหญิงของข้าหายไปแล้ว ไม่รู้ว่านางถูกคนทำร้ายหรือไม่ ซื่อจื่อโปรดเมตตา ขอท่านรีบหาทางช่วยท่านหญิงด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงซิ่วถูกตีจนมึนงง ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ…