สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 76 (1)
เอาคืน (1)
“เกี้ยวหลังนั้น ยกมันกลับไปไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้!” เขาเอ่ยซ้ำอีกรอบ
แค่ไม่กี่คำ แต่ทำนองที่เปล่งออกมา…
ช้า ทั้งยังเฉื่อย เป็นน้ำเสียงของการออกคำสั่ง
แผ่นสีทองที่ปลายนิ้วสะท้อนแสงระยับภายใต้จันทรา พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ…
มันเป็นการข่มขู่!
สายตาระวังภัยของซูหลินจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา เอ่ยเสียงเข้มว่า “ถือสิทธิ์อะไร?”
คนผู้นั้นไม่ตอบ แต่ท่าทางชี้นิ้วกลับไม่เปลี่ยนหนี ภาพใบไม้แผ่นทองบางเฉียบที่แน่นิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วให้ความรู้สึกแปลกตากับผู้คนเป็นที่สุด ใบไม้บางๆ ผนึกไอสังหารคลุ้งพร้อมจะเอาชีวิตของใครตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น
ซูหลินในตอนนี้เดือดดาลหนัก ย่อมไม่มีอารมณ์มาหยุดพิรี้พิไรกับเขา แสยะยิ้มเย็นให้ทีหนึ่งแล้วโบกมือสั่งเป็นการตัดบทว่า “ไป! ไปจวนอ๋องหนานเหอ!”
ที่นี่คือเมืองหลวง และใต้ฝ่าเท้าของเขาก็คือประตูหน้าจวนซึ่งมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ถ้าถูกคนทำให้ตกใจขวัญหนี ต่อไปเขาจะมีหน้าไปพบใครอีก?
องครักษ์รับคำสั่ง รีบร้องสั่งให้เคลื่อนขบวน
ฉับพลันก็เกิดเรื่องขึ้นทันที
ใต้แสงจันทร์กระจ่าง แสงสีทองอ่อนถูกส่งออกจากปลายนิ้วของบุรุษผู้นั้นราวกับสายฟ้า
เงาแสงวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด เป้าหมายคือใบหน้าของซูหลิน
เพราะว่าระยะห่างของสองคนไกลกันมาก สิ่งที่เขาส่งออกมาก็เป็นเพียงใบไม้สีทองบางๆ แผ่นหนึ่ง ซูหลินเดิมไม่ได้ใส่ใจ เวลานี้เมื่อคิดจะหลบจึงไม่ทันการณ์เสียแล้ว
แสงทองนั้นวิ่งเร็วเหมือนดาวตก มันมาพร้อมเสียงหวีดร้องกลางอากาศ
ซูหลินทำได้เพียงเบี่ยงหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงลมที่วิ่งผ่านแก้มไปพร้อมๆ กับความเจ็บแปลบ ตอนที่เหลือบตามองก็เห็นแสงสีทองนั้นพุ่งผ่านม่านเกี้ยวสีแดงแล้วทะลุออกทางฉากกั้นด้านหลัง ถึงจะอย่างนั้นพลังของมันก็ไม่ผ่อนลด สุดท้ายเกิดเป็นเสียงจึกเบาๆ ทีหนึ่งปักเข้าที่กลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปห้าจั้ง
ใบไม้ฝังลึกลงไปสามส่วน
พลังดรรชนีระดับนี้ ชวนให้หัวใจของทุกคนเย็นเยือกด้วยความขลาดกลัว
ซูหลินคิดไม่ถึง ระหว่างที่กำลังตกตะลึงก็สัมผัสได้ถึงของเหลวเหนียวๆ ที่ไหลลงมาจาแก้ม รู้สึกคันนิดๆ
เขายกมือเกาตามสัญชาตญาณ…
แสงจันทร์ส่องให้เห็นเลือดสดๆ บนนิ้วของเขา
แก้มซ้ายของเขาถูกใบไม้แผ่นนั้นบาดจนเลือดซึมเป็นแผลยาว
นี่คือมีดใบไม้บิน…
คนผู้นี้คือ…
ซูชิงสุ่ย!
ฉู่สวินหยางตกใจอย่างหนัก ดวงหน้าเปลี่ยนสีทันที
เลือดในกายคล้ายจะผนึกแข็ง ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าต่างทะลักเข้ามาในสมอง นางรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่พวกซูหลินกำลังชุลมุนกระโดดผลุบลงไปทันที
เหยียนหลิงจวินไม่ทันตั้งตัว ตอนที่ยื่นมือจะดึงนางไว้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
เห็นเพียงร่างเงาของนางเคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
เหยียนหลิงจวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะเร่งพลังตามไปด้วยความเร็วสูงสุด
ฉู่สวินหยางหยางมาถึงใต้ต้นไม้ต้นนั้น ตอนที่เคลื่อนตัวผ่านก็ยกมือดึงใบไม้ที่ฝังอยู่หายเข้าไปใต้แขนเสื้อ
ด้วยกระบวนท่าเหล่านี้ทำให้ความเร็วของนางลดลง เหยียนหลิงจวินถึงตามมาทัน วาจาไม่เอ่ยเอื้อนก็คว้าเอวบางพานางเข้าไปหลบในตรอกฝั่งตรงข้าม
ท่วงท่าของคนสองคนว่องไวนัก แม้จะไม่มีใครทันสังเกต แต่บนชายคานั้น ซูอี้เห็นทุกอย่างจากด้านบนได้ชัดเจน
ฉู่สวินหยางเสี่ยงอันตรายไปชิงเก็บมีดใบไม้บินของเขา?
เพื่ออะไร?
เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เพราะไม่มีเวลาคิดมาก จึงรีบดึงความสนใจกลับมา
ทางด้านซูหลินก็เต็มไปด้วยความสับสนลังเล จนไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวด้านหลัง ตอนนี้ไม่กล้าประมาทอีก ตวาดเสียงออกมาว่า “มือธนู!”
คนสนิทข้างกายเขาพลันได้สติ คิดจะเข้าไปเรียกคน ทว่าเท้าชักออกเพียงครึ่งก้าวลำแสงสีทองก็พุ่งผ่านอากาศมาอีก เสียงลมหวีดร้องแหลมชัดปัดผ่านหน้าผากเขาไปเพียงเส้นยาแดง
โลหิตที่ไหลเวียนในร่างของเขาชะงักนิ่ง ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียว
เสี้ยวนาทีถัดมา ปอยผมกระจุกหนึ่งร่วงลงช้าๆ หล่นอยู่บนใบหน้าเขา
“ลูกไม้ชั้นต่ำ!” ซูหลินกดเพลิงโทสะภายใน กระตุกยิ้มทีหนึ่ง แล้วควักลำไม้ไผ่สวยชิ้นเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วมือเกี่ยวช่องลับๆ บนนั้น กำลังจะยิงสัญญาณขึ้นฟ้า
บนชายคา ได้ยินเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ของบุรุษ
เพียงสะบัดมือ ด้านบนของหลังคาก็มีมือธนูเกินสิบคนปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องราวกับห่าฝน ธนูเหล็กดูน่าครั่นคร้าม ทุกคนต่างเล็งเป้าไปหาซูหลินผู้นั่งโดดเด่นอยู่บนหลังม้า
“เจ้าจะเรียกกำลังเสริมก็ได้ แต่หน้าที่ของพวกนั้นก็ได้แค่มาเก็บศพเจ้าเท่านั้นแหละ!” ที่ด้านบน ซูอี้นั่งนิ่งไม่ขยับ น้ำเสียงยังคงราบเรียบอ่อนโยน
ดวงหน้าของซูหลินเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ นิ้วมือใต้แขนเสื้อกำแน่นเป็นเสียงกรอบ
ต่อให้คนของเขาจะสังหารพวกคนร้ายให้สิ้นซากได้ แต่ถ้าเขาตายไปก่อนก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่ามันคือการข่มขู่ เวลานี้เขาทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม
เพราะว่า…
เขาไม่อาจเสี่ยง
และไม่ต้องการ…
ที่จะเสี่ยงอันตรายนี้
ซูหลินสูดหายใจลึกเพื่อกดเพลิงโทสะในใจ สายตาเย็นชาอำมหิตจ้องเขม็งที่ดวงหน้าหลังผ้าโปร่งดำมืด เค้นเสียงลอดฟันว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
ซูอี้ไหวศีรษะไปมา หัวเราะน้อยๆ “ง่ายมาก ยกเกี้ยวหลังนี้กลับเข้าไปเสีย”
ซูหลินหันกลับไปมอง นัยน์ตาเบื้องลึกมีเงาอาฆาตวูบผ่านแล้วหายไป พร้อมกับเข้าใจอะไรได้ถึงบางสิ่ง ถึงเอ่ยคำพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เจ้าคิดจะหยุดข้าไม่ให้ไปเอาเรื่องที่จวนอ๋องหนานเหอ เจ้าเป็นคนของจวนนั้นรึ?”
นอกจากว่าเป็นคนของจวนอ๋องหนานเหอ เกรงว่าจะไม่มีใครอาจหาญถึงขั้นนี้ กล้าทำร้ายเขาถึงหน้าประตูจวนสกุลซู ทั้งยังใช้วาจาข่มขู่ไม่กลัวเกรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูหลินถึงได้ปักใจเชื่อในข้อที่ว่า…
เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฉู่หลิงซิ่วเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน มั่นใจได้เก้าในสิบว่าเป็นแผนที่จวนอ๋องหนานเหอคิดจะใช้จัดการเขา
ซูหลินคิดไป ไฟในใจก็ยิ่งโหมลุก เอ่ยเสียงกร้าวว่า “เจ้าคิดว่าถ้าวันนี้หยุดข้าได้ แล้วเรื่องนี้ก็จะจบง่ายๆ เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นรึ? เจ้าจะมีปัญญาเฝ้าประตูจวนข้าได้สักกี่วัน?”
“ใครว่าข้าจะหยุดเจ้า?” ซูอี้ไม่คิดเช่นนั้น เขายืนขึ้นพลางปัดชุดที่อยู่บนตัว ร่างสูงที่ยืนเด่นใต้แสงจันทร์ดวงกลมให้อารมณ์ลึกลับและเป็นปริศนาแก่ผู้ที่ได้เห็นอย่างที่สุด
บนหลังคากระเบื้อง เขายืนตะหง่านพลางมองลงมาด้านล่าง เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยากจะทำอะไร จะไปที่ไหน ข้าไม่ยุ่ง แต่ว่าเกี้ยวหลังนั้นจะออกจากจวนไม่ได้เด็ดขาด”
ความสนใจของเขาคล้ายจะพุ่งไปที่เกี้ยวหลังนั้นทั้งหมด
ซูหลินพลันโง่งม หันขวับกลับไปมองอีกรอบหนึ่ง
หากว่าเขาไม่อาจพาตัวฉู่หลิงซิ่วกลับไปส่งที่จวนอ๋องหนานเหอให้เร็วที่สุด แล้วข่าวไปถึงหูเบื้องบนเข้าการเคลื่อนไหวใดๆ คงเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะพลิกผันเช่นไรก็ยากจะคาดเดา
ซูหลินพะว้าพะวงไม่อาจตัดสินใจ
ซูอี้คอยได้พักหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่รุกไม่ถอยก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ข้านั้นมีเวลารอให้เจ้าพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หากตอนนี้เจ้าไม่ไปเสียทีงานเลี้ยงที่จวนอ๋องหนานเหอทางนั้นคงใกล้จะเลิกแล้ว”
หัวใจของซูหลินกระตุก แต่การถูกผู้อื่นบีบบังคับเช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้เลย
เขาไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว
แต่ว่า…
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซูหลินเปิดปากถามอีกครั้งเมื่อได้สติ
ซูอี้อยู่ในสถานะเป็นต่อ ย่อมไม่ตอบคำถามเขาเพียงฉีกยิ้มให้ช้าๆ “สักวันหนึ่ง เจ้าจะรู้เอง รีบร้อนไปไยเล่า?”
ซูหลินมองออกในที่สุด คนผู้นี้ไม่มีทางให้ใครมาบังคับข่มขู่ หลังจากคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็โบกมือสั่งเสียงเย็นว่า “ยกเกี้ยวกลับเข้าไป เฝ้าคนไว้ให้ดี ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ก็แล้วกัน!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” คนหามเกี้ยวสามสี่คนรับคำอย่างกลัวๆ แบกเกี้ยวกลับเข้าประตูไปอีกครั้งด้วยมือเท้าลนลาน
ซูหลินเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาสลัวอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็สะบัดมือแรงๆ “พวกเราไป!”
เหล่าองครักษ์พาตัวจื่อซวี่กับจื่อเหวยที่ถูกมัดมือไพล่หลังไป ทหารคุ้มกันเข้มงวด ออกตัวเคลื่อนขบวนไปทางจวนอ๋องหนานเหออย่างรวดเร็ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความคุกคามเขย่าขวัญ เทียบกับตอนแรกแล้วดูจะยิ่งตึงเครียดขึ้นมาหลายเท่า
ซูอี้ก็รักษาวาจา ไม่ได้ขัดขวางตามที่ลั่นคำไว้ เพียงมองกลุ่มคนรีบร้อนเลื่อนห่างออกไป
จากนั้น ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณมือบอกให้ล่าถอยไป
มือธนูสิบกว่าคนหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ตัวเขากลับทิ้งกายลงจากหลังคา ย่างเท้าในตรอกถนนมาหยุดลงหน้าจวนสกุลซูซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงใบไม้สีทองที่ปักอยู่บนกำแพงกลับคืน ตอนที่หมุนกายจากมาก็ชะงักเท้าที่หน้าต้นไม้ต้นนั้น นิ้วมือปัดผ่าน ลูบไล้บาดแผลที่ทิ้งรอยไว้ด้านบนพักใหญ่ก่อนจะถอนมือออกมาอย่างครุ่นคิด
จากนั้นปลายเท้าแตะพื้นแผ่วเบา นำพาทุกสิ่งสรรพหายไปจากวัดหลวงที่ถูกทิ้งร้างอย่างไร้ร่องรอย