สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 76 (2)
เอาคืน (2)
ราตรีกาลที่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลซูกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
จวนอ๋องหนานเหอทางนั้น ย่อมถูกกำหนดให้เผชิญกับคลื่นพายุฉากใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน บุตรสาวของอ๋องหนานเหอแต่งงาน นางเป็นบุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของเขา ซ้ำยังเป็นถึงท่านหญิงอันเล่อที่ฮองเฮาหลัวโปรดปรานรักใคร่ งานเฉลิมฉลองในวันนี้ย่อมจัดได้อลังการยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เที่ยงวันยันมืดค่ำ จวบจนเวลาใกล้เที่ยงคืนทุกคนถึงได้กินดื่มจนหนำใจเตรียมจะไปบอกลาเจ้าภาพ
เจ้ากรมพิธีการที่ดื่มไปเต็มท้องกำลังกุมมือฉู่อี้หมินพลางพร่ำเอ่ยวาจาไพเราะน่าฟัง แม้เป็นเพียงการเสแสร้ง แต่ฉู่อี้หมินก็ยิ้มจนกรามค้างไปหมด เพิ่งจะสบโอกาสผลักมือของเขาออกได้ ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งโซเซโซซัดเข้ามาจากด้านนอกจวนพอดี
พ่อบ้านผู้นี้ถือเป็นคนเก่าแก่ของจวน จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อย ทั้งยังไม่ตาขาวขี้กลัว ทว่าตอนนี้กลับทำท่าลุกลน แม้จะยังไม่ถึงขั้นร้องบอกให้แขกเหรื่อหลีกทาง แต่ความร้อนใจที่ปิดไม่ผิดก็บอกชัดว่าคงจะเป็นข่าวไม่ดีแน่…
น่ากลัวจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หรือไม่ก็กำลังจะเกิด
สีหน้าของฉู่อี้หมินเคร่งเครียดขึ้นในทันที
“ท่านอ๋อง!” พ่อบ้านซอยเท้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา ยังไม่ทันจะพูดอะไร ด้านหลังก็เกิดเสียงดังปัง บ่าวคุ้มเรือนของจวนอ๋องหนานถูกโยนเข้ามาจากด้านนอกกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ตรงกับประตูทางเข้าพอดี
อาหารน้ำแกงกระเด็นไปสี่ทิศ จานชามแตกกระจายเต็มพื้น แขกที่นั่งอยู่กระโดดเหยงหนีด้วยความตกใจ
เพราะเสียงดังสนั่นเกินไป จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังกลบเกลื่อน
นัยน์ตาของฉู่อี้หมินเย็นเยือก หันไปมองตามเสียงก็เห็นซูหลินที่มีน้ำแข็งเคลือบหน้ากำลังข้ามประตูใหญ่เข้ามาด้านใน
ด้านหลังตามติดมาด้วยองครักษ์ฝีมือเยี่ยม เห็นท่าแล้ว คงไม่ได้มาดีเป็นแน่!
ลานเรือนกว้างขวาง แขกเหรื่อเกือบร้อยพร้อมใจหุบปากเงียบ เวลานั้น นอกจากเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้งและเย็นชาของพวกซูหลินแล้ว ไร้ซึ่งเสียงจอแจโดยสิ้นเชิง
สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าแข็งทื่อของซูหลิน ในใจเกิดเสียงซุบซิบดังไม่หยุด
ฉู่อี้หมินตะลึงไปพักใหญ่ก่อนเปลี่ยนเป็นความแปลกใจ เอ่ยถามงุนงงว่า “บุตรเขย นี่เจ้า…”
“ท่านอ๋อง!” น้ำเสียงของซูหลินทะมึนตึง กระตุกมุมปากเยาะหยันแล้วเอ่ยตัดบทเขาด้วยเสียงเย็นชาว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนนับญาติกันเร็วไป เดี๋ยวอีกสักพักพวกเราสองฝ่ายจะอธิบายกันลำบาก”
ฉู่อี้หมินเริ่มเกิดโทสะ หน้าตึงขึงในทันใด กำลังจะอาละวาด ซูหลินก็สะบัดมือสั่งว่า “พาสาวใช้สองคนนั้นเข้ามา!”
หัวคิ้วฉู่อี้หมินขมวดมุ่น มองไปด้านหลังเขาอย่างไม่เข้าใจ
เห็นว่าองครักษ์สองคนลากปีกจื่อซวี่กับจื่อเหวยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและถูกมัดมือไพล่หลังเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โยนคนทิ้งไว้ที่แทบเท้าของฉู่อี้หมิน
ฉู่อี้หมินสีหน้าดำมืด ถามเสียงกร้าวว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นข้าที่ต้องถามท่านอ๋องมากกว่ากระมังว่าสิ่งที่จวนอ๋องหนานเหอทำมันหมายความว่าอย่างไร!” ซูหลินไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่แม้แต่จะไว้หน้าเขาสักนิด เท้าหนึ่งถีบเข้าที่ร่างของจื่อเหวย เอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “พูดสิ เจ้าบอกนายท่านของเจ้ากับแขกทุกคนที่อยู่ที่นี่สิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
จื่อเหวยหลุดเสียงเจ็บปวดออกมา น้ำตาพลันไหลร่วงเป็นสาย
ตอนนี้นางกังวลไปหมด กล้ามเนื้อทั่วร่างสั่นเทาไปทั้งตัว พยายามหมอบต่ำให้ติดพื้น ปล่อยโฮร่ำไห้
ตามแผนการของฉู่หลิงอวิ้น จะต้องทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โต ให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกันว่าฉู่หลิงซิ่วผ่านเข้าจวนสกุลซูไปแล้ว ทั้งยังทำพิธีไหว้ฟ้าดินกับซูหลิน จากนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็จะรอดตัวจากปัญหาทั้งหมด
แต่ว่าตอนนี้…
ไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาของซูหลินที่ผิดไปจากที่คาดไว้ ทั้งยังมีเหตุการณ์แปลกๆ ตามมาไม่หยุดหย่อนจนนางเกิดหวั่นใจ กระวนกระวายไม่เป็นสุข
ซูหลินในวันนี้ถูกคนท้าทายยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า ความอดทนใช้หมดไปนานแล้ว เขาไม่บีบคั้นนางต่อ แต่สายตาเย็นเยือกตวัดไปทางจื่อซวี่แทน เอ่ยว่า “นางไม่พูดเจ้าก็พูดสิ อย่าได้ทดสอบความอดทนของข้าอีก ไม่อย่างนั้น… ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้้ พวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอทุกคน ใครหน้าไหนก็แบกรับไม่ไหวทั้งนั้น!”
จื่อซวี่เป็นคนฉลาด
แขกเหรื่อที่รุมล้อมตกอยู่ในความเงียบด้วยบังคับไม่ให้ตัวเองเริ่มต้นกระซิบกระซาบ ทว่าดวงตากลับจดจ้องละครน่าสนุกที่เกิดขึ้นกะทันหันเบื้องหน้าอย่างไม่ยอมกระพริบตาสักครั้ง
จื่อซวี่สะดุ้งสุดตัว คิดแค่ว่าเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้วคงไม่มีทางให้ถอยกลับ สั่งน้ำมูกน้ำตาให้ไหลนองหน้าอย่างปวดร้าว โถมตัวใส่แทบเท้าของฉู่อี้หมิน คร่ำครวญออกมาเป็นคำว่า “ท่านอ๋อง! ท่านหญิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ! ท่านหญิง… ท่านหญิงนาง…”
จื่อซวี่พูดจาไม่เป็นภาษา
ฉู่อี้หมินได้ฟังดวงตาพลันพร่าเลือน พื้นใต้เท้าโคลงเคลงจนเกือบจะหงายหลังตกบันได โชคยังดีที่มีพ่อบ้านประคองด้านหลังเขาเอาไว้อยู่
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของฉู่อี้หมินคือลูกสาวอกตัญญูของเขาหนีงานแต่งงานไปแล้ว
ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอ ก็ได้ยินเสียงกระอึกกระอักของจื่อซวี่เล่าต่อว่า “ในเกี้ยวเจ้าสาว ที่ซื่อจื่อซูหามกลับไปเป็น เป็น… เป็นท่านหญิงรองเจ้าค่ะ!”
ฉู่อี้หมินเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ดวงหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เปลี่ยนสีสลับไปมาอย่างน่าชม
เวลาเดียวกัน ฝูงชนที่ทนเงียบมาได้เนิ่นนานก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ที่ระเบียงทางเดินด้านหลังพลันมีเสียงร้องสูงของสตรีดังลอยมา เป็นฉู่ฉีเหยียนกับชายาอ๋องหนานเหอที่เร่งร้อนเดินมาจากด้านหลังจวนพร้อมฝูงชนโขยงหนึ่ง
นางเดินปรี่เข้ามาหากระชากจื่อซวี่ให้ยืนขึ้น ดวงตาน่ากลัวจ้องจื่อซวี่เขม็ง เอ่ยเสียงเครือว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร? พูดอีกทีสิ? เจ้าบอกว่าอวิ้นเอ๋อร์เป็นอะไรนะ?”
“ท่าน…ท่านหญิงหายไปเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่เอ่ยทั้งน้ำตา “บ่าวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแต่ต่อมาภายหลังจึงได้พบว่าคนที่สวมชุดเจ้าสาวอยู่ในเรือนหอกลับเป็นท่านหญิงรอง”
“ไม่มีทาง!” จื่อซวี่ยังเล่าไม่จบดีก็ถูกเสียงแหลมปรี๊ดของสตรีอีกคนตวาดแว้ดใส่ หญิงงามวัยกลางคนแต่งหน้าเข้มจัดวิ่งออกมาจากด้านหลัง คุกเข่าลงพื้นแล้วดึงชายเสื้อคลุมของฉู่อี้หมินเอาไว้ “ท่านอ๋อง เป็นไม่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ!”
ผู้นี้ย่อมเป็นมารดาของฉู่หลิงซิ่ว แม่นางหลี่ที่ได้รับความโปรดปรานไม่เสื่อมคลายมาตลอดสิบกว่าปีในจวนอ๋องหนานเหอ
“ท่านหญิงรองเล่า?” คนแซ่เจิ้งเห็นดวงหน้านั้นก็นึกรังเกียจในใจ แผดเสียงกลับใส่ทันควัน
นางหยุดน้ำตา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปรอบด้าน บ่าวรับใช้ที่สบตาด้วยต่างส่ายหน้าตอบเป็นพัลวัน เป็นนัยว่าไม่มีใครรู้เรื่อง
คำพูดของจื่อซวี่ ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่แปลกใจเลยสักนิด
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป หากว่าไม่มีประเด็นจริงๆ มีหรือที่ซูหลินจะบุกมาอาละวาดถึงนี่?
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แต่ศักดิ์ศรีของเขาจะให้ใครมาเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด!
ดังนั้น…
แม้ตนเองจะป้องกันทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายก็ยังเกิดปัญหาขึ้นจนได้!
ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ข้างหลังกำแน่น ฉู่ฉีเหยียนพยายามควบคุมลมหายใจ เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับซูหลิน
“เรื่องนี้จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย บนดวงหน้ายังรักษาความสุขุมกับรอยยิ้มน้อยๆ ไว้ได้ ตบไหล่ซูหลินเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านหน้าเขาไปหาแขกเหรื่อ ประสานมือคารวะกล่าวว่า “ขออภัยต่อใต้เท้าและฮูหยินทุกท่าน จวนของพวกเรามีเรื่องภายในให้จัดการเล็กน้อย วันนี้ต้อนรับบกพร่องไป ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย!”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้มีใครบ้างเป็นคนเบาปัญญา
นี่เป็นการไล่แขกทางอ้อมน่ะสิ!
“ซื่อจื่อเกรงใจแล้ว เวลาล่วงเลยมาดึกดื่น งานเลี้ยงก็สมควรเลิกรา” มีคนรับบทต่อทันควัน “เป็นพวกเราที่มารบกวน เช่นนั้นขอตัวลาไปก่อน”
เมื่อมีคนนำ คนอื่นย่อมคล้อยตามอย่างไม่ติดขัด ต่างแยกย้ายบอกลากันไป
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งต่างไม่มีกะจิตกะใจแยแสเรื่องเหล่านี้
ฉู่ฉีเหยียนเดินไปส่งทุกคนถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง วุ่นวายอยู่เกือบครึ่งชั่วยามถึงส่งคนออกไปจนหมด
คนกลุ่มสุดท้ายที่ออกมา คือพวกของฉู่สวินหยาง
เพราะว่าฉู่เยว่เหยียนยังไม่ได้สติ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตา พวกเขาจึงรอจนเหลือเป็นกลุ่มสุดท้าย
สาวใช้รุ่นใหญ่บึกบึนอุ้มฉู่เยว่เหยียนออกมา มีฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีฮุยเดินตามอยู่ข้างหลัง
ฮูหยินใหญ่ที่รออยู่ในรถม้าไกลๆ รีบกุลีกุจอมารอรับ พลางกำชับว่า “ระวังหน่อย เดี๋ยวหัวจะโขกเอาน่ะ”
ช่วงบ่ายฉู่อี้อันถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวัง ดังนั้นผู้ที่อาวุโสสุดตรงนี้จึงเหลือเพียงนางคนเดียว
ฉู่เยว่หนิงที่อยู่บนรถช่วยสาวใช้รับตัวฉู่เยว่เหยียนที่ไร้สติเข้าไปพลางจัดที่จัดทางให้นาง
หน้าประตูใหญ่ ฉู่ฉีฮุยกับฉู่เยว่เหยียนกำลังกล่าวลากัน “วันนี้ก็เพิ่มความยุ่งยากให้จวนเจ้าไม่น้อย ข้าจึงขอลาเพียงตรงนี้”
บนหน้าของฉู่ฉีเหยียนมีรอยยิ้มบางๆ ทว่าสายตากลับมองผ่านเขาไปจดจ้องฉู่สวินหยางที่กำลังช่วยจัดการกับฉู่เยว่เหยียน
ถึงแม้จะไม่มีเบาะแสใดๆ ชี้ชัดถึงนาง แต่ว่าความรู้สึกเล็กๆ บางอย่าง คล้ายจะบอกว่านางสะบัดไม่หลุดแม้แต่เรื่องเดียว
“จะว่าไปเรื่องของท่านหญิงห้าก็เกิดจากปัญหาในจวนข้าเอง” นัยน์ตายากจะเข้าใจวาบผ่าน ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านจ่างซุนรีบส่งน้องสาวกลับจวนข้าย่อมไม่ขัดขวาง แต่ไม่สู้ทิ้งคนไว้ที่นี่สักคนหนึ่ง รอเรื่องราวตรวจสอบกระจ่างแล้ว จะได้ชี้แจงได้ถูก”
ฉู่ฉีฮุยอึ้งไป
ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอเกิดเรื่องไม่งามหน้าใหญ่โต แต่ปิดหูปิดตาผู้อื่นยังไม่ทันการณ์ ฉู่ฉีเหยียนกลับเชิญให้เขาทิ้งคนไว้ที่นี่?