สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 76 (4)
เอาคืน (4)
“ซื่อจื่อซู ข้าจวนอ๋องหนานเหอจะได้ประโยชน์อะไรจากการปั่นหัวเจ้า การทำร้ายผู้อื่นแล้วตนพลอยต้องเดือดร้อน ข้าจะทำไปทำไม?” ฉู่ฉีเหยียนอธิบาย พยายามรักษาท่าทีไม่ร้อนไม่หนาวไว้ทุกขณะจิต
หัวใจของซูหลินกระตุกเบาๆ มองเขาอย่างไม่วางใจสองที แต่เม้มปากอยู่ครึ่งวันก็ยังไม่ยอมเอ่ยความ
ฉู่ฉีเหยียนเห็นว่าอารมณ์เขาสงบลงบ้างแล้ว ก็รีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนโดยการเหลือบตาไปมองพวกจื่อซวี่ทีหนึ่ง ถามว่า “เล่ามาสิ สรุปเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นเขากระจ่างชัดแก่ใจ หากว่านี่เป็นฝีมือของนางจริงๆ เรื่องเก็บกวาดย่อมเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ดังนั้นฉู่ฉีเหยียนในเวลานี้จึงค่อนข้างจะวางใจ
จื่อซวี่กัดปากแน่น แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดในเรือนหออีกครั้ง
ฉู่ฉีเหยียนฟังไป หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กๆ สุดท้ายก็เงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือ… คนที่ถูกหามออกไปจากจวนอ๋องของเราตั้งแต่แรกก็คือหลิงซิ่วรึ?”
“ตั้งแต่ที่ท่านหญิงออกจากจวน บ่าวสองคนก็ตามติดไม่ห่างสักก้าว หากว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนี้ ก็คิดไม่ออกแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ว่าเจ้าสาวในเรือนหอจะเปลี่ยนเป็นท่านหญิงรองได้อย่างไร!” จื่อซวี่ตอบ
แม่นางหลี่ผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของฉู่หลิงซิ่วยืนอยู่ด้านหลัง หลายต่อหลายครั้งที่พยายามจะเปิดปากแก้ต่างแทนบุตรสาว ทว่าทุกครั้งก็ถูกสายตาตักเตือนของฉู่ฉีเหยียนกดดันเอาไว้ จึงได้แต่ละล้าละลังไม่กล้าออกหน้า
ฉู่ฉีเหยียนทำหน้าครุ่นคิด แล้วมองไปทางซูหลิน
ซูหลินสะบัดแขนเสื้อเกรี้ยวกราด
“ไม่ต้องมามองข้า เรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอ มีเพียงพวกเจ้าที่รู้ดีที่สุด เกี้ยวหลังนั้นถูกหามออกไปจากจวนอ๋องหนานเหอ ท่านอ๋องกับพระชายาไม่อาจให้คำอธิบายที่ชัดเจนแก่ข้าได้เลยรึ?”
เจ้าสาวอาจถูกเปลี่ยนตัวตอนอยู่ในเรือนหอ พวกซูหลินไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ เพียงแต่ว่า…
ทุกคนประเมินความบ้าบิ่นของฉู่หลิงอวิ้นต่ำเกินไป
เพราะความจริง…
นางใจกล้าบ้าบิ่นกว่านั้นมากนัก!
ถึงกล้าทำเลวอย่างไม่แยแสหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน!
เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะบังคับใครให้มาแต่งงานแทนทั้งๆ ที่ยังมีสติครบถ้วน และรับรู้ว่าสุดท้ายมีเพียงความตายรออยู่ ฉู่หลิงซิ่วคงจะเสียสติหากยอมร่วมมือกับนางโดยดี ดังนั้นนางจึงแอบเล่นลูกไม้ลับหลัง…
อย่างไรเสียตอนออกจากจวนก็ยังมีผ้าคลุมบังหน้าไว้ สุดท้ายขอเพียงนางยืนยันแน่วแน่ว่าคนๆ นั้นไม่ใช่นาง แล้วจะมีใครกล้าเถียง
ได้ฟังเรื่องเล่าของจื่อซวี่ ฉู่ฉีเหยียนก็พอจะจับทางแผนการของฉู่หลิงอวิ้นได้เกือบหมด หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ตลอดทางมีจื่อเหวยกับจื่อซวี่คอยเฝ้าไว้ตลอด หากจะเล่นอุบายอะไรคงเป็นไปได้ยาก เช่นนั้นปัญหาคงจะอยู่จวนอ๋องหนานเหอของเราจริงๆ”
ซูหลินร้องเหอะ ทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“แล้วอวิ้นเอ๋อร์เจ้าตัวล่ะ?” คนแซ่เจิ้งร้อนใจถามหา ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดจนไม่เป็นทรง
ฉู่ฉีเหยียนมองจื่อซวี่ด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้านึกให้ดีๆ ก่อนที่ท่านหญิงจะออกจากจวนมีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างไหม คนถูกสลับตัวไป อย่างไรก็ต้องมีเบาะแสทิ้งไว้บ้าง”
สองบ่าวมุ่นคิ้ว เค้นสมองเต็มกำลัง
ในที่สุดจื่อเหวยก็ยกมือปิดปากอุทานตกใจ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นขลาดกลัว เอ่ยว่า “บ่าวนึกออกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นช่วงเที่ยงวัน คล้อยหลังหลังจากที่พระชายาแวะไปดูท่านหญิง ท่านหญิงรองก็มาถึง บอกว่ามาขอโทษที่ตอนเช้าทำผิดต่อท่านหญิง ซ้ำยังบอกว่าท่านหญิงจะแต่งออกไปแล้ว พี่น้องอยากจะคุยความในใจต่อกัน จึงไล่พวกบ่าวทุกคนออกมา ตอนที่พวกบ่าวกลับเข้าไป ผ้าคลุมหน้าของท่านหญิงก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าถึงเวลามงคลพอดี จึงไม่ได้คิดมาก หรือว่าจะเป็นตอนนั้น…”
ความจริงฉู่หลิงซิ่วไปที่นั่นก่อนคนแซ่เจิ้งเสียอีก แต่ที่ฉู่หลิงอวิ้นกล้าให้เอ่ยวาจาเช่นนี้ ก็เพราะคำนวณไว้แล้วว่าไม่มีใครเปิดโปงความจริงข้อนี้ได้
ส่วนตอนเช้าที่ฉู่หลิงซิ่วไปหาเรื่องฉู่หลิงอวิ้นนั้นทุกคนก็เห็นครบกันหมด นางจะบอกปัดอย่างไรก็ปัดไม่พ้น
ดังนั้น ทั้งแรงจูงใจและเหตุผลต่างก็ชัดเจนทั้งสิ้น
ฉู่สวินหยางทำเหมือนว่าชมละครเรื่องหนึ่งอยู่ เอาแต่ยิ้มแย้มไม่เอ่ยปากตลอดการรับชม
คนแซ่เจิ้งยิ่งร้อนใจ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปมาด้วยความวิตก “เจ้าพูดเช่นนี้ อวิ้นเอ๋อร์ถูกนาง…”
นางพูดเองก็หวั่นใจเอง จึงไม่กล้าเอ่ยคำต่อจากนั้นจนจบ รีบโบกมือเป็นพัลวัน ร้องเสียงสูงว่า “ป้ากู้ มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบส่งคนออกตามหาอีก วันนี้คนเข้าคนออกทั้งวัน นางคงไม่สามารถส่งคนออกไปโดยไม่มีคนรู้เห็นได้ อวิ้นเอ๋อร์จะต้องยังอยู่ในจวนนี้แน่ๆ”
คนแซ่เจิ้งก้าวผ่านธรณีประตูออกไปเป็นคนแรก
ฉู่ฉีเหยียนลุกขึ้น และตามนางออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ พี่หญิงอันเล่อก็น่าสงสารยิ่งนัก”
พูดไปพลางหันไปกล่อมซูหลินว่า “ซื่อจื่อซู ดูท่าพี่หญิงอันเล่อจะถูกคนอื่นบีบบังคับ หาใช่ทำไปเพราะเจตนา ขอเจ้าใจกว้างกับนางหน่อยเถอะ”
ซูหลินมองนางด้วยสายตาทิ่มแทง ไม่รับความปรารถนาดีเลยสักนิด
ฮูหยินใหญ่กุมมือของฉู่สวินหยางพลางเอ่ยว่า “พวกเราตามไปดูหน่อยเถอะ อาจจะพอช่วยค้นหาได้”
ฮูหยินใหญ่เป็นคนไหวพริบดี ทันทีที่เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นแดงขึ้น นางก็เข้าใจทุกอย่าง…
อีกฝ่ายวางแผนจะเล่นงานลูกสาวของนาง
ต่อให้วันนี้ฉู่สวินหยางจะยืนดูยิ่งเฉยไม่แทรกแซง นางก็ไม่ถือสาที่จะราดน้ำมันลงกองไฟให้ลุกโชนแผดเผา ยิ่งกว่านั้น…
ตามความเข้าใจที่นางมีต่อฉู่สวินหยาง นางไม่เชื่อหรอกว่าฉู่สวินหยางจะยอมปล่อยคนที่บังอาจมาแตะต้องวังบูรพาให้ลอยนวลไปง่ายๆ
ทันทีที่ขบวนคนเคลื่อนตัวออกไป ซูหลินก็เริ่มนั่งไม่ติด หัวใจโต้แย้งกันสักพัก สุดท้ายก็สะบัดชายเสื้อแล้วสาวเท้าตามออกไป
แม่นางหลี่เวลานี้เพิ่งจะมีโอกาสออกหน้า โถมตัวคุกเข่าดังตุบเบื้องหน้าฉู่อี้หมิน เอ่ยเสียงโศกว่า “ท่านอ๋อง ซิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ นางไม่ใช่เด็กไร้ความคิด เรื่องนี้ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ท่านต้องเป็นพยานให้นางด้วยนะเจ้าคะ!”
ฉู่หลิงซิ่วยังไม่กลับมา เห็นชัดว่าคนถูกซูหลินกุมตัวเอาไว้
ฉู่อี้หมินเดือดดาล เตี่ยนชุ่ยที่กลมกลืนอยู่กลางฝูงชนเดินเข้ามาลูบอกให้เขา พลางเอ่ยเสียงหวานด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ท่านอ๋องโมโหไปก็ไร้ประโยชน์ ความจริงไม่ว่าจะเป็นท่านหญิงใหญ่หรืองท่านหญิงรอง ตาม
ความเห็นของบ่าว ที่ซื่อจื่อซูไม่ได้แบกคนกลับมาคืน ก็คือการยอมถอยให้แล้ว นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ!”
ฉู่อี้หมินรีบชั่งน้ำหนักในใจอย่างไวว่อง พลันคลายความเครียดไปได้หลายส่วน จู่ๆ ก็ลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกนอกโถงไป “ข้าก็จะไปดูสักหน่อย!”
แม่นางหลี่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น ต่อมาเมื่อได้สติ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความยินดี…
จริงด้วย ฟ้าดินก็ไหว้ไปแล้ว ฉู่หลิงซิ่วแม้จะไม่ใช้บุตรีสายหลัก แต่ก็เป็นท่านหญิงสูงศักดิ์ในราชนิกุล ตอนนี้เท่ากับว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก วาสนาอันประเสริฐปานนี้ แต่ก่อนแม้แต่วาดฝันก็ยังไม่กล้า
เมื่อเป็นดังนั้น สายตาของแม่นางหลี่ก็เป็นเปล่งประกายยินดี ไม่เศร้าสร้อยเหมือนดังเก่า แม้แต่เอวยังหยัดเชิดขึ้นหลายส่วน
เตี่ยนชุ่ยยืนอยู่ข้างหลัง แสยะยิ้มเย็น
แม่นางหลี่ผู้นี้ใช้เชิดหน้าชูตาไม่ได้เสียเลย เรื่องแค่นี้ก็ยังขบคิดไม่แตก…
ซูหลินหลงฉู่หลิงอวิ้นอย่างโง่งม เมื่อเรื่องราวดำเนินมาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ความรับผิดชอบทั้งหมดจะถูกผลักมาให้ฉู่หลิงซิ่วเลย ตราบใดที่ฉู่หลิงซิ่วยังอยู่ในจวนสกุลซู ก็เท่ากับการตอกย้ำซูหลินทุกวันทุกเวลาว่าจวนอ๋องหนานเหอหลอกลวงเขา ไม่ใช่แค่ฉู่หลิงซิ่ว แม้แต่จวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดก็ต้องกลายเป็นศัตรูของสกุลซูไปชั่วชีวิต
เช่นนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ของคนแซ่เจิ้ง ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำก็ตามแต่ สุดท้ายฉู่อี้หมินก็ต้องเอาความเกรี้ยวกราดไปลงที่นาง นั่นถือเป็นการตัดปีกคนแซ่เจิ้งไปโดยปริยาย
ซิ่งเอ๋อร์เห็นนางหัวเราะแปลกๆ ลองเปิดปากถามว่า “แม่นาง เป็นอะไรหรือ?”
“เปล่าหรอก! ไปเถอะ พวกเราก็ตามไปดูหน่อย” เตี่ยนชุ่ยตอบ รวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายแล้วรีบสาวเท้าไปติดๆ
ขบวนคนเคลื่อนตัวไป สถานที่แห่งแรกย่อมเป็นเรือนของฉู่หลิงอวิ้น
ก่อนที่ทุกคนจะผ่านเข้าประตูไป บ่าวของฉู่ฉีเหยียนที่แอบแทรกตัวปะปนกับผู้คนอย่างเงียบเชียบ ลอบส่ายหน้าให้เขาอย่างคลุมเครือ…
เมื่อครู่เขาได้รับคำสั่งจากฉู่ฉีเหยียน ให้ลองค้นหาภายในจวนทั้งหมด ตามหลักแล้ว ในเมื่อฉู่หลิงอวิ้นจะเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะซ่อนอยู่ในเรือนตัวเอง
แต่ว่ากลับหาตัวคนไม่เจอ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ฉู่ฉีเหยียนเหม่อลอยชั่วขณะ สายตาพลันจ้องแผ่นหลังของฉู่สวินหยางที่เดินอยู่ข้างหน้าอย่างไม่ตั้งใจ
คนแซ่เจิ้งให้คนหารอบเรือนจนหมดแต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไร ขอบตาแดงก่ำอีกรอบ รีบพาคนไปหาจุดอื่นต่ออย่างไม่หยุดเท้า ทุกๆ ห้อง ทุกๆ เรือน ล้วนได้รับการตรวจสอบอย่างไม่มียกเว้น
ระหว่างทางฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ปริปากสักคำ เพียงแต่ดวงหน้าเย็นชาขมวดคิ้วแน่น บางทีก็หันไปมองฉู่สวินหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ฉู่หลิงอวิ้นตกไปอยู่ในมือนาง? แต่ต่อให้นางจับตัวฉู่หลิงอวิ้นไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
คนแซ่เจิ้งพลิกเรือนของจวนอ๋องหนานเหอทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไร้ผล กำลังจะกลับไปที่เรือนของฉู่หลิงอวิ้นอีกครั้งด้วยสติที่หลุดลอย
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่าง ม่านสีฟ้ากำลังถูกลากลงมาแทนที่อย่างช้าๆ นางรู้สึกหมดหวังสิ้นแรง หัวใจกระสับกระส่าย มีเพียงน้ำตาที่กลิ้งไหลลงมาไม่หยุด
ฉู่หลิงอวิ้นหายไปแล้วจริงๆ!
หรือว่าฉู่หลิงซิ่วจะใจดำอำมหิตลงมือทำร้ายนาง?
อย่างไรก็เป็นนางในดวงใจที่เฝ้ารักมาหลายปี ความโกรธแค้นในใจลดหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วเริ่มกลายเป็นความห่วงใยอย่างไม่รู้ตัว เบื้องหน้าเขาแต่ไกลคือเรือนของฉู่หลิงอวิ้น เขาพลันตัดสินใจของตัวกลับจวน
ทันใดนั้นเอง เท้าของคนแซ่เจิ้งที่เดินอยู่หน้าสุดพลันหยุดชะงัก ยืนตะลึงอยู่กับที่
อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น คล้ายว่าหิมะจะตก ท้องฟ้าทั้งผืนฉาบสีครึ้มเทาๆ ภายใต้บรรยากาศที่ควรจะเหน็บหนาวอ้างว้าง แต่ลมเหนือที่พัดผ่านกลับพาเสียงเสียดสีแปลกหูลอยติดมาด้วย
คนแซ่เจิ้งสีหน้าซีดเผือด
สาวใช้กับสนมรวมทั้งบุตรีสองสามคนที่อยู่หลังสุดของขบวนพลันหน้าแดงก่ำด้วยความกระอักกระอ่วน ต่างหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง
ซูหลินเพิ่งจะหมุนเท้าได้ครึ่งก้าวก็ชะงักกึก ยืนคล้ายก้อนหินสลักที่ตั้งตากลมหนาวยามรุ่งสาง เลือดร้อนๆ พลุ่งพล่านขึ้นหน้า เหมือนว่ากำลังจะระเบิดออกมาในไม่กี่วินาทีนี้
ไม่นานเท่าไร ท้องฟ้าสีเทาก็เริ่มมีหิมะโปรยลงมาอย่างช้าๆ
ฉู่ฉีเหยียนยืนกำหมัดนิ่งไม่ขยับ สายตาค่อยๆ เลื่อนไปมองดวงหน้าเสี้ยวหนึ่งที่ประดับรอยยิ้มเล็กๆ ของดรุณีน้อยซึ่งยืนอยู่หน้าเขา
ลมเหนือพัดปรอยผมนางปลิวไหว คิ้วตางดงามหมดจด นางค่อยๆ ยื่นแขนออกไปรับหิมะมาไว้ในมือ
จากนั้น นางก็หันหน้ามามอง เลิกคิ้วสูง แล้วยิ้มให้
รอยยิ้มนั้น เย็นเยือก
นี่คือจุดจบของของตั๊กแตนและจั๊กจั่น ที่ไม่รู้จักระวังนกกระจอกเหลือง!
————————————————————–