สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 77 (1)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (1)
เสียงครางหอบหนักของบุรุษ กับเสียงสะอื้นแผ่วที่แยกไม่ออกว่าสุขสมหรือเจ็บปวดของสตรี บางครั้งฟังชัด บางครั้งฟังเลือน
ลมเหนือหวีดหวิว บางครั้งก็ม้วนเอาเสียงติดมา ก่อนกลืนหายไปกับหิมะโปรย เพิ่มความอบอุ่นในวันที่อากาศเย็นเยือก
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด้านในเกิดกิจกรรมอะไรขึ้น
ที่น่ากลัวกว่านั้น…
แม้เสียงของสตรีจะฟังไม่ค่อยถนัด แต่สำหรับคนที่อาศัยในจวนอ๋องหนานเหอมาเนิ่นนานกลับไม่รู้สึกแปลกหู
เหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางศีรษะ
คนแซ่เจิ้งได้สติทันที ตวาดเสียงกร้าวว่า “ที่นี่หาไปรอบหนึ่งแล้วไม่เห็นเจอคน พวกเจ้าจะมายืนทื่ออยู่ตรงนี้อีกทำไม?”
น้ำเสียงของนางสูงแหลม ไม่ฟังสง่าเหมือนปกติทุกๆ วัน มีทั้งความร้อนรนและความเดือดดาลที่ไม่ปิดไม่มิด เสียงของนางดังมาก หนึ่งเพราะต้องการให้คนอื่นๆ แยกย้ายไปจากตรงนี้ สองคือคิดจะใช้มันร้องเตือนคนที่อยู่ในห้อง
“เอ่อ…เสียง…อืม…อะไร…” เสียงเคลิ้มฝันของสตรีขาดๆ หายๆ เหตุเพราะการสั่นสะเทือนที่กระตุ้นเร้ารุนแรง
“ไม่มี! เจ้าฟังผิดไป!” น้ำเสียงของบุรุษแหบพร่า ลมหายใจหอบกระเส่าแฝงความสุขสันต์และอิ่มเอม
สีหน้าของคนแซ่เจิ้งซีดเผือด ภาพเบื้องหน้าเลือนลางเหมือนจะลมจับ แม้จะมีป้ากู้ประคองไว้อยู่ แต่สองขาก็อ่อนยวบ ในสมองส่งเสียงอื้ออึงไปหมด
คนอื่นเงียบเป็นเป่าสาก หมุนตัวเตรียมแยกย้าย
เสียงในห้องนั้นทำให้ฝีเท้าที่หนักอึ้งของซูหลินยกขึ้นมาได้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในเรือนราวกับพายุ
“ซูหลิน!” ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด เพราะเมื่อครู่ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ฉู่สวินหยาง ถึงได้ช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่ตามไปถึงซูหลินก็ใช้เท้าถีบประตูที่ปิดแน่นของเรือนข้างเข้าไปแล้ว
เพราะว่าใส่แรงมากเกินไป ประตูไม่ได้เปิดออกตามปกติ แต่บานทั้งสองกลับหลุดออกมาจากกรอบ กองแอ้งแม้งให้เหยียบย่ำอยู่บนพื้น
เตียงหลังใหญ่อยู่ตรงกับประตูพอดี ม่านเตียงหนาสีเทาเข้มปิดร่วงลงมาเกือบครึ่ง เผยให้เห็นเค้าร่างชายหญิงที่เกี่ยวรัดกันอยู่ด้านหลังได้ลางๆ
“มันที่ไหนกล้าเรื่องเช่นนี้ ไสหัว…” บุรุษผู้นั้นกำลังอารมณ์พลุ่งพล่าน การเคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่ติดขัด หาได้สนใจมองโลกภายนอกสักนิดไม่ เพียงแต่คำรามเสียงเหมือนถูกขัดใจออกมา
เค้าร่างที่อยู่หลังม่านสะท้อนเข้าดวงตา ซูหลินถูกกระตุ้นจนดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือด สายตาของเขากวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกบานประตูที่ตนถีบจนหลุดขึ้นมา สาวเท้าพรวดๆ เข้าไปหา วาจาไม่เอ่ยกล่าว ก็ทุ่มมันใส่ศีรษะของคนผู้นั้น
เขาในตอนนี้ กลายเป็นเดรัจฉานที่ไร้ซึ่งสติ พลังที่ทุ่มลงไปจึงไม่ได้ยั้งไมตรี
คนที่อยู่บนเตียงไร้ความสามารถจะต้านทานโดยสิ้นเชิง ได้ยินเพียงเสียงกระแทก ก่อนตัวคนจะร่วงทับสตรีที่อยู่ใต้ร่าง เส้นผมหลังศีรษะค่อยๆ มีเลือดซึมไหลออกมา เมื่อหยดลงบนหน้าอกขาวผ่องของอีกฝ่าย ก็ยิ่งขับให้สีแดงเข้มขึ้นจนเหมือนดำ
ฉู่ฉีเหยียนข้ามธรณีประตูตามซูหลินไปติดๆ ทันทีที่เข้าไป กลิ่นหอมประหลาดบางเบาก็ลอยมาเตะจมูกทันที แต่วินาทีต่อมาก็ถูกลมหนาวพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจากหลังม่านเตียง
โลหิตอุ่นร้อนกระเซ็นถูกร่าง ดวงตาปิดปรือเพราะถูกอารมณ์หวามไหวครอบงำของฉู่หลิงอวิ้นถึงค่อยๆ ปรับชัด แสงภาพที่พร่าเลือนเชื่อมต่อเป็นเส้นที่สมบูรณ์
นางรู้สึกว่าหัวสมองหนักอึ้ง คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันที่พิสดารอย่างยาวนาน ขณะนี้มือเท้ายังไร้เรี่ยวแรง ทั่วร่างเหมือนถูกของบางอย่างบดกระแทก จนกระดูกแทบจะหัก
นางพยายามผลักวัตถุหนักอึ้งที่ทับอยู่บนตัวออกไป แต่ทันทีที่มือลูบไปโดนของเหลวร้อนๆ บนอก ถึงได้ยกนิ้วขึ้นมาดู สมองพลันสว่างวาบ ได้สติตื่นเต็มตาในที่สุด
นางเบิกตากว้าง พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ผลักคนที่ทับอยู่ออกไปไม่ไหว สุดท้ายจึงล้มลงบนเตียงอย่างเก่า
ฉู่ฉีเหยียนที่ผ่านประตูเข้ามาได้เห็นฉากนี้พอดี ภาพเบื้องหน้าเหมือนวูบดับ ยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของฉู่หลิงอวิ้นดังขึ้น เสียงแหลมสูงนั้นเหมือนจะดังทะลุไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
นางออกแรงทั้งหมดผลักคนบนตัวจนร่วงลงพื้น แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดกายอย่างลนลาน
ฉู่ฉีเหยียนสูดหายใจลึก สีหน้าเปลี่ยนสลับระหว่างสีขาวกับสีเขียวได้อย่างน่ามหัศจรรย์
“เหอะ…” จากนั้นซูหลินที่เข้ามาถึงเป็นคนแรกก็เงยหน้าหัวเราะกับฟ้า ดวงตากระจ่างจ้องเขม็งที่สตรีซึ่งกำลังตื่นตระหนกอยู่เบื้องหน้า ทว่าสายตานั้นไม่ได้หล่อเลี้ยงด้วยความอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย มันมีแต่เปลวเพลิงที่โชติช่วง มากพอจะแผดเผาให้คนที่ถูกมองเหลือเพียงเถ้าถ่าน
เขาจ้องฉู่หลิงอวิ้น มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย สุดท้ายก็ไม่มีเสียงหลุดออกมาสักแอะ เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วสาวเท้าพรวดๆ ออกนอกประตูไป
พวกคนแซ่เจิ้งยังคงยืนตะลึงอยู่ที่ลานด้านนอก ทันทีที่เห็นเขาพุ่งตัวออกมาราวกับพายุ ก็รุดจะเข้าไปขวาง แต่ก็ถูกซูหลินผลักออกอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
เขาเดินเร็วมาก ท่ามกลางเหมันต์หิมะหนาว ผ้าสะบัดเป็นเสียงฉับๆ แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดและโกรธแค้นทั้งหมดที่ฝังอยู่ก้นบึ้งในใจเขา
ฉู่สวินหยางพลิกหน้ามองตามแผ่นหลังทีเดินลับไป มุมปากยกโค้งขึ้นลางๆ คล้ายรอยยิ้ม…
ระหว่างจวนอ๋องฉางซุ่นและจวนอ๋องหนานเหอ ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีทางกลับมาญาติดีต่อกันได้อีก
ความจริงข้อนี้ ช่างเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งนัก!
ขณะที่ซูหลินเดินออกจากเรือนไปพร้อมไฟโทสะเต็มท้อง ฉู่อี้หมินที่ก่อนหน้านี้แวะไปหาคนที่เรือนฉู่หลิงอวิ้นแต่ไม่พบใครถึงได้กลับไปรอที่ห้องหนังสือ ทว่าคอยอยู่นานก็ยังไร้ข่าวคราว จึงคิดจะไปสมทบด้วยอีกครั้ง แต่พอเดินไปถึงสวนดอกไม้ก็เจอกับซูหลินที่คล้ายถูกไฟลนก้นเดินออกมาจากเรือนหลังพอดี
“ซู…” ฉู่อี้หมินรู้สึกถึงไอสังหารที่อบอวลรอบตัวเขาในทันที จึงสูดหายใจลึกก่อนเดินเข้าไปหา
“ท่านอ๋อง!” ซูหลินหยุดฝีเท้า กระตุกยิ้มเย็นแปลกๆ จนฉู่อี้หมินอดจะใจสั่นไม่ได้ ซูหลินไม่มีอารมณ์จะเอาความอะไรกับเขาอีก เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้สกุลซูไม่มีทางปล่อยผ่าน หวังว่าท่านอ๋องจะรีบหาคำอธิบายที่น่าพอใจให้ข้าได้! ขอตัว!”
จบคำ ก็ไม่เห็นการมีตัวตนของฉู่อี้หมินอยู่ในสายตาอีก สะบัดแขนเสื้อเดินหนี ทิ้งให้ฉู่อี้หมินยืนตะลึงนิ่งอยู่ตรงนั้น
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นคล้ายอาภรณ์ฟ้าที่ไร้ตะเข็บ
แม้แต่ก่อนหน้านี้ เขาก็เกือบจะหลงเชื่อในความใสซื่อของนาง
แต่เรื่องสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้าเขา…
บัดนี้ จะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
ฉู่หลิงซิ่ววางแผนเล่นงานนางบ้าบออะไร? เห็นตำตาว่านางคำนวณทุกอย่างไว้แต่แรก หลอกใช้ฉู่หลิงซิ่วเพื่อเลี่ยงการแต่งงานกับตน ก่อนจะแต่งออกไปกับผู้อื่นอย่างหน้าซื่อตาใส
ช่างเป็นการเดินหมากที่ได้ทุกอย่างสมปรารถนาดังใจเสียจริง!
นังแพศยา!
ที่แท้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็แค่ปั่นหัวเขาเล่น!
ส่วนเขา…
ก็เป็นเพียงตัวตลกให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ!
ซูหลินจากไปพร้อมไฟโทสะ เลือดในกายเดือดพล่านจนอยากจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง
ทางด้านเรือนของฉู่หลิงอวิ้น ป้ากู้กำลังพยุงคนแซ่เจิ้งให้เข้าไปด้านในห้อง
แสงในเรือนมีน้อย เพราะท้องฟ้ายังไม่สว่างทั่วแผ่น จึงมืดสลัวอยู่หลายส่วน
คนแซ่เจิ้งเข้าประตูไปก็เห็นฉู่หลิงอวิ้นนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงคล้ายหวาดกลัวและโกรธแค้น ทันใดนั้นก็เก็บกดอารมณ์ต่อไปไม่ไหวอีก กระโจนเข้าไปแล้วฟาดฝ่ามือลงบนหน้านาง ตะโกนด่าว่า “เจ้าไร้สติไปแล้วหรือไง?”
เมื่อครู่ตอนที่ทุกคนอยู่ในลานก็หาได้ได้ยินเสียงร้องขัดขืนของฉู่หลิงอวิ้น ทั้งก่อนหน้านี้ก็ค้นหาจนทั่วเรือนแต่ว่าไม่พบใคร ตอนที่ย้อนกลับมาถึงได้เจอฉากนี้เข้า
บวกกับบทสนทนาของทั้งคู่ตอนที่อยู่ในอารมณ์วาบหวามก็ชวนให้เข้าใจว่าพวกเขาจงใจ หลบเลี่ยงการค้นหา จากนั้นด้วยคิดว่าที่นี่คงจะไม่มีใครย้อนกลับมาอีก ถึงได้มาแอบมาทำอะไรๆ ในที่ที่อันตรายที่สุด ทางหนึ่งก็รอคอยให้เรื่องราวด้านนอกดำเนินไปตามแผน
ไม่ใช่ว่าคนแซ่เจิ้งไม่รู้จักนิสัยของฉู่หลิงอวิ้น แต่เพราะท่าทีของฉู่หลิงอวิ้นที่มีต่องานมงคลกับสกุลซูนั้นแข็งกร้าวจนเกินไป จนนางสงสัยแต่แรกแล้วว่าบุตรสาวของตนใช่หรือไม่ว่ามีใครอื่นอยู่ในใจแล้ว ถึงได้ไม่ยอมรับซูหลิน
ตอนนี้จับคนได้คาหนังคาเขา คนแซ่เจิ้งจะคิดเช่นนี้ก็หาได้แปลกอะไร
ฉู่หลิงอวิ้นถูกฝ่ามือของนางตบจนชาไปครึ่งหน้า ล้มไปกองอยู่บนเตียงด้วยไม่ทันตั้งตัว
นางคล้ายมึนงงไม่เข้าใจ ผ่านไม่สักพักถึงได้กุมหน้าแล้วหันกลับมามอง น้ำตาไหลพรากเป็นสาย เอ่ยว่า “ท่านแม่…”
นางไม่รู้ว่าต้องอธิบายให้คนแซ่เจิ้งฟังอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่าต้องอธิบายอะไรให้ฟังบ้าง เพราะสภาพของนางในตอนนี้ ก็เกือบจะทำให้นางเสียสติเต็มทน แม้แต่นางเองก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
นางไม่ต้องการอธิบายอะไรนั้นทั้ง! เพียงขออย่างเดียว…
ขอให้ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ!
————————————————————————