สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 77 (2)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (2)
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? มันเพราะอะไรกัน?
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสายตาซับซ้อนอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พักใหญ่ถึงได้ก้มตัวลงหยิบเสื้อผ้าบนพื้นโยนให้นาง จากนั้นก็หันหลังกลับเดินไปด้านนอก พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “รีบใส่เสื้อผ้าเสีย”
สติของฉู่หลิงอวิ้นถึงได้ค่อยๆ คืนกลับมา รับเสื้อผ้ามาใส่อย่างรีบร้อน
ฉู่ฉีเหยียนเดินออกมานอกห้อง เดิมคิดจะมุ่งหน้าไปหาฉู่สวินหยาง แต่พลันเหลือบไปเห็นว่าด้านนอกยังมีกลุ่มเงาดำคล้ายผีสางยืนออกันอยู่ เขาจึงได้แต่เปลี่ยนทิศทางอย่างจนปัญญา
ทุกคนในจวนอ๋องหนานเหอต่างรู้ฤทธิ์ของซื่อจื่อผู้นี้ดีว่าทั้งเข้มงวดและเด็ดขาดกว่าท่านอ๋องมาก วันนี้พวกเขาได้มารับรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ ในใจของทุกคนต่างกระอักกระอ่วน พากันกลั้นหายใจหลบสายตาเขาเป็นพัลวัน
“กฎระเบียบของจวนพวกเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น นอกจากสีหน้าไม่น่ามองเล็กๆ แล้ว อย่างอื่นยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้ทั้งหมด ทั้งน้ำเสียงก็หนักแน่นมั่นคงไม่เปลี่ยน “เมื่อวานในจวนจัดงานมงคล พวกเจ้าก็คงเหนื่อยล้าไม่น้อย เกิดอาการวิงเวียนตาลายไม่ใช่เรื่องแปลก กลับไปพักให้หมดเถอะ”
“เจ้าค่ะ! ข้า/บ่าวขอลา!” ทุกคนสะกดลมหายใจ แม้แต่หน้ายังพยายามไม่ให้เปลี่ยนสี พอย่อกายคารวะเรียบร้อยก็ล่าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ นอกจากเสียงรองเท้าปักที่เหยียบย่ำลงพื้นหิมะแล้ว ก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใดอีก
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้สนใจคนพวกนี้มากนัก หมุนตัวแล้วเดินกลับไปหาฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหน้า
เขาหยุดอยู่เบื้องหน้านางประมาณสองก้าว จ้องนางอย่างเงียบๆ
หิมะที่โปรยปรายอยู่กลางอากาศเหมือนถูกมือล่องหนคู่หนึ่งกวาดผ่าน ระหว่างคนทั้งคู่คล้ายมีปราการแกร่งกั้นขวาง แบ่งแยกออกเป็นสองโลกชัดเจน
“ฝีมือเจ้า?” ผ่านไปนาน ฉู่ฉีเหยียนถึงได้เปิดปาก วาจาคล้ายสอบถาม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“เพื่อให้จวนอ๋องหนานเหอกับสกุลซูแตกกัน?”
อากาศเย็นมาก แต่บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับหนาวเยือกยิ่งกว่าอากาศภายนอกเสียอีก
ฮูหยินใหญ่ยืนอยู่ด้านข้าง หัวคิ้วอดจะขมวดขึ้นไม่ได้
ฉู่สวินหยางมองหน้าฉู่ฉีเหยียนตรงๆ ต่อหน้าการไต่สวนของเขา นางก็ยังยิ้มได้อย่างปลอดโปร่งสบายใจ
“ในใจของซื่อจื่อกระจ่างใสดั่งกระจก รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใครถูกใครผิด และใครทุ่มเทไปมากน้อยเพียงใด คนที่รู้เรื่องดีทุกอย่างอย่างเจ้า ตอนนี้กลับยัดเยียดความผิดมาให้ข้าเช่นนี้นะรึ…” นางพูดไป หางตาก็เหลือบไปทางประตูที่พังราบของเรือนข้างอย่างเป็นนัย “ข้าแค่ใช้แผนการเดียวกันมาตลบหลังตอนจบก็เท่านั้น ส่วนความดีความชอบหลักๆ คงไม่กล้ายกให้ตัวเองทั้งหมดหรอก!”
ฉู่ฉีเหยียนถูกนางทำให้พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง กลางอกของเขาคล้ายมีความอึดอัดที่ไม่อาจระบายออกมาได้
“เจ้ายอมรับ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยปากในท้ายที่สุด จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเหลือเชื่ออยู่ดี
พวกคนที่เล่นลูกไม้เจ้าแผนการ ล้วนแต่มีกฎที่ไร้อารยะอยู่ข้อหนึ่ง แม้ว่าหลายครั้งที่อีกฝ่ายจะรู้แจ้งแก่ใจ แต่ถ้าดาบยังไม่จ่อถึงคอหอย ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางยอมรับ
ทว่าฉู่สวินหยางกลับยอมรับมันอย่างใจกว้างเปิดเผย!
นี่ไม่ใช่ลักษณะของนักปกครอง นิสัยเช่นนี้ของนาง เหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเหลิง ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
“ก็ใช่ ข้ายอมรับ แต่มันเป็นการมอบของขวัญคืนกลับไปก็เท่านั้น” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อ “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน สิ่งที่ข้าทำข้าย่อมรับผิด แต่เรื่องของฉู่หลิงซิ่วข้าไม่ได้เป็นคนทำ เรื่องของซูหลินก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าไปตามสืบเอาก็ได้ แต่อย่ามากล่าวหากันมั่วๆ ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนมีเหตุผล ต่อให้เรื่องลุกลามไปถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ข้าก็มีคำอธิบาย! ข้าไม่สนว่าเป็นจวนอ๋องหนานเหอหรือจวนอ๋องฉางซุ่น หลักการเดียวของข้าก็คือ…วังบูรพาจะต้องไม่ถูกเหยียบย่ำรังแกอย่างไร้สาเหตุ ไม่อย่างนั้น มันก็ต้องชดใช้ไม่น้อยไปกว่ากัน!”
นางลงมือกับฉู่หลิงอวิ้นจริง แต่ตาต่อตาก็ต้องเจอฟันต่อฟัน
ฉู่หลิงอวิ้นหาเรื่องใส่ตัวเอง ต่อให้เรื่องนี้ลุกลามจนไปถึงหูฮ่องเต้ ด้วยเพราะฉู่หลิงอวิ้นมีใจคิดเลวแต่เริ่ม สุดท้ายกรรมคืนสนองตัวเอง จะไปโทษใครได้เล่า!
สีหน้าของดรุณีน้อยเป็นอย่างที่เคย สงบนิ่งเหมือนสายน้ำ
ฉู่ฉีเหยียนมองดูความเปิดเผยที่แฝงความดุดันกลางหว่างคิ้วของนาง พลันรู้สึกว่าในฤดูที่หิมะร่วงโปรยเช่นนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยสีสัน
เมื่อก่อนเขารู้สึกเพียงว่าดรุณีน้อยผู้นี้โอหัง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความโอหังของสตรีก็แบ่งออกเป็นหลายแบบอย่างเช่นพวกบ้าอำนาจเอาแต่ใจอย่างฉู่หลิงอวิ้น พวกใจเหี้ยมไร้อารยะอย่างซูหว่าน พวกหยาบคายไร้สมองอย่างฉู่เยว่เหยียน หรือพวก…
โอหังและดุดันอย่างฉู่สวินหยางที่อยู่เบื้องหน้า!
ถึงจะโอหังไร้มารยาทอย่างไร ความรู้สึกที่ดรุณีน้อยทิ้งไว้กับผู้คนมีเพียงความตรงไปตรงมาและฉลาดเฉลียว แม้ว่าตอนนี้นางจะยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยวาจาประณามกันด้วยจุดยืนของศัตรู ทว่าสิ่งที่เขารู้สึกหาใช่ความเคียดแค้นที่มีต่ออริ แต่เป็นความนับถือที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม
“ก็ดี!” ฉู่ฉีเหยียนใจลอยไปเพียงชั่วขณะ รวดเร็วเสียจนไม่มีใครได้เห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในก้นบึ้งของดวงตาเขา จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก มือไขว้หลังแล้วยืดอกตรง เอ่ยว่า “ตามที่เจ้าต้องการ เรื่องนี้เป็นเพียงกิจภายในของข้าจวนอ๋องหนานเหอ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ!”
ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ความผิดนี้ ข้ายอมรับไว้ แต่อย่าได้คิดจะใช้เรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือบีบคั้น เพราะว่าหากยังยื้อยุดกันต่อไป สุดท้ายผู้ใดจะแพ้ชนะก็สุดรู้!
“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งแล้ว!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า นิ่งไปสักพักถึงเอ่ยต่อว่า “ซื่อจื่อยังมีภารกิจต้องสะสาง ข้าไม่ขอรบกวน ในเมื่อพวกเราสองฝ่ายต่างมีสิ่งให้คำนึงถึง เช่นนั้นเรื่องของน้องห้า ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องขุดคุ้ยแล้วกระมัง?”
แม้สิ่งที่ฉู่เยว่เหยียนทำจะไม่ได้ส่งผลกระทบจริงจังกับใคร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายทั้งสิ้น
“แน่นอน!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้ารับ
“ขอตัว!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้น้อยๆ กำลังจะหมุนตัวจากไปพร้อมกับฮูหยินใหญ่ ฉู่อี้หมินพลันปรากฏตัวขึ้นที่ลานด้านนอกพร้อมกับความเดือดดาล
ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ย่อกายคารวะเขา สองฝ่ายต่างไร้อารมณ์จะทักทายตามมารยาท ถึงได้ปลีกตัวแยกออกไป
“ท่านพ่อ!” ฉู่ฉีเหยียนสูดลมหายใจลึกแล้วเดินขึ้นไปรับหน้า
ฉู่อี้หมินมองดูบรรยากาศตึงเครียด หัวใจพลันเย็นวาบอย่างไม่รู้สาเหตุ คล้ายว่าเบื้องหลังฉากหิมะสีขาวที่โปรยปรายกำลังมีเรื่องน่ากลัวบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? ซูหลินออกจากจวนไปแล้ว…” ฉู่อี้หมินเอ่ย
ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะขื่นทีหนึ่ง ตอบเสียงจริงจังว่า “เกิดเรื่องแล้ว!”
ฉู่อี้หมินใจกระตุกวูบ คล้ายได้ยินเสียงดังลอยมาจากเรือนข้าง จึงผลักเขาออกแล้วซอยเท้าฉับๆ เดินเข้าไป
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ห้ามเขา เรื่องนี้เดิมก็ไร้ทางจะปิดบัง จึงได้แต่เดินตามหลังไป
ทันทีที่ฉู่อี้หมินก้าวเข้าไปก็ตกใจจนฝีเท้าซวนเซ เกือบจะหงายหลังล้มตึง ร่างท้วมสมบูรณ์ชนเข้ากับวงกบประตู ดวงหน้ากลายเป็นสีตับหมูในพริบตา
คนแซ่เจิ้งเห็นเขาก็รีบเข้ามาขวางด้วยดวงหน้าไร้เลือด พลางกล่าวเสียงร้อนรนว่า “นายท่านฟังข้าพูดก่อน…”
ทั่วร่างของฉู่อี้หมินเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ยกแขนสะบัดนางทิ้ง แต่ก็ถูกฉู่ฉีเหยียนที่ตามมาข้างหลังคว้าเอาไว้ก่อน
ฉู่ฉีเหยียนมองฉู่หลิงอวิ้นที่ขดตัวอยู่บนเตียง ฟันบดกระทบกันเกิดเป็นเสียงกรอดๆ
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ เพียงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านพ่อ เรื่องเกิดไปแล้ว ตอนนี้ไม่อาจชักช้า ท่านรีบเข้าวังไปรับผิดจะดีกว่า แม้จะห้ามซูหลินไม่ได้ แต่ต่อหน้าพระพักตร์ มีท่านอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีกว่าให้พระองค์ฟังความจากเขาเพียงฝ่ายเดียว”
แน่นอนว่าซูหลินไม่อาจกล้ำกลืนความเดือดดาลนี้ลง ไม่เพียงเจ้าสาวถูกเปลี่ยนตัวในวันงาน ยังก่อเรื่องใหญ่โตถึงขนาดจับชู้ได้คาเตียง ถูกสวมหมวกใบเขียวประกายวิบวับในวันเดียวกันอีกด้วย…
นับแต่อดีตกาลมา คงจะมีเขาเป็นคนแรกกระมัง
ความอัปยศเช่นนี้ คงจะมากพอให้เขาทุ่มสุดตัวต่อสู้กับจวนอ๋องหนานเหอจนกว่าจะแหลกกันไปข้างหนึ่ง
ฉู่ฉีเหยียนรู้ชัดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ดังนั้นจึงไม่คาดหวังว่าจะให้เขาสงบใจลงได้ ตอนนี้ขอแค่สามารถผ่อนหนักเป็นเบา ส่วนปฏิกิริยาของฮ่องเต้จะเป็นอย่างไรนั้น…
เขาก็สุดจะรู้จริงๆ
แก้มของฉู่อี้หมินกระตุกไม่หยุด สายตาที่จ้องฉู่หลิงอวิ้นเหมือนกับมองคู่อาฆาตที่ชิงชังกันมาแต่ชาติปางก่อน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ใส่ใจ เอ่ยต่อไปอย่างสุขุมว่า “ท่านพ่อต้องจำไว้ให้ดี พี่ใหญ่ไม่ได้ทำเรื่องน่าอับอาย ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำอันโง่เขลาของฉู่หลิงซิ่วที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พี่ใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์!”
หากว่าถูกบีบจนไร้หนทางเมื่อไร ฉู่หลิงอวิ้นก็ต้องถูกสละทิ้งเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!
เวลานี้ ทันทีที่ฉู่หลิงอวิ้นถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการหลัก เรื่องราวทั้งหมดย่อมเปลี่ยนพลิก ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ดันทุรังทำผิดต่อไป ผลักทุกอย่างไปให้ฉู่หลิงซิ่วเสีย
บุตรสาวอนุที่ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเพราะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กับบุตรสาวชายาเอกที่วางแผนอย่างรอบคอบเพื่อขัดราชโองการ…
โทษใดหนัก โทษใดเบา ไม่จำเป็นต้องพูดมากความอีก!
————————————————————————