สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 77 (3)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (3)
ส่วนด้านฉู่สวินหยางนั้นยิ่งไม่อาจเอ่ยถึง เด็กคนนั้นพูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ใครบังอาจทำให้วังบูรพาต้องเสื่อมเสีย นางหาได้แยแสหากต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ถ้าขุดคุ้ยต่อไปจนพบว่าฉู่หลิงอวิ้นวางแผนเล่นงานวังบูรพา มีแต่จะกระตุ้นให้ฮ่องเต้พิโรธยิ่งกว่าเก่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงเกียรติยศของจวนอ๋องหนานเหอในราชสำนักในภายภาคหน้า
เรื่องราวหนักเบาฉู่อี้หมินล้วนประเมินได้ทั้งสิ้น แม้เวลานี้อยากจะฆ่าฉู่หลิงอวิ้นให้ตายเพื่อระบายความโกรธแค้น แต่เขาก็ไม่กล้าชักช้า รีบร้อนเตรียมตัวเข้าวังทันที
“ท่านพ่อ ช้าก่อนขอรับ!” ฉู่ฉีเหยียนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเรียกเขาไว้
จากนั้นก็สาวเท้าไปที่ข้างเตียง พลิกร่างเปลือยเปล่าของบุรุษที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาตรวจสอบทีหนึ่ง
ทันใดนั้น ดวงหน้าก็พลันเปลี่ยนสี
คนแซ่เจิ้งที่กำลังเกรี้ยวกราดรีบวิ่งเข้ามาดู แล้วก็ต้องตะลึงลานไปอีกครั้ง ชี้นิ้วใส่พลางเอ่ยเสียงเครือว่า “นี่… นี่…”
ฉู่หลิงอวิ้นสงบลงมากแล้ว แต่เพราะความจริงโหดร้ายเกินกว่าจะรับไหว นางจึงได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงด้วยสายตามืดมน
ตอนนี้เลื่อนสายตาไปมอง เดิมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชังก็กลายเป็นความหวาดกลัวในทันใด!
จางอวิ๋นเจี่ยน!
คุณชายรองแห่งจวนติ้งเป่ยโหว จางอวิ๋นเจี่ยน!
คนที่นางพิถีพิถันเลือกเฟ้น จอมเสเพลที่เตรียมเอาไว้ให้ฉู่สวินหยาง!
แล้วทำไม…
เพราะอะไร?
หรือว่า…
หัวใจของฉู่หลิงอวิ้นสะท้านสั่น
ตกตะลึงไปอีกครั้ง!
ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทางของนาง ในอกก็มีเปลวเพลิงโหมซัด พอจะคาดเดาความจริงของเรื่องราวได้บางส่วน
เขาไม่ได้ตำหนิฉู่หลิงอวิ้น เพียงหันไปเอ่ยกับฉู่อี้หมินด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้ม “เป็นคุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหว เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร ก็ตามใจท่านพ่อเถิด!”
ฉู่อี้หมินในตอนนี้เดือดดาลจนเลือดลมตีกลับ แต่ให้โมโหอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงถลึงตาใส่ฉู่หลิงอวิ้นอย่างน่ากลัว จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ฉู่ฉีเหยียนดึงผ้าห่มจากเตียงมาคลุมร่างเปลือยของจางอวิ๋นเจี่ยนเอาไว้
“ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งให้ซื่อจื่อซู แค่พูดออกมาตรงๆ ก็ได้ มีข้าอยู่ มีท่านพ่ออยู่ มีเสด็จย่าของเจ้าอยู่ อย่างไรก็ต้องมีทางออก” คนแซ่เจิ้งแม้จะแค้นใจแต่หัวใจก็ทดท้อ เอ่ยไปก็ทิ้งตัวนั่งลงที่ขอบเตียง ปาดน้ำตาทิ้งด้วยความรวดร้าว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง! ถึงได้ทำเรื่องพรรค์นี้ เจ้า… เจ้า…”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” ฉู่หลิงอวิ้นกรีดร้องเสียงแหลมออกมา โถมตัวเข้าไปเกาะแขนของคนแซ่เจิ้ง เล็บยาวคมเกือบจะจิกเข้าเนื้อ
ดวงตาของนางมีดวงไฟลุกไหม้ คล้ายมองเห็นดวงหน้าของคนที่นางขยะแขยงผ่านความมืดสลัวภายในห้อง ทางหนึ่งก็บีบแขนคนแซ่เจิ้งอย่างแรง อีกทางก็เค้นคำลอดฟันว่า “เป็นฉู่สวินหยาง! เป็นนังเด็กนั่น เป็นนางที่วางแผนทำร้ายข้า!”
คนแซ่เจิ้งอึ้งไป งุนงงอยู่สักพัก ในใจพลันเกิดความหวังริบหรี่ ใช้สายตาเป็นประกายมองมาที่นาง หลุดปากถามด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“จะอะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวเอง!” ที่ตอบนางกลับมา คือน้ำเสียงเยาะเย้ยแสนจะเย็นชาของฉู่ฉีเหยียน
เขามองฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีทั้งความเห็นใจหรือกล่าวโทษ มีเพียงการเย้ยหยันที่แสดงออกชัดเจน
สายตาแปลกประหลาดเช่นนี้ มองจนฉู่หลิงอวิ้นเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข
“เมื่อคืนวานข้าสั่งให้คนไปสืบแล้ว แต่เพราะมีคนมากจึงไม่อาจกระโตกกระตาก ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ก่อน” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย ดวงตาเย็นชายังจ้องฉู่หลิงอวิ้นไม่ละหนี “เจ้าสั่งคนให้วางยาสลบฉู่เยว่หนิงในเรือนพัก คิดจะส่งนางให้แต่งกับซูหลินแทนเจ้า ต่อมาผู้อื่นไม่หลงกล เจ้าเลยกลัวว่าหากไปยุ่งกับคนของวังบูรพาเข้าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ถึงได้คิดแผนใหม่โดยการหลอกใช้ฉู่หลิงซิ่วแทน เจ้าไม่คิดจะแต่งให้ซูหลินตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าก็ยังดั้นด้นคิดออกมาได้ ตอนนี้ขว้างงูไม่พ้นคอ เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น!”
คนแซ่เจิ้งยังฟังไม่เข้าใจ สายตาสงสัยย้ายไปมาระหว่างบุตรสาวบุตรชายทั้งสอง
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นถูกเปิดโปง จะมากน้อยนางก็รู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง นางกัดริมฝีปากแล้วหลบสายตาของฉู่ฉีเหยียน เอ่ยเสียงเย็น “ข้าเป็นพี่สาวเจ้า ตอนนี้ข้าถูกคนอื่นเล่นงาน เจ้ายังมาพูดจาเยาะเย้ยข้าอีก? ฉีเหยียน คำที่เจ้าพูดออกมาทำให้ข้าเสียใจจริงๆ!” ระหว่างที่พูด ความโกรธเคืองน้อยใจก็โถมใส่จนจุกอก นางสะอื้นไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า
คนแซ่เจิ้งหยุดคิดพักใหญ่ถึงได้เข้าใจเรื่องได้รางๆ ตบเตียงอย่างแรงแล้วลุกยืนขึ้น ตวาดเสียงดังด้วยดวงตาดุร้าย “ความหมายของเจ้าก็คือ นังเด็กจากวังบูรพาคนนั้น ลากสกุลจางเข้ามาก็เพื่อแก้แค้นเจ้า…”
พอสายตาเลื่อนไปมองจางอวิ๋นเจี่ยนที่สลบอยู่บนพื้น คนแซ่เจิ้งก็เหมือนถูกมีดกรีดเข้าตรงกลางใจ
บุตรสาวที่สูงศักดิ์และรูปโฉมงดงามเหนือใครของนาง ไฉนจึงถูกจอมเสเพลอย่างมันย่ำยีเอาเสียได้!
หากว่านางมิได้เกิดในตระกูลผู้ดี ได้รับการอบรมสั่งสอนถึงข้อห้ามและกฎเกณฑ์ต่างๆ นางคงจะทุบตีคนผู้นี้เป็นการระบายอารมณ์ไปแล้ว
ต่อหน้าฉู่ฉีเหยียน ฉู่หลิงอวิ้นก็เหมือนคนมีชนักติดหลัง ดังนั้น จึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ฉู่ฉีเหยียนหาได้ไว้หน้านาง เอ่ยต่ออย่างไม่อ้อมค้อม “หากไม่ใช่ว่านางไม่รู้จักประมาณตนคิดทำร้ายผู้อื่นก่อน มีหรือที่เรื่องจะมาถึงจุดนี้? เห็นชัดๆ ว่านางคิดจะใช้คนผู้นี้มาทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับถูกผู้อื่นซ้อนแผนตลบหลัง เพราะเหตุใดซูหว่านกับฉู่เยว่เหยียนถึงได้หมดสติอยู่ที่เรือนรับรอง? เด็กรับใช้ที่เรือนนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ท่านแม่ลองถามนางดูก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”
ความจริงไม่จำเป็นต้องให้ฉู่หลิงอวิ้นสารภาพ ตอนนี้เขาก็พอจะคาดเดาทุกอย่างได้หมดแล้ว
คนแซ่เจิ้งยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง หรือจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่านางไม่คิดแยแสเสียมากกว่า…
ฉู่หลิงอวิ้นจะไปทำร้ายใครนางไม่สนใจหรอก นางสนแค่ว่าบัดนี้บุตรสาวสุดที่รักของนางถูกคนเหยียบย่ำ ทั้งยังทิ้งปัญหาไว้เป็นกองให้คอยสะสาง
คนที่คิดร้ายกับบุตรสาวของนางต่างหากคือคนที่สมควรตายมากที่สุด!
ฉู่ฉีเหยียนรู้จักนิสัยของมารดาตนดี พอเลือดขึ้นหน้าก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาจึงไม่คิดจะกล่อมนาง เพียงยกเท้าถีบจางอวิ๋นเจี่ยนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น เอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาคนผิด คนในจวนคงไม่กล้าปากมาก แต่คนแซ่จางไม่ใช่สกุลชาวบ้านสามัญ ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องแก้ไขกันไป ท่านแม่รีบถือป้ายเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าเสด็จย่าเถอะ”
เขาพูดไป ก็อดจะเอ่ยคำออกมาด้วยความอึดอัดไม่ได้ “งานมงคลของพี่ใหญ่ ก็กำหนดไปเลยแล้วกัน!”
“ว่าไงนะ?” คนแซ่เจิ้งแม่ลูกมีปฏิกิริยาเหมือนกัน ร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่หลิงอวิ้นที่ถูกเขาต่อว่าอยู่ครึ่งวันแต่ก็อดทนไม่สวนกลับ บัดกลับกระโดดลงมาจากเตียงอย่างอดรนทนไม่ไหว ชี้นิ้วใส่จางอวิ๋นเจี่ยนที่อยู่บนพื้นเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกขำขัน “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม พูดจาเหลวไหลอะไร? ให้ข้าแต่งให้มัน? มันนับเป็นตัวอะไร? มัน…”
“หรือว่าพี่ใหญ่อยากถูกส่งไปบำเพ็ญตนที่วัดหลวง?” ฉู่ฉีเหยียนย้อนเสียงเย็น เอ่ยแทรกคำของนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ต่อให้เสด็จย่ารักเจ้าเพียงใด แต่เรื่องที่ทำให้ราชวงศ์ต้องด่างพร้อม พระนางคงจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่ หากจะจบเรื่องนี้ มีเพียงสองทาง จะเป็นทางไหนบ้าง ข้ายังต้องบอกเจ้าอยู่อีกไหม?”
แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดให้รู้กันแค่ในจวน แต่ก็มีคนนอกอีกสองคนที่รู้เรื่อง วิเคราะห์จากสถานการณ์ตอนนี้ ฉู่สวินหยางคงปิดปากเงียบแน่ แต่ไม่ใช่กับซูหลิน แม้เขาจะไม่ป่าวประกาศออกไปเพราะกลัวตัวเองเสียหน้า แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ก็ต้องเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดออกมาอยู่ดี
ถึงตอนนั้น…
สิ่งที่ฉู่หลิงอวิ้นจะต้องเจอ ก็คือความพิโรธของฮ่องเต้
จุดนี้ ฉู่หลิงอวิ้นมีหรือจะไม่เข้าใจ?
เดิมนางยังคิดจะต่อปากเถียง ได้ฟังเช่นนี้แล้วก็ถอยหลังซวนเซไปหลายก้าว ดวงหน้าขาวเผือด แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง เตียงไม้ที่อายุเก่าแก่ร้องลั่นเป็นเสียงเอี้ยดอ้าด
บรรยากาศในห้องเงียบเสียจนกลายเป็นความเย็นเยียบแข็งทื่อ
คนแซ่เจิ้งก็ไม่ปริปาก…
นางตัดใจให้บุตรสาวแต่งออกไปกับจอมเสเพลเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ
ฉู่ฉีเหยียนเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของสองแม่ลูก ก็นึกรำคาญอยู่ในใจ กำลังจะพูดต่อให้จบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังลอยมา เป็นหลี่หลินที่มายืนรออยู่หน้าประตู “ซื่อจื่อ ข้าน้อยมีเรื่องรายงานขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนมองสถานการณ์ในห้อง แล้วเดินออกไปอย่างไม่ลังเล ยืนอยู่ข้างประตูเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน
หลี่หลินสีหน้าอ่อนล้า บนร่างยังมีบาดแผลอีกสองแห่ง แม้ว่าจะไม่หนักหนา แต่ก็ทำให้คิ้วของฉู่ฉีเหยียนขมวดมุ่นได้
“ฝีมือใคร?” ฉู่ฉีเหยียนถาม
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่หลี่หลินเจอนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม คนที่ถ่วงเวลาเขาได้ทั้งคืน ซ้ำยังทำร้ายเขาได้ มีอยู่ไม่กี่คน
————————————————————————