สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 78 (1)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (1)
ฉู่อี้หมินรีบรุดเข้าวัง เทียบจากเวลาแล้วก็เกือบจะถึงพร้อมซูหลิน
คนหนึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนหนึ่งร้อนใจเหมือนถูกเพลิงแผดเผา
วังหลังเป็นเขตต้องห้าม หากฮองเฮาไม่ได้เรียกตัวก็ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้ามาเองได้ สองคนต่างใช้วิธีเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย แฝงตัวอยู่ในกลุ่มขุนนางที่จะเข้าประชุมเช้า ผ่านประตูเต๋อเซิ่งเข้ามา แล้วดักรอขบวนเสด็จของฮ่องเต้ที่เคลื่อนมาจากตำหนักใน
ฉู่อี้หมินมาช้าไปก้าวหนึ่ง เห็นแต่ไกลๆ ว่าซูหลินทิ้งเข่าตึงขวางทางเกี้ยวเสด็จของฮ่องเต้เอาไว้ แล้วประกาศเสียงก้องด้วยความคั่งแค้น “หม่อมฉันมาขอให้ฝ่าบาททรงเป็นพยาน!”
ฉู้อี้หมินร้อนใจดั่งไฟเผา หัวใจเต้นตุบๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าปรี่เข้าไปหา
ฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้ว ทั้งเกิดในครอบครัวทหาร โรคเก่าที่เหลือทิ้งไว้จากการลงสนามรบเมื่อตอนยังหนุ่มก็เริ่มกำเริบบ่อยขึ้นทุกที ร่างกายมีแต่ความเจ็บปวดรุมเร้า โดยเฉพาะในหน้าหนาวก็มักจะมีสติไม่ค่อยครบถ้วนนัก
เกี้ยวเสด็จหยุดลงแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่รู้สึกตัว
ดีที่หลี่รุ่ยเสียงตาไวรีบก้าวขึ้นไปกราบทูลด้วยเสียงเบานุ่ม “ฝ่าบาท ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกับท่านอ๋องหนานเหอมาขอเข้าเฝ้า บอกว่ามีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
เริ่มที่ฉู่หลิงอวิ้นขัดราชโองการ ตอนนี้ยังก่อเรื่องทำให้ราชวงศ์ต้องด่างพร้อย หัวใจของฉู่อี้หมินไม่อาจสงบสุข ถึงได้คุกเข่าก้มหน้างุด แต่ก็อดจะใช้หางตาเหล่มองไปทางเกี้ยวเสด็จเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของฮ่องเต้บ่อยๆ ไม่ได้
ซูหลินเหลือบตามามอง มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มดูแคลน ร้องเหอะใส่หนึ่งที
ทางด้านเกี้ยวเสด็จ ก็ต้องรอพักใหญ่ถึงค่อยได้ยินเสียง “อืม” ตอบกลับมาจากฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกับท่านอ๋องหนานเหอมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงทวนประโยคเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
ซูหลินกับฉู่หลิงอวิ้นเป็นคู่ที่ฮ่องเต้พระทานราชสมรสให้ ตามหลังแล้วเช้านี้ซูหลินควรจะพาชายาเข้าวังมาเพื่อโขกศีรษะแสดงความซาบซึ้ง เวลานี้กลับพาท่านพ่อตามาแทน
ไม่ต้องเดาก็พอรู้ คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
สองคนคุกเข่าขวางกลางขบวนเสด็จอย่างกระอักกระอ่วน เพราะถนนสายนี้ฮ่องเต้จะต้องผ่านมาทุกวัน ดังนั้นหิมะที่ทับถมจึงมีคนคอยเก็บกวาดอยู่เสมอ แต่พื้นกระเบื้องก็ยังเย็นเฉียบเพราะถูกหิมะแช่แข็งไว้ทั้งคืน คนทั้งสองล้วนมีร่างกายสูงส่งด้วยว่าเสพสุขจนเคยชิน คุกเข่าไปได้พักเดียวก็รู้สึกว่าสองขาชาหนึบ ทั้งหนาวทั้งเจ็บไปหมด
ม่านหนาสีเหลืองทองเคลื่อนลงมาบดบังสายตาของธารกำนัล บนรถม้า ฮ่องเต้หาได้ตรัสคำใด ผ่านไปครึ่งวันถึงได้ไอออกมาเสียงหนึ่ง ตรัสว่า “กลับห้องทรงอักษร!”
หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนเฉลียวฉลาด รู้ในทันทีว่าการประชุมเช้าจะต้องเลื่อนออกไป จึงเรียกขันทีคู่ใจให้ไปรายงานที่ตำหนักจินเตี้ยน ส่วนตนก็กลับไปที่ห้องหนังสือพร้อมกับขบวนเสด็จ
เกี้ยวเสด็จของฮ่องเต้นำอยู่เบื้องหน้า ซูหลินกับฉู่อี้หมินเดินตามอยู่เบื้องหลัง ระหว่างกลางถูกเว้นว่างอย่างห่างเหิน คล้ายว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีก
รอจนเกี้ยวถูกวางนิ่งบนพื้น หลี่รุ่ยเสียงก็สั่งให้ขันทีประคองฮ่องเต้เข้าไปด้านใน ส่วนเขาก็หมุนตัวกลับ ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ขันทีข้างกายอีกคน
ขันทีน้อยผู้นี้มองดูแล้วอายุแค่เพียงสิบสามสิบสี่เท่านั้น หน้าตาอ่อนเยาว์ ปากแดงฟันขาว เกิดมาได้หน้าตาน่ามอง ดวงตาทั้งสองสดใสเป็นประกาย เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามากระซิบข้างหู เล่าเรื่องคืนวานที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องหนานเหอให้เขาฟัง
หลี่รุ่ยเสียงฟังไป สีหน้ายังสุขุมราบเรียบตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นก็โบกมือให้ขันทีน้อยล่าถอยไป ก่อนจะตามเข้าไปด้านในห้องทรงอักษร
ฮ่องเต้ประทับอยู่หลังโต๊ะ ด้านนอกมีขันทีกำลังยกถาดน้ำชาเข้ามาอย่างไวว่อง
หลี่รุ่ยเสียงรับมา แล้วยกขึ้นถวายด้วยตนเอง
“ฝ่าบาท…” ซูหลินที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างเปิดปากขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
ฮ่องเต้จิบชาแล้วก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะตวัดสายตามอง
ฮ่องเต้ในพระชนมายุเท่านี้ มองออกชัดเจนถึงความชราภาพ ทว่าสายตากลับไม่ขุ่นมัวเลยสักนิด ยังคงเฉียบแหลมคมกริบ
ซูหลินพลันสะอึกในลำคอ เสียงขาดหายทันใด ตอนที่สมองกำลังขบคิดหาถ้อยคำมาเริ่มประโยค ก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบแฝงความนุ่มนวลของหลี่รุ่ยเสียงดังขึ้น บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานไปรอบหนึ่ง
เรื่องที่เขาเล่า ก็แค่บทละครที่ฉู่หลิงอวิ้นใช้เพื่อตบตาผู้คน
แม้จะเพียงเท่านั้น ก็มากพอให้จวนอ๋องหนานเหอได้รับโทษฐานทรยศราชวงศ์แล้ว
แต่ฮ่องเต้ก็ฟังไปอย่างเงียบเชียบ หาได้แสดงท่าทีประหลาดใจ
ซูหลินกับฉู่อี้หมินก็เงียบปากเช่นกัน ทว่าใบหน้ากลับเปลี่ยนสีไปมาอย่างไม่อาจควบคุม…
ฮ่องเต้หาได้ขุ่นหมองพระทัยเมื่อฟังเรื่องที่หลี่รุ่ยเสียงเล่าจนจบ นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือพระองค์จะทรงวางคนให้จับตาดูพวกเขาสองสกุลเอาไว้ คอยรายงายความเคลื่อนไหวทุกอย่างให้วังหลวงทราบอยู่ตลอดเวลา?
ประเด็นสำคัญคือ…
หลี่รุ่ยเสียงที่เป็นเพียงแค่หัวหน้าขันที กลับแทรกตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสำคัญเช่นนี้เสียได้!
สองคนได้แต่งงงันไม่พูดจา เวลานั้นได้ลืมไปเสียสนิทแล้วว่าตนเข้าวังมาด้วยจุดประสงค์ใด
ฮ่องเต้ฟังหลี่รุ่ยเสียงรายงานจนจบ ถึงได้เงยพระพักตร์ขึ้นมองสองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร? อยากให้ข้าถอนราชโองการ? ทำเหมือนว่าเป็นละครตลกฉากหนึ่งไหม?”
“หม่อมฉันสั่งสอนบุตรสาวไม่ดี ถึงได้ก่อเรื่องใหญ่โต ทำให้ราชวงศ์ต้องมัวหมอง ขอเสด็จพ่อลงโทษด้วย!” ฉู่อี้หมินรีบเอ่ยเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้มิใช่ว่ารับโทษทัณฑ์แล้วจะจบ สิ่งที่ต้องรีบทำเสียตอนนี้คือสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง” ซูหลินกล่าว สายตาเย็นชาจ้องไปที่เขา “ท่านหญิงรองเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ ท่านอ๋องคิดว่าอาศัยกำลังนางเพียงคนเดียว จะจัดฉากตบตาทุกคนได้ถึงเพียงนี้รึ?”
หากว่าไม่มีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นต่อจากนั้น เขาอาจจะทำใจเชื่อได้ ทว่าตอนนี้…
เขาเชื่อสุดหัวใจว่าต้องเป็นฉู่หลิงอวิ้นที่ไม่อยากแต่งงาน จึงร่วมมือกับจวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดแสดงละครฉากนี้ หลอกล่อเขาเหมือนกับเป็นลิงในละครสัตว์ตัวหนึ่ง
“หรือเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นคนยุยงอยู่เบื้องหลัง?” ฉู่อี้หมินโมโหจนหน้าแดงก่ำ ตวาดเสียงกร้าว “ซื่อจื่อ หลิงซิ่วนางยังเด็ก จริงอยู่ที่ข้าอบรมนางไม่ดี เจ้าอยากจะกล่าวประณาม ข้าก็จะเป็นคนรับเอาไว้ แต่อย่าได้ใช้วิธีกล่าวหาใส่ความกันเลย”
“กล่าวหาใส่ความ?” ซูหลินแค่นหัวเราะ ไม่คิดไว้หน้าเขา “ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส พวกเจ้าจวนอ๋องหนานเหอกลับกล้าเปลี่ยนคนซึ่งๆ หน้า ไม่ใช่ว่าข้าอยากสงสัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าสงสัยด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว พูดก็พูดเถอะ หากจวนอ๋องหนานเหอไม่ต้องการเกี่ยวดองกัน บอกกับซื่อจื่อข้ามาตรงๆ แต่แรกก็ได้ ทำอย่างกับว่าสกุลซูของข้าอยากจะจับพวกเจ้าจนตัวสั่น”
การเกี่ยวดองกับสกุลซูเป็นความต้องการของฉู่อี้หมิน จนปัญญาที่ฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ ครานี้เขาจึงน้ำท่วมปาก ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น แล้วร้องขอให้ฮ่องเต้ลงทัณฑ์ต่อไป
ฮ่องเต้ปล่อยให้คนทั้งสองทะเลาะกันไปไม่ห้ามปราม จิบน้ำชาอีกครั้งก่อนจะตรัสอย่างช้าๆ ว่า
“เช่นนั้นตามความคิดของขุนนางซู เรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไร?”
ตอนนั้นหัวใจของซูหลินมันอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา เขาเงยหน้าขึ้น ‘ถอนหมั้น’ สองคำเกือบจะหลุดออกจากปาก แต่พลันเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน
เขาไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับอารมณ์ของฮ่องเต้ชราผู้นี้จึงพอรู้อยู่บ้าง แม้ตอนนี้พระองค์จะแสดงออกว่าสงบเย็นเยือก แต่เบื้องหลังความสุขุมย่อมเป็นความพิโรธดั่งอสนีบาต
อย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นถึงราชนิกุลหญิง!
ลมหายใจของซูหลินกระตุกวูบ รีบแก้ประโยคของตนทันควัน “หม่อมฉันมิบังอาจ ทุกอย่างล้วนตามแต่น้ำพระทัย”
ฮ่องเต้ได้ฟังคำนี้ ถึงได้ยกมุมปากขึ้นคล้ายจะยิ้ม…
หากว่ามิบังอาจจริงตามที่พูด เขาคงไม่กล้ากระโดดขวางทางเกี้ยวของพระองค์โดยไม่สะทกสะท้าน
ผู้สืบทอดของสกุลซู ออกจะกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้วจริงๆ
“ซูหลิน งานแต่งนี้ เป็นเจ้าที่ร้องขอกับข้าต่อหน้าขุนนางเต็มท้องพระโรง” ฮ่องเต้ตรัส น้ำเสียงฟังแล้วเนิบนาบ แต่แฝงความบีบบังคับที่ไม่อาจปฏิเสธ แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน “ดังนั้นตอนนี้ เจ้าคิดจะตระบัดสัตย์? แล้วยังจะให้ข้ามาตามเช็ดล้างใช่ไหม?”
ซูหลินอึ้งไป พลันนึกขอบคุณบุรุษชุดดำที่เข้ามาขวางทางเขาไว้เมื่อคืน จนไม่อาจส่งฉู่หลิงซิ่วคืนจวนอ๋องหนานเหออย่างที่ตั้งใจไว้
แม้เขาจะไม่เห็นจวนอ๋องหนานเหออยู่ในสายตา ทว่าฮ่องเต้ทางนั้นมิอาจกระทำการลบหลู่
หากว่าเขาตัดสินใจส่งฉู่หลิงซิ่วกลับจวนอ๋องหนานเหอแล้วค่อยมากราบทูลตามหลัง นั่นเท่ากับเป็นการตบพระพักตร์ของฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัล ผู้ที่ขัดราชโองการจะไม่ได้มีเพียงจวนอ๋องหนานเหอ และจะหมายรวมถึงสกุลซูอีกด้วย
“กระหม่อมมิบังอาจ!” ซูหลินก้มศีรษะติดพื้น เป็นครั้งแรกหลังเกิดเรื่องที่รู้สึกขลาดกลัวจนเหงื่อแตก รีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันมิกล้ากระทำการอันไม่ภักดี ไม่เช่นนั้นคงไม่รั้งท่านหญิงรองไว้ในจวน คืนวานที่บุกไปถึงจวนอ๋องหนานเหอเป็นเพราะไม่ทันคิดให้รอบคอบ หาใช่เจตนาจะเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทเมตตา ปล่อยหม่อมฉันไปสักครั้ง”
ฮ่องเต้ได้ฟังวาจางดงามของเขาก็ไม่ได้เอ่ยปาก พลิกหน้าหันไปมองฉู่อี้หมิน “เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม บุตรเขยของเจ้าหาใช่คนจิตใจคับแคบ ในเมื่อแบกเกี้ยวไปผิดคน งั้นก็สลับตัวเสียใหม่ เรื่องแค่นี้ ยังต้องวิ่งโร่มากวนใจข้าด้วยรึ!”
ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสว่าแบกเกี้ยวไปผิดคน เช่นนั้นก็ถือเป็นเรื่องเข้าใจผิด จะไม่มีใครกล้าสงสัยเคลือบแคลงอีก
ฮ่องเต้เอ่ยจบก็วางถ้วยชาในมือแล้วลุกยืนขึ้น
ซูหลินเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ รีบยกศีรษะขึ้น เอ่ยว่า “ฝ่าบาท สลับไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“หืม?” ฝีเท้าของฮ่องเต้ชะงักกึก แล้วส่งสายตาอึมครึมไปทางเขา
เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาตามหน้าผากของซูหลิน แต่เพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่า จึงกัดฟันเอ่ยต่อไป “เรื่องเมื่อคืน ที่ขันทีหลี่เล่าไปเป็นเพียงแค่ส่วนเดียว แต่จะอย่างไร หม่อมฉันก็ไม่อาจแต่งกับท่านหญิงอันเล่อได้อีกแล้ว”
ฉู่อี้หมินร้อนตัวจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่ต่อหน้าเบื้องพระบาทจึงไม่อาจเข้าไปอุดปากของซูหลิน