สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 78 (3)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (3)
ฉู่สวินหยางทานอาหารกลางวันไปเพียงเล็กน้อย พอได้กลิ่นหอมโชยมาท้องก็ร้องโครกคราก นางหาได้รู้สึกอับอาย วางพู่กันไว้ที่ห่างออกไปแล้วถลกแขนเสื้อยื่นมือไปทางชิงเถิง เอ่ยพร้อมยิ้มตาหยีว่า “มีเพียงชิงเถิงเจ้าที่มีน้ำใจ รู้จักเป็นห่วงเป็นใยข้า!”
ชิงเถิงกลอกตาใส่นางอย่างเป็นปกติ แล้วถือถ้วยกระเบื้องเข้าไปหา
ฉู่สวินหยางนั่งดื่มน้ำแกงไก่อย่างหน้าชื่นตาบานอยู่หลังโต๊ะ ชิงเถิงยืนมองอยู่ด้านข้างอย่างจนปัญญา อยากจะเปิดปากพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ชะงักไปทุกที…
ท่านหญิงของนางก็เป็นเสียแบบนี้ นิสัยเหมือนกับเด็กๆ ที่ความคิดไม่ซับซ้อน แต่จะบอกว่านางไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ถูก เพราะทุกครั้งที่เจอเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวาน แผนการร้ายกาจแยบยลของนางก็ทำให้คนหวาดหวั่นในใจทุกครั้ง
ชิงเถิงได้แต่วุ่นวายใจอยู่ลำพัง ฉู่สวินหยางหาได้สนใจนาง เอาแต่ดื่มน้ำแกงไก่หอมฉุยอย่างเอร็ดอร่อย พอดื่มไปได้ครึ่งชาม ชิงหลัวก็เดินย่ำหิมะมาถึงที่ด้านนอกแล้ว
“ท่านหญิง!” ชิงหลัวผลักประตู ปัดหิมะบนเสื้อคลุมทิ้ง แล้วถึงค่อยก้าวข้ามประตูเข้ามา
ฉู่สวินหยางเห็นท่าทางของนาง ก็วางช้อนลงอย่างไม่รู้ตัว
ชิงหลัวเดินมาหา เริ่มประโยคด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังในทันที “คนของสกุลจางเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“หือ?” ฉู่สวินหยางค่อนข้างประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
หรือว่าฉู่ฉีเหยียนตกลงกับพวกนั้นไม่สำเร็จ?
“คนสกุลจางเข้าวังไปขอพระราชทานสมรสเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ แล้วอธิบายให้ละเอียดขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวมาว่า ตอนเช้าซื่อจื่ออ๋องหนานเหอเป็นคนไปส่งจางอวิ๋นเจี่ยนกลับจวนอย่างลับๆ ด้วยตนเอง เขาอยู่ที่จวนนั้นครึ่งชั่วยาม คงเป็นไปตามที่ท่านหญิงคาดการณ์ไว้ สองสกุลทำข้อตกลงกันอย่างลับๆ แต่ว่า…”
ชิงหลัวเล่าๆ ไปก็หยุดชะงัก หัวคิ้วขมวดเบาๆ เอ่ยต่อเจือเสียงทอดถอนใจ
“ตอนบ่ายจางอวิ๋นเจี่ยนตื่นขึ้นมา เหมือนว่าคนจะมีปัญหาบางอย่าง!”
“มีปัญหาอะไร?” ชิงเถิงดวงตาเป็นประกาย ถามอย่างกระตือรือร้น
ชิงหลัวมองฉู่สวินหยาง เอ่ยต่อด้วยอารมณ์สงบนิ่ง “ซื่อจื่อซูน่าจะลงมือหนักไปหน่อย ฟาดคนจนสติเลอะเลือน เห็นว่าฟื้นขึ้นมาก็โวยวายใหญ่โต แม้แต่ติ้งเป่ยโหวกับฮูหยินก็ลืมไปเสียหมด”
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
จางอวิ๋นเจี่ยนถูกซื่อจื่อซูฟาดบานประตูใส่จนปัญญาอ่อนไปแล้ว?
ข่าวที่ชิงหลัวนำกลับมาแน่นอนว่าต้องผ่านการตรวจสอบมาแล้ว เมื่อมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริงถึงจะรายงานต่อนางได้ ฉะนั้น เก้าในสิบส่วนคงไม่ใช่ข่าวลวงแน่ๆ
ยากที่จะเห็นฉู่สวินหยางเกิดอาการตะลึงไปพักใหญ่ ตอนที่ได้สติก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ประตูบานนั้นของซื่อจื่อซู ช่างกะกำลังได้แม่นยำเสียจริง”
ชิงเถิงเบะปากใส่อย่างเหยียดหยาม “เช่นนั้นท่านหญิงดีใจหรือว่าไม่ดีใจล่ะเจ้าคะ?”
ฉู่สวินหยางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? จะดีใจหรือไม่ต้องไปถามฉู่หลิงอวิ้นโน่นสิ”
ชิงเถิงเห็นนางแสร้งโง่งม ก็ออกแรงเตะเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ ค้อนขวับใส่นาง แล้วยกกระโปรงเดินหายไป
ชิงหลัวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ถึงได้พึมพำออกมาอย่างครุ่นคิดว่า “เกรงว่างานแต่งของท่านหญิงอันเล่อจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ไม่บอกปฏิเสธ
บุตรชายสกุลจางกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เพราะฉู่หลิงอวิ้นเป็นเหตุ มีหรือจะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้ลง?
อีกอย่างท่ามกลางตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง จางอวิ๋นเจี่ยนก็หาได้เป็นผู้มีชื่อเสียงดีงามให้กล่าวถึง ฉู่ฉีเหยียนเดิมก็เพียงต้องการกล่อมสกุลจางให้สงบ จุดประสงค์ก็เพื่อรักษาหน้าตาของฉู่หลิงอวิ้นกับจวนอ๋องหนานเหอก็เท่านั้น แต่มาถึงตอนนี้…
จางอวิ๋นเจี่ยนกลายเป็นปัญญาอ่อน หากไม่รีบตีเหล็กตอนยังร้อน ลูกสะใภ้ที่ถูกกำหนดตัวไว้ลับๆ อย่างฉู่หลิงอวิ้นคงได้บินหายไปในกลีบเมฆแน่
เช่นนั้น สกุลจางจึงไม่สนใจว่าใครจะขายขี้หน้าบ้างหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้…
คือต้องจับคนไว้ให้มั่นเสียก่อนจึงจะสบายใจ
เป็นเพราะประตูบานนั้นของซูหลินแท้ๆ เชียวเรื่องราวถึงได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
ฉู่สวินหยางนิ่งคิด ก่อนจะกำชับชิงหลัวไปสองประโยคว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่ง แต่จวนอ๋องหนานเหอทางนั้นต้องจับตาดูเอาไว้ คอยระวังการเคลื่อนไหวของฉู่หลิงอวิ้นสองพี่น้องไว้ให้ดี!”
ฉู่อี้หมินกับคนแซ่เจิ้งคงไร้หนทางจะพลิกสถานการณ์ได้อีก อย่างมากก็ทำได้แค่เข้าวังไปขอร้องหลัวฮองเฮา นางกังวลว่าฉู่ฉีเหยียนอาจทำอะไรเหนือความคาดหมายจนทำให้สถานการณ์เปลี่ยนพลิกอีกรอบ
“เจ้าค่ะ! บ่าวทราบแล้ว!” ชิงหลัวรับคำหนักแน่น ตวัดหมวกขึ้นมาใส่อีกครั้งก่อนจะวิ่งหายไปในฉากหิมะที่ไกลสุดตา
ฉู่สวินหยางยกชามน้ำแกงร้อนๆ ขึ้นมาดื่มต่อราวกับเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน
ทางด้านจวนอ๋องหนานเหอนั้นก็เป็นไปตามที่ฉู่สวินหยางคิดเอาไว้ ทันทีที่คนแซ่จางเข้าไปโวยวายในวัง ฮ่องเต้ที่โทสะยังไม่ทันจะสลายหมด ก็สั่งให้คนตามตัวฉู่อี้หมินที่เพิ่งจะหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ให้เข้าวังอีกรอบหนึ่ง
ฉู่ฉีเหยียนกลับมาจากจวนสกุลจาง ก็สั่งให้คนคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจวนนั้นไว้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเขาจะรู้ข่าวก่อนใครๆ กลัวเพียงว่าฉู่อี้หมินทางนั้นจะลุกลนจนทำให้ฮ่องเต้พิโรธยิ่งกว่าเก่า จึงตามเข้าวังไปด้วยกัน
คนแซ่เจิ้งร้อนใจเหมือนมดที่ถูกต้มในหม้อร้อน…
เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใครต่อใครคงรู้เรื่องระหว่างฉู่หลิงอวิ้นกับจางอวิ๋นเจี่ยนกันให้ทั่วไปหมดแล้ว
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเข้าวังไปพบเสด็จย่าของเจ้า เรื่องนี้ต้องพึ่งนาง นี่.. นี่มัน…” คนแซ่เจิ้งเดินวนไปวนมาราวกับแมลงวันไร้หัว ควบคุมสติไม่อยู่ ได้แต่กุมมือฉู่หลิงอวิ้นเป็นการปลอบขวัญ ไม่รอให้นางพูดอะไรก็กุลีกุจอไปเปลี่ยนชุดทางการแล้วเข้าวังไปทันที
ฉู่หลิงอวิ้นตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่นั่งสงบนิ่งราวกับไม่ใช่เรื่องตน ตอนนี้นางจ้องมองแผ่นหลังของคนแซ่เจิ้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จู่ๆ ถึงได้แสยะยิ้มออกมา
สาวใช้สองคนหันมาสบตากัน อดจะมองนางอย่างกังวลไม่ได้
“ท่านหญิง ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? คนแซ่จางไปฟ้องต่อหน้าพระพักตร์ ตอนนี้ฝ่าบาทก็กำลังพิโรธ…” จื่อซวี่รวบรวมความกล้า อึกอักพูดออกไป
“ทำอย่างไรดี? ถึงตอนนี้ถ้าข้าพูดไปว่าดีแล้วมันจะยังดีอยู่จริงๆ หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นเยาะเสียงใส่ การแสดงออกเช่นนี้กลับทำให้คนรู้สึกประหลาดใจนัก
หากเรื่องราวแพร่งพรายออกไป สุดท้ายจะแต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนหรือไม่ ชื่อเสียงของท่านหญิงอย่างนางก็ต้องย่อยยับป่นปี้อยู่ดี
สาวใช้ทั้งสองร้อนใจดั่งไปลน กระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ฉู่หลิงอวิ้นตวัดตามองทีหนึ่ง สั่งว่า “รีบไปหยิบชุดทางการมาให้ข้า ข้าจะเข้าวัง!”
“เอ่อ…” ทั้งสองคนหัวใจจะวาย มองนางด้วยความตื่นกลัว ผ่านไปครึ่งวันก็ยังไม่ยอมขยับ
อารมณ์ของฉู่หลิงอวิ้นในตอนนี้ ถ้าเข้าวังไปจะไม่อาละวาดจนพังพินาศหมดหรือ? ที่ผ่านมาก็แล้วไปเถอะ อย่างไรก็ยังมีฮองเฮาคอยให้ท้าย แต่ครั้งนี้คนที่นางไปยั่วโทสะคือฮ่องเต้เชียวนะ!
“ไปสิ!” ฉู่หลิงอวิ้นตวาดใส่อย่างโมโห เข้าใจดีว่าสาวใช้ทั้งสองคิดอะไรอยู่
“เจ้าค่ะ!” สองคนถูกเสียงตะคอกของนางทำให้ตกใจ รีบผลุบหายเข้าไปในห้องเพื่อตระเตรียมชุด
ทางด้านคนแซ่เจิ้งนั้นส่งป้ายขอเข้าเฝ้าถึงสองครั้ง หลัวฮองเฮารู้ในทันทีว่าเกิดเรื่องแล้วแน่ๆ จึงเรียกคนให้หาทันที พอฟังความของคนแซ่เจิ้งจนจบ ยังไม่ทันรอให้คนแซ่เจิ้งเอ่ยปากอ้อนวอน นางก็โมโหจนจุกอก เป็นลมไปก่อนเสียแล้ว
“ฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก คนในตำหนักโซ่วคังวุ่นวายแตกตื่น รีบให้คนไปตามหมอหลวง
คนแซ่เจิ้งห่วงพะวงแต่เรื่องฉู่หลิงอวิ้น แต่ก็ไม่อาจทิ้งหลัวฮองเฮาเอาไว้ไม่แยแส จึงทำได้เพียงข่มอารมณ์แล้วนั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียง
หมอหลวงเข้ามาจับชีพจรให้หลัวฮองเฮาก่อนจะควักยาน้ำออกมาขวดหนึ่งแล้วจ่อเข้าที่จมูกนาง รอจนนางได้สติจึงออกไปเขียนใบสั่งและต้มยาที่ด้านนอก
หลัวฮองเฮาเอนกายอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาเย็นเยียบจ้องคนแซ่เจิ้งที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง
คนแซ่เจิ้งถูกมองจนขนหัวลุก ทำทีเป็นซับน้ำตาเอ่ยว่า “เสด็จแม่ ท่านเห็นอวิ้นเอ๋อร์มาแต่อ้อนแต่ออด ที่ผ่านมาท่านอ๋องก็เฝ้าถนอมนางไม่ห่าง หาได้เคยประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้ จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ หากฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสจริงๆ มิใช่เป็นการเอาชีวิตของนางหรือเพคะ!”
นางร่ำไห้ปานจะขาดใจ หลัวฮองเฮาเพิ่งจะเป็นลมไปรอบหนึ่ง บัดนี้เริ่มหายใจติดขัด หัวสมองส่งเสียงอื้ออึงให้เป็นที่รำคาญยิ่งนัก
นางมองคนแซ่เจิ้งด้วยสายตาเย็นเยียบ “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”
คนแซ่เจิ้งพลันเบื้อใบ้ ไม่รู้ว่าจะต่อความอย่างไรดี
“จะโทษก็โทษที่เด็กนั่นไม่รู้จักอดกลั้น ปกติก็ดูเฉลียวฉลาดดี ข้าถึงได้เอ็นดูนาง เป็นถึงบุตรีสายหลักของจวนอ๋องหนานเหอ ถูกบุตรสาวของอนุแย่งสามีไปไม่พอ ยังถูกคนอื่นเล่นงานให้เป็นที่ครหา! จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเพราะนางไร้ประโยชน์เอง!” ฮองเฮาหลัวตอบ น้ำเสียงไร้ซึ่งความเอ็นดูให้ท้ายฉู่หลิงอวิ้นอย่างที่เคยเป็น
นางตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำเอาคนแซ่เจิ้งหัวใจกระตุกวูบ
“ตอนนี้เจ้ามาขอร้องข้า? มาขอร้องข้าให้ได้ประโยชน์อะไร? ผู้อาวุโสโหวแซ่จางเป็นขุนนางที่ทำศึกเคียงบ่าเคียง
ไหล่มากับฝ่าบาท เพื่อช่วยฝ่าบาทยอมแลกแม้กระทั่งชีวิต ตอนนี้พวกเจ้าไปล่วงเกินพวกเขา เจ้าจะให้ข้าไปพูดอะไรอีก?” ฮองเฮาหลัวเดือดดาล ตวาดเสียงสูงปรี้ด เห็นชัดว่าโมโหแล้วจริงๆ “ปฏิเสธคำขอของสกุลจางรึ? เจ้าจะให้ฝ่าบาทฆ่าโคเมื่อเสร็จศึกรึ? วาจาเนรคุณเช่นนี้ คงมีแต่เจ้าที่กล้าพูดออกมาได้!”
แม้ฮองเฮาหลัวจะเผด็จการเอาแต่ใจ แต่เป็นครั้งแรกที่ทรงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ต่อหน้านาง
คนแซ่เจิ้งหวาดกลัวจนตัวสั่น ละล่ำละลักว่า “มิกล้า! หม่อมฉันมิกล้า! หม่อมฉันเสียสติไปเอง คิดอะไรเหลวไหล!”
เวลานั้นก็เอาแต่คร่ำครวญในใจ ด่าทอฉู่หลิงอวิ้นกับฉู่สวินหยางสลับกันไปมา
ตอนนั้นเพราะฉู่หลิงอวิ้นคำนวณถึงเบื้องหลังเช่นนี้ของสกุลจาง ถึงเลือกใช้จางอวิ๋นเจี่ยนมาเล่นงานฉู่สวินหยาง เพราะถ้าเป็นคนอื่น อาศัยเพียงฐานะในราชสำนักของฉู่อี้อัน ขอแค่เขาพูดว่าไม่แต่งเพียงคำเดียว ก็สามารถพลิกฟ้าแก้สถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้ว
แต่กับสกุลจางนั้นต่างออกไป!
ผู้นำสกุลจางคนก่อนนามว่าจางคังเคยเป็นองครักษ์รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ติดตามร่วมรบทั้งเหนือใต้ ครั้งศึกเปลี่ยนราชวงศ์เมื่อสิบสี่ปีก่อน ยังสละชีพตนออกรับธนูแทนพระองค์ นี่ถือเป็นหนี้แห่งชีวิต ดังนั้น แม้ฐานะของสกุลจางจะไม่ได้สูงส่ง แต่หลังจากฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์โหวให้ ทว่าสกุลจางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า พอเริ่มมีหน้ามีตาอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ก็ย่อมโอหังอวดตนเป็นธรรมดา ยิ่งมีบุญคุณยิ่งใหญ่คอยอุ้มชู ฮ่องเต้จึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งทำมองไม่เห็นเสีย