สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 78 (4)
ผลลัพธ์มหัศจรรย์ของประตูไม้ (4)
วันนี้สกุลจางมาขอพระราชทานสมรส ทั้งเป็นข้อตกลงที่พูดคุยเอาไว้ก่อนหน้า ฮ่องเต้ย่อมจะตกปากรับคำอย่างไม่ต้องคิด
คนแซ่เจิ้งพลันรู้สิ้นหวังอย่างที่สุด ขาอ่อนยวบ ร่ำไห้อย่างรวดร้าวโศกศัลย์
“จะร้องหาอะไร?” หลัวฮองเฮายิ่งโมโหหนัก ตวาดใส่นาง “อยากร้องก็ไสหัวไปร้องที่จวนของเจ้า อย่ามาเกะกะขวางสายตาข้าตรงนี้”
หัวใจของคนแซ่เจิ้งกระตุกวูบอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองหลัวฮองเฮา…
ท่าทางของยายเฒ่าในวันนี้ถือเป็นสัญญาณที่อันตรายต่อนางยิ่งนัก เดิมทีฮองเฮายังไว้หน้าจวนอ๋องหนานเหอบ้าง ครึ่งหนึ่งก็เพราะฉู่หลิงอวิ้น บัดนี้นางทอดทิ้งฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ต่อไปวันข้างหน้า…
จู่ๆ ลูกคลื่นแห่งความขลาดกลัวก็เข้าจู่โจมหัวใจของคนแซ่เจิ้ง กลางอกชาหนึบ ลุกขึ้นถวายพระพรและถอยออกมาอย่างไม่กล้าปากมากอีก ป้ากู้ประคองแขนนางเดินออกมาด้านนอก ขาข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็เห็นแม่นมเหลียงที่ออกไปตรวจดูยาต้มที่ห้องครัวเดินสวนเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รายงานว่า “ฮองเฮาเพคะ ท่านหญิงอันเล่อเข้าวังมา นางไปที่ห้องหนังสือ ตอนนี้คุกเข่าอยู่ที่นั่นแล้วเพคะ”
คนแซ่เจิ้งเลือดแข็งไปทั่วร่าง หัวขวับไปมองหลัวฮองเฮาอย่างไม่รู้ตัว
หลัวฮองเฮาได้ฟังก็ได้แต่หงุดหงิดใจอีกครั้ง
เดิมนางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรนางก็เอ็นดูฉู่หลิงอวิ้นมาหลายปี เป็นหลานสาวที่นางรักใคร่กว่าใครๆ คิดแล้วก็ยากจะทำใจได้ ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ยันขอบโต๊ะหยัดตัวยืนขึ้น “เตรียมเกี้ยวเถอะ ข้าจะไปดูสักหน่อย!”
คนแซ่เจิ้งได้ฟัง พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก
นางกำนัลตระเตรียมเกี้ยวพร้อมพรัก สองคนพากันมุ่งหน้าที่ไปห้องทรงอักษร
เวลานี้ คนของสกุลจาง ฉู่อี้หมินและฉู่ฉีเหยียนต่างถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปพบด้านในห้อง มีเพียงฉู่หลิงอวิ้นที่เห็นชัดว่าผ่ายผอมลงไปมาก กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นกลางหิมะด้วยหลังที่หยัดตรง บนตัวของนางมีเพียงชุดทางการซึ่งบ่งถึงบรรดาศักดิ์ของตน เสื้อคลุมใดๆ ล้วนไม่มีสักชิ้น
ลานโอ่อ่ากว้างขวางหน้าตำหนัก มีเพียงร่างของนางที่คุกเข่าอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน มองจากที่ไกลๆ คล้ายว่าใกล้จะถูกหิมะห่าใหญ่ฝังกลบจนมิด
คนแซ่เจิ้งปีนลงมาจากเกี้ยว ขอบตาร้อนชื้นอย่างอดไม่อยู่ ทว่าคราวนี้นางระวังตัวต่อหน้าหลัวฮองเฮามากเป็นพิเศษ มิกล้าบุ่มบ่ามแม้แต่ครึ่งก้าว ร้อนใจเพียงใดก็ไม่ได้กระโจนตัวเข้าไปหา แต่กลับหันหลังเดินไปประคองหลัวฮองเฮาลงจากเกี้ยวด้วยตัวเอง
หลัวฮองเฮามองฉู่หลิงอวิ้นที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยโทสะ ก็เหือดแห้งไปสามส่วนอย่างรวดเร็ว นางถอนหายใจทีหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา
“เสด็จย่า!” ฉู่หลิงอวิ้นคุกเข่าได้พักหนึ่งแล้ว ดวงหน้าที่เคยงดงามสะดุดตาอยู่เสมอ บัดนี้เหลือเพียงสีซีดขาวด้วยความหนาวเหน็บ ทันทีที่เปิดปากพูดเกร็ดหิมะละเอียดที่เกาะอยู่บนขนตาพลันร่วงกราวลงมาด้วย
หลัวฮองเฮาใจอ่อนยวบทันที กำลังจะเอ่ยปากกล่อมนาง ประตูห้องหนังสือที่ปิดแน่นอยู่เบื้องหน้าพลันเปิดออกมาอย่างกะทันหัน หลี่รุ่ยเสียงที่ถือแส้ปัดอยู่ในมือเดินออกมาจากด้านใน
“หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา พระชายาอ๋องหนานเหอ!” หลี่รุ่ยเสียงย่อกายคารวะ หาได้มีท่าทีสอพลออย่างข้ารับใช้ทั่วๆ ไป มองแล้วช่างดูสุภาพและเหมาะสมอย่างยิ่ง
“อืม!” หลัวฮองเฮาพยักหน้ารับเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางประตูห้องหนังสือด้านหลังเขา “ฝ่าบาทยุ่งอยู่หรือ? ข้าเข้าเฝ้าตอนนี้สะดวกหรือไม่?”
จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ ทุกคนคงรู้แก่ใจดีโดยไม่ต้องป่าวประกาศ
หลี่รุ่ยเสียงเพียงตอบว่า “ขอฮองเฮาโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันจะเข้าไปกราบทูลก่อน!”
“อืม!” ฮองเฮาหลัวผงกศีรษะ
หลี่รุ่ยเสียงกดหน้าลงต่ำ แล้วหันไปเอ่ยกับฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านหญิงอันเล่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า!”
หัวใจคนแซ่เจิ้งบีบแน่น มองฉู่หลิงอวิ้นอย่างกระวนกระวาย อ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อย รู้แต่ว่าหากฉู่หลิงอวิ้นเข้าไปแล้ว มีแต่จะยั่วโทสะของฮ่องเต้ นางจึงร้อนใจยิ่งนัก
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้ามองหลี่รุ่ยเสียงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่กลับคุกเข่าอย่างผ่าเผยต่อไปไม่ยอมลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจริงใจว่า “ห้องทรงอักษรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สตรีอย่างอันเล่อไม่บังอาจกล้ำกราย ลำบากท่านหัวหน้าขันทีกราบทูลฝ่าบาทแทนข้าสักคำ จวนติ้งเป่ยโหวเป็นขุนนางผู้ภักดี อันเล่อเลื่อมใสมานาน ข้ายินดีแต่งให้คุณชายรองสกุลจาง ขอฝ่าบาทส่งเสริม!”
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่ตะลึงค้าง แม้แต่หลี่รุ่ยเสียงยังชะงักไปครู่หนึ่ง
แต่เขาคืนสติได้ก่อนทุกๆ คนตรงนั้น เพียงพริบตาเดียวก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ท่านหญิงคอยสักครู่ วาจาของท่าน หม่อมฉันจะทูลฝ่าบาทให้ทราบตามจริง!”
จบคำก็คารวะหลัวฮองเฮาและคนอื่นๆ อีกครั้งแล้วหมุนกายกลับเข้าไปในตำหนัก เสี้ยววินาทีที่พลิกตัว สายตาแหลมคมของเขาตวัดมองฉู่หลิงอวิ้นอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง ทว่ามันรวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น
คนแซ่เจิ้งปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างเกินจะกลั้น จิกเล็บลงกลางมือ บังคับไม่ให้ตัวเองปล่อยโฮ
หลัวฮองเฮายืนอึ้งอยู่นานกว่าจะได้สติ ดวงหน้าที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งเหมือนจะถูกสายน้ำแห่งวสันต์ละลายจนสิ้น นางยกมือขวาที่สวมปลอกนิ้วสีทองขึ้น แล้วแตะที่ไหล่ของฉู่หลิงอวิ้นเบาๆ
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้ามอง ส่งยิ้มซีดเซียวอ่อนแรงให้กับนาง
หลัวฮองเฮาส่งยิ้มกลับให้ด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
เมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว งานมงคลของจวนอ๋องหนานเหอกับจวนติ้งเป่ยโหวจึงจบลงอย่างราบรื่นจนน่าอัศจรรย์ใจ
แน่นอนว่า ไม่นับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไปทั่วทุกตรอกซอกมุมถนน
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ด้านนอกก็มีเรื่องเล่าเป็นจริงเป็นจังฉบับใหม่ พูดกันว่า…
ท่านหญิงรองจวนอ๋องหนานเหอมักใหญ่ใฝ่ได้ หลอกลวงพี่สาวของตน สวมรอยเป็นชายาซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่น
ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉางซุ่นหัวใจสลาย ต้องตัดใจจากท่านหญิงอันเล่อที่เฝ้ารักมานานปี สายรักกลายเป็นเงื่อนแค้น ระหว่างจวนอ๋องหนานเหอเหลือเพียงความชิงชัง การประชุมเช้าที่ท้องพระโรงหลายวันมานี้ สองฝ่ายต่างมึนตึงใส่กันราวกับแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน
ต่อมายังพูดอีกว่า คนไม่อาจตัดสินกันที่ภายนอก เล่าว่าคุณชายรองจอมเสเพลแห่งจวนติ้งเป่ยโหวบังเอิญเจอโจรร้ายปล้นชิงกลางถนน เพราะลงมือช่วยคน ตัวเองจึงต้องเจ็บหนัก เหลืออาการไม่สมประกอบทิ้งไว้ตลอดชีวิต
ประจวบเหมาะกับผู้ซึ่งถูกถอนหมั้นมาหมาดๆ จนกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างท่านหญิงอันเล่อ ท่านหญิงมีคุณธรรมสูงส่ง เสนอตัวแต่งเข้าจวนติ้งเป่ยโหว ถือเป็นการแสดงความจริงใจที่ราชสำนักมีให้แก่ขุนนางผู้ภักดี
ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อแก้ต่างที่ใช้บังหน้าเท่านั้น พอเชื่อมโยงเรื่องแปลกๆ พวกนี้เข้าด้วยกัน สุดท้ายก็แค่เรื่องชีวิตรักหนุ่มสาว คนก็ค่อยๆ เลิกพูดกันไปในที่สุด
สรุปง่ายๆ ในประโยคเดียวก็คือ…
จวนอ๋องฉางซุ่นกับจวนอ๋องหนานเหอกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ส่วนงานมงคลของท่านหญิงอันเล่อก็ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่หกของเดือนแรกแห่งปี แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ของจวนติ้งเป่ยโหว
รอจนข่าวนี้ถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงและเริ่มเงียบลง ก็มีข่าวที่ไม่ทราบที่มาหลุดออกมาอีกว่า คืนวันที่สิบหกเดือนสิบสองที่จวนอ๋องหนานเหอจัดงานมงคล เผอิญมีโจรร้ายบุกเข้าจวน จนเกือบจะทำให้ชื่อเสียงของท่านหญิงห้าฉู่เยว่เหยียนแห่งวังบูรพาต้องด่างพร้อย โชคดีที่ท่านชายรองแห่งจวนเสนาธิการฝ่ายพิธีการสกุลเหลยมาช่วยไว้ได้ทันเวลา กลายเป็นเรื่องเล่าแสนหวานของชายกล้าผู้พิทักษ์สาวงามไปเสียอย่างนั้น
เรื่องราวถูกตีไข่ใส่สี แม้กระทั่งเกิดขึ้นเกิดขึ้นที่เรือนใดห้องไหนก็ยังเล่าออกมาได้ราวกับตาเห็น
ข่าวซุบซิบพวกนี้ ย่อมมาถึงหูของฉู่สวินหยางอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางเพียงหัวเราะเหอะๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “สองพี่น้องนั่นเป็นคู่ปรับฝีมือดีที่หาได้ยาก ต่อไปจะประมือกันคงต้องระวังมากเป็นพิเศษ!”
ฉู่หลิงอวิ้นกล้าหาญเด็ดขาดถึงเพียงนั้นหรือ? ถึงได้เสนอตัวแต่งให้กับจางอวิ๋นเจี่ยน? ฉู่สวินหยางไม่เชื่อว่านางจะทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่นางทำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องคำนวณเส้นทางที่จะเดินต่อไว้หมดแล้ว เพียงแต่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่านางคิดจะทำอะไรต่ออีก
แน่นอนว่าความดีความชอบในการเกลี้ยกล่อมอ๋องหนานเหอกับชายาให้ยอมรับเรื่องนี้ คงต้องยกให้ฉู่ฉีเหยียนเต็มๆ
ฉู่สวินหยางเบื่อหน่ายเต็มทน มือหนึ่งถือเตาร้อน อีกมือหนึ่งก็เท้าตั่งยันขมับเอาไว้ คาดเดาความคิดของฉู่หลิงอวิ้นและอุบายที่นางจะใช้ต่อจากนี้ ทันใดก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก เป็นฉู่เยว่เหยียนที่นำขบวนสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่มาโวยวายอยู่ที่หน้าประตูเรือน
เรือนจิ่นฮว่าแห่งนี้ หาใช่ที่ที่นางนึกจะเข้าออกตามอำเภอใจ เมื่อนางเข้ามาไม่ได้ก็เอาแต่แหกปากร้องลั่นอยู่ที่ด้านนอก
“ฉู่สวินหยาง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามันคนชั้นต่ำใจทรามหน้าไม่อาย ออกมาคุยกับข้าให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”
ฉู่สวินหยางนวดหว่างคิ้วอย่างปวดศีรษะ คิดว่าปัญหาช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิด ถึงได้ห่มผ้าคลุมตัวใหญ่แล้วเดินออกไป
“นังคนสารเลว!” ฉู่เยว่เหยียนดวงตาแดงก่ำ พอเห็นนางออกมาก็ผลักหญิงรับใช้แก่คนหนึ่งให้พ้นทาง เงื้อมือขึ้นตะปบเข้าใส่ใบหน้าของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางมุ่นคิ้ว
นางกำลังจะลงมือ ทว่ากลับมีคนในชุดขาวหิมะพุ่งพรวดราวกับสายฟ้าเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ รูปมือคล้ายบุรุษนั้นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฉู่เยว่เหยียน