สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 79 แผนชายงาม (2)
แม้ฉู่ฉีเฟิงจะดูเหมือนว่ากลับมากะทันหัน ทว่าฉู่อี้อันรับรู้ถึงการเดินทางของเขาแต่ทีแรกแล้ว ฉะนั้นวันนี้จึงกลับมาถึงจวนเร็วกว่าปกติถึงสองชั่วยาม เวลานี้กำลังนั่งอ่านจดหมายราชการต่างๆ อยู่ที่ห้องหนังสือของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาคงไม่เรียกคนกลุ่มใหญ่เข้าไปด้านในทั้งหมด พ่อบ้านเฉิงเข้าไปรายงาน คนอื่นๆ ย้ายไปนั่งรอที่เรือนรับแขกข้างห้องหนังสือ ระหว่างนั้นฉู่ฉีฮุยพยายามจะอ้าปากพูดอยู่หลายครั้ง แต่ฉู่ฉีเฟิงทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ให้เขามีโอกาสตัดเข้าประเด็นเลย
ส่วนฉู่เยว่เหยียนที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่จิกตามองฉู่สวินหยางเหมือนกับไก่ แทบจะกลืนนางเข้าไปทั้งตัวเพื่อระบายความโมโห
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ฉู่อี้อันถึงสะสางกิจสำคัญในมือจนเสร็จ แล้วเดินเข้ามาในห้อง
“ท่านพ่อ!” ทุกคนรีบพากันลุกขึ้นแล้วทำการคารวะ
“อืม!” ฉู่อี้อันทำเสียงรับรู้เบาๆ ปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ได้หันมองใครมากเป็นพิเศษ เพียงเดินตรงเข้าไปนั่งอย่างน่าเกรงขาม
สาวใช้ยกชาให้เรียบร้อยแล้วก็ล่าถอยออกไปอย่างรู้ความ
ฉู่อี้อันถึงได้เบนสายตาไปมองฉู่ฉีเฟิง เอ่ยว่า “เข้าวังไปพบเสด็จปู่ของเจ้าแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงตอบ “เกี่ยวกับสถานการณ์ของค่ายทหารเมืองฉู่ในระยะนี้ มีหลายเรื่องที่แม่ทัพฮั่วฝากให้ลูกถวายรายงานแทน ลูกจึงเข้าวังไปเฝ้าพระองค์ก่อน!”
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่ออีก
ฉู่ฉีฮุยคอยลอบสังเกตและพิจารณาทุกการกระทำของฉู่อี้อันจากด้านข้างตลอดเวลา ไม่ยอมให้การเคลื่อนไหวหรือสายตาใดๆ หลุดรอดไปได้ เมื่อพบว่าท่าทีของเขาที่มีต่อฉู่ฉีเฟิงดูเป็นปกติ ถึงค่อยวางใจลงได้
เกี่ยวกับค่ายทหารทางนั้น ทั้งฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงสองพ่อลูกต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้เอ่ยถึงอีก เพียงแค่สอบถามเหตุการณ์ทั่วๆ ไประหว่างที่ฉู่ฉีเฟิงเดินทางกลับเมืองหลวง
ใจของฉู่เยว่เหยียนร้อนเป็นไฟ รอจนบทสนทนาของทั้งคู่จบลงก็เด้งตัวจากเก้าอี้แล้วเดินออกไป คุกเข่าหลังตรงแน่วเบื้องหน้าฉู่อี้อัน
“ท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อเป็นพยานให้ลูกด้วย!”
สายตาของฉู่ฉีฮุยเย็นเยือก ไอสังหารรุนแรงพุ่งออกจากดวงตา ตวาดใส่อย่างร้อนรนว่า “พูดเหลวไหลอะไร? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก!”
ฉู่เยว่เหยียนเดิมก็โทษว่าเขาไม่เข้าข้าง เวลานี้จึงจ้องตาตอบอย่างดื้อรั้นจากนั้นก็โขกศีรษะให้ฉู่อี้อัน กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านต้องเป็นพยานให้ลูก ชื่อเสียงของลูกกำลังถูกคนอื่นทำให้มัวหมอง หากท่านมองผ่านไม่จัดการ ลูก
ก็เหลือเพียงความตายเป็นหนทางเดียวแล้ว!”
ฉู่อี้อันเงยหน้ามองนาง ไม่เอ่ยถามอะไรสักอย่าง ฉู่เยว่เหยียนพลันหันไปชี้นิ้วใส่ฉู่สวินหยางอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เพราะนางทั้งนั้น! ครั้งก่อนตอนอยู่จวนอ๋องหนานเหอข้าแค่ไม่ทันระวังเลยเป็นลมไป ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่นางกลับให้คนไปปล่อยข่าวมั่วๆ พูดว่า…พูดว่า…”
นางเล่าไปก็กระอึกกระอักพลางหน้าขึ้นสี กัดริมฝีปากอย่างแรง จ้องหน้าฉู่อี้อันแล้วน้ำตาไหลพราก
“ท่านพ่อ ลูกกับเหลยซวี่ ไม่มีอะไรกันทั้งนั้น แต่นางกลับกระจายข่าวลือออกไปเพื่อทำลายชื่อเสียงข้า นางคงไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
แม้จะไม่มีใครคล้อยตามนาง แต่ฉู่เยว่เหยียนก็ปล่อยโฮออกมาด้วยตัวเองแล้ว
“ท่านพ่…” ฉู่ฉีฮุยร้อนใจ อ้าปากจะพูด แต่ถูกฉู่อี้อันยกมือห้ามไว้ก่อน
ฉู่ฉีฮุยได้แต่หุบปากฉับ จ้องเขม็งที่ฉู่เยว่เหยียนทั้งอัดอั้นและหวาดกลัว
ฉู่อี้อันนั่งนิ่ง ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดมาทำลายความสุขุมของเขาได้ เขายกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ แล้วพูดกับฉู่เยว่เหยียนว่า “เจ้าลุกไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ก่อนเถอะ!”
ฉู่เยว่เหยียนดีใจ ตอนที่ปีนขึ้นมายังไม่ลืมยักคิ้วส่งให้ฉู่สวินหยางทีหนึ่ง
“ท่านพ่อ ก็แค่ประโยคเลื่อนลอยไร้สาระ ความจริงแล้ว…” ฉู่ฉีฮุยหยุดคิดเล็กน้อย แต่ก็อดจะเอ่ยลองเชิงออกมาไม่ได้
“เดิมทีข้าก็กำลังจะเรียกเจ้ามาจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว” ฉู่อี้อันตัดบทเขา เอ่ยไปตามตรงว่า “วันสองวันนี้ เจ้าก็หาเวลาไปจวนท่านตาของเจ้าหน่อย กำหนดงานมงคลของเหยียนเอ๋อร์กับสกุลเหลยให้เรียบร้อยเสีย!”
“ว่าไงนะ?” ฉู่เยว่เหยียนเหมือนถูกฟ้าผ่า ถ้วยชาในมือร่วงลงพื้นดังเพล้ง แตกละเอียดไม่เหลือดี ตกตะลึงหน้าขาวเผือดอยู่ตรงนั้น ราวกับร่างกายไม่อาจย่อยสลายประโยคนั้นได้
ฉู่อี้อันไม่สนใจนาง พูดต่อไปตามแผนที่คิดไว้แต่แรก “เหยียนเอ๋อร์อายุยังน้อย งานแต่งอาจเลื่อนออกไปอีกสักสองปีก่อน รอให้นางปักปิ่นก็ยังไม่สาย เรื่องส่วนอื่นก็รีบจัดการแต่เนิ่นๆ”
ฉู่ฉีฮุยโอดครวญในใจ แต่ก็ยังรับปากด้วยใบหน้ายินดี “ขอรับ ลูกทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร!”
ฉู่เยว่เหยียนเพิ่งจะเข้าใจอะไรๆ นางมองฉู่อี้อัน เอ่ยอย่างไม่อาจทำใจเชื่อได้ “ท่านพ่อ ท่านหมายถึงว่า ให้ข้าแต่งงานกับเหลยซวี่หรือ?”
เหลยซวี่ผู้นั้นเป็นเศษสวะที่บู๊ไม่ได้ความ บุ๋นไม่เอาไหน นอกจากเที่ยวเล่นดื่มกินแล้วยังทำอะไรเป็นอีก? หากเขาไม่ได้เป็นลูกผู้พี่ของนาง นางไม่อยากจะมองหน้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ฉู่อี้อันกลับบอกให้นางแต่งกับเหลยซวี่?
นี่มันน่าตลกสิ้นดี!
ฉู่อี้อันย่อมไม่อธิบายมากความกับนางอีก
ฉู่ฉีฮุยกลัวอย่างเดียวว่านางจะก่อเรื่องจนฉู่อี้อันโมโห รีบเอ่ยว่า “สิ่งที่ท่านพ่อเลือกย่อมจะดีกับตัวเจ้า ยังไม่รีบขอบคุณอีก!”
“ข้าไม่ยอม!” ฉู่เยว่เหยียนประกาศกร้าว
การตัดสินใจของฉู่อี้อันย่อมถือว่าเป็นที่สิ้นสุด จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
ฉู่เยว่เหยียนจะกระโจนตามไป แต่ถูกฉู่ฉีฮุยลากเอาไว้ นางสู้แรงไม่ไหว ได้แต่เบิกตามองตามหลังฉู่อี้อัน
พ่อบ้านเฉิงรออยู่ที่หน้าประตู
ตอนที่ฉู่อี้อันเดินผ่านเขาก็เอ่ยปากสั่งความไปด้วยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้านำคำของข้าไปบอกที่ห้องพระ ให้คนแซ่เหลยออกหน้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง อบรมสั่งสอนท่านหญิงห้าให้ดี เสร็จแล้วก็สั่งให้คนไปเก็บกวาดจวนแถวหมู่บ้านซานเหอนอกเมือง พอพ้นปีใหม่ก็ส่งท่านหญิงห้าไปอยู่ที่นั่น ให้นางเตรียมตัวออกเรือนอย่างสงบ!”
ไม่เพียงกำหนดงานมงคลอย่างลวกๆ ให้นาง ยังจะขับไล่กันอย่างไม่บอกกล่าวอีก?
หากว่าตัวนางยังอยู่วังบูรพาหรือว่าในเมืองหลวง ต่อไปสถานการณ์อาจพลิกผันกลับมาได้ แต่ถ้าถูกส่งออกไปแล้ว เรื่องนี้ก็หมดทางจะแก้ไขได้อีก
ฉู่เยว่เหยียนร้องโหยหวนอย่างหมดหวัง โถมตัวใส่อ้อมแขนฉู่ฉีฮุยแล้วร้องไห้โฮ
ฉู่ฉีฮุยแอบตกใจอยู่เงียบๆ…
ชายารองเหลยถูกกักตัวอยู่สามเดือน เขาก็อ้อนวอนทั้งโดยตรงโดยนัยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ฉู่อี้อันก็ไม่ยอมรับปากจะปล่อยนางเสียที คราวนี้กลับอาศัยเรื่องของฉู่เยว่เหยียนมาแสดงความเมตตา ความจริงเบื้องหลังนั้น ท่านพ่อกำลังเตือนเขา…
ท่านพ่อไม่อยากจะเห็นคนเหล่านี้ใช้อุบายหยาบช้าแทงข้างหลังกันอีก ความเป็นตายของพวกเขาหาใช่เรื่องมีเกียรติหรือเสื่อมเสีย ทั้งหมดล้วนเป็นแค่ความคิดที่แวบผ่านสมองเท่านั้น
ฉู่ฉีฮุยตกอยู่ในภวังค์อย่างไม่อาจถอนตัว ฉู่เยว่เหยียนร่ำไห้ไปก็ไร้ผล พลันสะบัดหน้าขึ้นมองฉู่สวินหยาง เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม? เจ้าจงใจให้คนปล่อยข่าวเสียหายออกไป ให้ข้าถูกไล่ออกจากจวน? ตอนนี้เจ้ามีความสุขแล้วใช่ไหม? พอใจ? ภูมิใจแล้วหรือยัง?”
ฉู่สวินหยางมองนางยิ้มๆ เอ่ยด้วยดวงหน้าไม่เปลี่ยนอารมณ์ “น้องห้าคงดีใจจนเลอะเลือน พี่ใหญ่ต้องช่วยชี้แนะนางหน่อยแล้วล่ะ”
“เจ้า…” ดีใจ? มีอะไรน่าดีใจหรือ? ฉู่เยว่เหยียนนิ่งอึ้งไปพักใหญ่เพราะคำพูดของนาง
มุมปากของฉู่ฉีฮุยกระตุกค้าง มองนางด้วยอารมณ์ที่ตีกันมั่วไปหมด ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
“แม้น้องห้าจะเลอะเลือน แต่คิดว่าพี่ใหญ่คงกระจ่างแก่ใจดี ในเมื่อพวกเราอยู่พร้อมหน้ากันตรงนี้แล้ว ก็ควรจะคุยกันให้เข้าใจไปเสีย ต่อไปจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด ให้เบาะแว้งกันจนบ้านไร้ความสงบ มีแต่สร้างความหนักใจให้ท่านพ่อไม่จบสิ้น!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวเบาๆ แล้วหลุบตาจิบน้ำชา “ข่าวลือพวกนั้นแท้จริงแล้วมาจากไหน? พี่ใหญ่ เจ้าพอรู้บ้างหรือไม่เล่า?”
ฉู่ฉีฮุยสีหน้าย่ำแย่ ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ฉู่เยว่เหยียนก็เด้งตัวออกจากอ้อมแขนเขา พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พี่รองเพิ่งกลับมา ข้าถึงไม่โทษว่าพี่ไม่เข้าใจ แต่ทำไมพี่ไม่ลองถามน้องสาวตัวดีของพี่ดูล่ะ ว่านางทำอะไรไปบ้าง? เห็นชัดๆ ว่าเป็นฝีมือนาง เป็นนางที่จิตใจหยาบช้าคิดทำลายข้า!”
ฉู่เยว่เหยียนคิดไป ก็ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บแค้น เดินกลับไปนั่งแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับโต๊ะต่อ
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองนางทีหนึ่ง เอ่ยเสียงกระด้างว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องถามใคร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนอะไรด้วย น้องสาวของข้าเป็นคนอย่างไรข้าย่อมรู้ดี เรื่องสกปรกอย่างการสาดโคลนลับหลังคน นางไม่ลดตัวลงไปทำเด็ดขาด!”
————————————————————————