สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 79 แผนชายงาม (4)
ฉู่หลิงอวิ้นหลุบตาลงเล็กน้อย หันเสี้ยวหน้าด้านข้างไปหานาง จึงไม่รู้แน่ชัดว่านางทำหน้าอย่างไร
ซูหว่านยังอยากจะถามต่อ แต่พอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น ก็เริ่มลังเลขึ้นมา…
ภายหลังฉู่หลิงอวิ้นก็โดนเล่นงาน เป็นไปได้ว่าตอนนั้นคงหลงกลอีกฝ่ายไปแล้ว ถ้านางจะไม่ทันนึกเรื่องการแจ้งเปลี่ยนแผนให้ตนรู้ ก็ถือว่าเข้าใจได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความเกรี้ยวกราดที่ทับถมอยู่ในใจก็ค่อยคลายลง ทว่าน้ำเสียงก็ยังไม่สู้จะเป็นมิตรนัก “อืม เรื่องนี้เจ้าเองก็ควบคุมมันไม่ได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิงซิ่วล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ก็บอกไปชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ “เช้าวันนั้นนางกับทะเลาะกับข้า คงเจ็บใจเลยหาทางเอาคืน”
“อย่างฉู่หลิงซิ่วน่ะรึ? เอาคืนเจ้า?” ซูหว่านได้ฟังก็หัวเราะยกใหญ่ราวกับได้ยินเรื่องตลก
นางใช้สายตาคมกริบมองฉู่หลิงอวิ้น มันแฝงความเกลียดชังและเยาะหยันอย่างชัดเจน เอ่ยเสียงเย็นว่า “คำนี้เจ้าเอาไปหลอกคนอื่นเถอะ ข้าเพิ่งรู้จักเจ้าเป็นวันแรกหรือไง? คิดว่าข้าโง่งั้นรึ?”
นิ้วมือของฉู่หลิงอวิ้นลูบไล้ทับทิมที่ฝังอยู่บนปิ่นปักผม ท่าทางแปลกออกไปจากปกติ ไร้ซึ่งโทสะอย่างที่ควรจะเป็น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “งั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น? หากไม่ใช่ฝีมือนาง? เหตุใดข้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
นางไม่ชอบซูหลิน เรื่องนี้สองพี่น้องสกุลซูก็รับรู้ได้ หากนางหลบเลี่ยงงานแต่งก็ไม่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่หากจะพูดว่าเพื่อที่จะปฏิเสธการเกี่ยวดองกับสกุลซู นางถึงกับยอมทำลายอนาคตทั้งชีวิตของตัวเอง เช่นนี้…
ไม่ว่าใครก็ต้องฟังแล้วสะดุดใจทั้งนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นเงยหน้าขึ้นมองซูหว่าน ส่งยิ้มเศร้าสร้อยให้นาง “หว่านเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าเชื่อไปแล้วว่าข้าคิดร้ายต่อเจ้า ทำเรื่องที่ผิดต่อพี่ชายของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาหน่อยเถอะ ว่าข้าจะทำเช่นนั้นทำไม?”
ซูหว่านเองก็เป็นสตรี ย่อมเข้าใจดีถึงความสำคัญของคู่ครองที่จะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต
ถ้าแค่ฉู่หลิงซิ่วแต่งงานเข้าสกุลซูแทนนางก็ค่อยฟังขึ้นหน่อย แต่เรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้น…
นางรู้ดีกว่าใครๆ ว่าฉู่หลิงอวิ้นหยิ่งยโสเพียงไหน จะบอกว่านางปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลซูก็เพื่อคนอย่างจางอวิ๋นเจี่ยน?
ตีนางให้ตาย นางก็ไม่เชื่อ!
แต่เพราะเรื่องนี้มีฮ่องเต้จับตามองอยู่ แม้จะไม่มีใครกล้าหัวเราะเสียงดัง ทว่าสกุลซูของนางก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
เป็นถึงซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่น วันแต่งงานกลับถูกตบตา แบกบุตรีอนุเข้าจวนตัวเอง ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก?
ซูหว่านแม้จะใจอ่อนลงบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็กล้ำกลืนมันไม่ลง สุดท้ายก็แข็งคอใส่เอ่ยต่อว่า “แต่เจ้าเข้าวังไปขอพระราชทานสมรสกับจางอวิ๋นเจี่ยนผู้นั้นเองนี่!”
ประโยคนี้หลุดออกไปแล้ว จะมากน้อยก็คือการประณามทั้งนั้น
ฉู่หลิงอวิ้นแสยะยิ้มอยู่ในใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้า
“ข้าไม่แต่งกับเขาได้หรือ? อย่างไรเรื่องราวก็เกิดไปแล้ว” นางลุกขึ้น ก้าวเท้าเดินไปด้านข้าง “เจ้าคิดว่าสกุลซูของเจ้าเสียหน้า แล้วรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อข้ากับฉู่ฉีเหยียนไม่กล้าจะออกจากจวนแล้ว แม้ว่าเบื้องหลังจะมีเสด็จปู่คอยมองอยู่ แต่มีขุนนางคนใดบ้างไม่รู้ข่าว? ลับหลังก็ปากยื่นปากยาวจนข้าแทบจะจมน้ำลายตาย ถ้าข้ายังเอาแต่ยึดติดไม่ปล่อยวาง เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ายังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่ออีกหรือ?”
เรื่องของฉู่หลิงอวิ้น ซูหลินได้เล่าให้นางฟังทั้งหมดแล้ว ซูหว่านได้ฟังก็อดจะสงสารไม่ได้ จึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อทุกอย่างมาถึงขั้นนี้ เจ้าก็ต้องคิดให้ตก”
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มขื่น แล้วใช้สายตาโดดเดี่ยวหันกลับมามองนาง
ซูหว่านเห็นอย่างนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ โบกมือให้อย่างไม่เอาความ “เอาเถอะๆ ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไร้หนทาง แต่พี่ใหญ่ของข้าเดือดดาลมากนัก รอให้เขาหายโกรธแล้ว ข้าค่อยไปพูดกับเขาให้ ในเมื่อไม่อาจเป็นสามีภรรยา แต่ก็ใช่ว่าต้องตัดขาดเลิกคบหากับพวกเจ้าไปตลอดชีวิต”
ระหว่างสกุลซูกับจวนอ๋องหนานเหอเดิมก็ไม่เห็นทางที่จะพลิกจากศัตรูมาสู่มิตร ฉู่หลิงอวิ้นจึงไม่คาดหวังอะไรมากมาย แต่ก็กุมมือซูหว่านเอาไว้พลางกล่าวด้วยความซาบซึ้งที่เอ่อล้นเต็มดวงตา
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากเหลือเกิน แต่ว่า…” นางพูดไป น้ำตาก็คลอเอ่อก่อนจะปล่อยมันร่วงลงมา
“ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าแค่การทะเลาะกันสองประโยค จะทำให้ฉู่หลิงซิ่วเกิดความคิดจะทำลายชีวิตข้าทั้งชีวิต พลอยทำให้ชื่อเสียงสกุลซูของพวกเจ้าต้องมัวหมอง”
คิดถึงภาพความวุ่นวายในวันงาน ซูหว่านพลันไม่สบอารมณ์อีกครั้ง ดวงตาวาบเป็นประกายเย็นเยือกและทิ่มแทง
ได้ฟังวาจาเช่นนั้น ความไม่พอใจต่อฉู่หลิงอวิ้นที่มีอยู่แปดส่วนก็หดลงเหลือแค่สอง ทั้งยังปลอบใจนางกลับไปยกใหญ่ พูดคุยสนิทสนมอยู่เป็นนาน
เวลาใกล้จะเที่ยงวันแล้ว จากความสัมพันธ์ในวันนี้ของสองสกุล คนแซ่เจิ้งไม่มีทางต้อนรับแขกอย่างนางแน่
ซูหว่านลุกขึ้นเอ่ยคำลา ฉู่หลิงอวิ้นทำท่าลังเล คล้ายว่าไม่อยากออกไป
ซูหว่านเห็นสีหน้าซีดเซียวของนาง ก็รู้ว่านางไม่อยากเจอคน กุมมือของนางไว้ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกสักหน่อย ข้าเดินไปเองได้ เจ้าก็อย่าคิดมาก เวลาผ่านไปอะไรๆ คงดีขึ้นเอง”
ฉู่หลิงอวิ้นส่งยิ้มให้อย่างซึ้งใจ สายตากวาดไปทางลานด้านนอกอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ดวงตาจะสว่างวาบ ยกมือเรียก “ฉีเหยียนมาได้จังหวะพอดี ช่วยเดินไปส่งน้องซูหว่านหน่อยเถอะ!”
ซูหว่านหันไปมองตามเสียง ก็เห็นฉู่ฉีเหยียนที่หล่อเหลาอยู่ในชุดสีเขียวเข้มกำลังเดินเข้าประตูใหญ่มา
ฉู่ฉีเหยียนมองคนทั้งสองด้วยสายตาแปลกใจทีหนึ่ง
ซูหว่านเม้มปากยิ้มบางๆ บ่ายเบี่ยงว่า “ไม่เป็นไร ข้าเดินไปเองได้ ไม่ต้องรบกวนซื่อจื่อหรอก”
ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยชอบใจ ฉู่ฉีเหยียนถึงได้ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ ข้าเดินไปส่งเอง!”
ซูหว่านไม่ปฏิเสธอีก พยักหน้าเล็กๆ แล้วข้ามธรณีประตูออกไป
ฉู่ฉีเหยียนหันมาแลกเปลี่ยนสายตาเป็นนัยกับฉู่หลิงอวิ้น จากนั้นก็ก้าวยาวๆ จากไปพร้อมกับซูหว่าน
ระหว่างทาง คนทั้งสองไร้ซึ่งบทสนทนา
ซูหว่านแอบเหล่ตามองเขาบ่อยครั้ง เห็นว่าเขาใจลอยคล้ายคิดเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ก็ชั่งใจพักหนึ่งก่อนจะลองเอ่ยปากออกไปว่า “ซื่อจื่อหนักใจเรื่องของท่านหญิงอันเล่อหรือ?”
“หือ?” ฉู่ฉีเหยียนได้สติ รอยยิ้มมุมปากปิดบังความเศร้าสร้อยไว้ไม่มิด “ที่ผ่านมานางไม่เคยได้รับความลำบาก ครั้งนี้หลิงซิ่วก็ทำเกินไปหน่อย วันๆ ได้แต่มองดูใบหน้าฝืนยิ้มของนาง ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง…”
เขาพลันรู้สึกตัวว่าพูดมากไป จึงหัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวว่า “ไม่มีอะไร! แต่ซื่อจื่อซูทางนั้นเกรงว่าข้าคงไม่มีโอกาสได้ชดใช้ความผิดให้ หากท่านหญิงซูยินยอมก็ช่วยพูดกับเขาหน่อย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหาใช่ว่าจวนอ๋องหนานเหอตั้งใจให้เป็น”
“อืม พี่ชายข้าเขากำลังโกรธ ไว้ข้าจะช่วยพูดให้” ซูหว่านเอ่ย เห็นความระทมที่ติดค้างอยู่กลางหว่างคิ้วของเขา ก็แอบกัดริมฝีปาก พูดไปว่า “เมื่อครู่ข้าก็พูดกับท่านหญิงอันเล่อไปแล้ว รอสักสองสามวันให้นางอารมณ์ดีขึ้น ข้าจะมาหานางใหม่!”
ฉู่ฉีเหยียนยิ้มอ่อนๆ เอ่ยบ่ายเบี่ยงอย่างเกรงใจ “ด้วยความสัมพันธ์ในตอนนี้ของพวกเราสองสกุล เกรงว่าคงยากจะไปมาหาสู่กันอีก ข้าขอบคุณน้ำใจของเจ้าแทนพี่หญิงด้วย”
นัยน์ตาของซูหว่านหม่นแสง ก่อนจะหลุดสีหน้าผิดหวังออกมาให้เห็น
ฉู่ฉีเหยียนเบือนสายตาหนีอย่างหนักอกหนักใจ ส่งนางที่หน้าประตูจวนด้วยความเงียบขรึม
เวลานั้นฉู่หลิงซิ่วเพิ่งจะเอ่ยลาคนแซ่เจิ้งแล้วเดินมาถึงพอดี พอเห็นฉู่ฉีเหยียน ก็รีบย่อกายคารวะ เรียกเบาๆ ว่า “พี่ชาย!”
มองออกทันทีว่านางเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ดวงตาบวมแดง น้ำเสียงฟังอู้อี้
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนหยุดเท้าที่ใต้ชายคาประตูจวน สายตาที่มองนางเจือความรังเกียจชัดเจน
ซูหว่านเห็นเหตุการณ์ ดวงตาพลันสว่างวาบ จากนั้นก็ปีนขึ้นรถไปพร้อมกับฉู่หลิงซิ่ว
ฉู่ฉีเหยียนกำชับคนขับรถม้ากับองครักษ์เพิ่มสองประโยค ก่อนจะยืนมองจนรถม้าเคลื่อนลับสายตาไป
รอจนรถม้าพ้นจากมุมถนน ฉู่หลิงอวิ้นจึงเยื้องย่างออกจากเรือนมายืนข้างฉู่ฉีเหยียน สองพี่น้องที่เมื่อครู่ยังหน้าเศร้าอมทุกข์ ตอนนี้กลับเหลือเพียงความน่ากลัวและเย็นชา
“เจ้าต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะสำเร็จ?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม สายตาดำมืดมองไปยังถนนด้านนอก “ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าลงมือกับซูหว่านก็ได้!”
“อย่าใจร้อน ยังพอมีเวลา ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเขาคงอยู่จนผ่านปีใหม่แล้วค่อยกลับ ขอเพียงพวกเขายังอยู่ที่นี่ ก็ควบคุมได้ไม่ยาก” ฉู่ฉีเหยียนตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าด้านใน
ดวงตาฉู่หลิงอวิ้นทอแสงเย็นเยียบ ยืนนิ่งที่หน้าประตูสักพักก่อนจะให้สาวใช้ประคองกลับเรือน
มุมหนึ่งของกำแพงจวนสุดถนน ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินขี่ม้าออกมา
“ที่ซูหว่านชอบพอฉู่ฉีเหยียน ข้ายังคิดว่าเขาจะแสร้งทำไม่รู้ไปตลอดเสียอีก” ฉู่สวินหยางหัวเราะตาหยีอย่างเจ้าเล่ห์ จ้องไปที่ประตูใหญ่จวนอ๋องหนานเหออย่างสนอกสนใจ เจื้อยแจ้วต่อว่า “หากจะเล่นบทยืมดาบฆ่าคน เห็นทีเขาต้องเอาตัวเข้าแลก ใช้แผนชายงามเสียแล้วกระมัง!”