สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (1)
“สองพี่น้องนั่น ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ” เหยียนหลิงจวินเอ่ย น้ำเสียงเจือกระแสยั่วเย้าหลายส่วน
“ใช่สิ หากเปลี่ยนให้คนอื่นมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างฉู่หลิงอวิ้น แค่ความกล้าจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ยากแล้ว ไหนเลยจะมีกระจิตกระใจไปวางอุบายเล่นงานผู้อื่นอีก?” ฉู่สวินหยางหันกลับไปมอง เอ่ยเห็นด้วยกับเขา
เหยียนหลิงจวินสบตานาง อดจะหัวเราะไม่ได้ “ดูจากแต่ละเรื่องที่นางทำกับเจ้าก็พอจะมองออก ซูหลินผู้นั้นเดิมก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร ต่อให้ฉู่ฉีเหยียนพี่น้องไม่ลงมือ ฉู่หลิงซิ่วก็ไม่มีทางอายุยืนอยู่แล้ว แค่เพียงว่า…”
ระหว่างที่พูด สายตาเขาก็พลันเข้มลึกขึ้น “นางจะตายเงียบๆ ที่จวนอ๋องฉางซุ่นในภายหลัง หรือว่าตายอยู่ที่นี่ขณะที่ข่าวยังไม่เงียบ สำหรับฮ่องเต้ที่ออกราชโองการลงมาผู้นั้น ช่างมีความหมายแตกต่างกันมากเหลือเกิน”
ฉู่สวินหยางค่อยๆ คิดตาม
ตรงนี้เป็นถิ่นของจวนอ๋องหนานเหอ สองคนไม่อาจรั้งตัวอยู่นาน ตามองสบกันทีหนึ่งก่อนจะขี่ม้าจากไป
ระหว่างทาง ฉู่สวินหยางก็เอ่ยประเด็นก่อนหน้านี้ต่อว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะออกราชโองการ หากว่าฉู่หลิงซิ่วต้องตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าป่วยหนักจริงๆ จากนิสัยหวาดระแวงของพระองค์ สกุลซูต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนทำอะไรรวบรัดเด็ดขาด เหตุการณ์เลยเถิดมาถึงจุดนี้ เขาคงจะมองออกว่าไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสกุลซู เช่นนั้นจึงต้องเลือกเดินหันหลัง ในเมื่อไม่อาจได้รับการสนับสนุนจากสกุลซู ก็ต้องรีบถอนรากถอนโคนให้จบเรื่อง ไม่มีทางให้ข้าได้ประโยชน์อะไรเด็ดขาด”
ซูหลินกับซูหว่าน นับว่าพอมีปัญญาอยู่บ้าง แต่อุบายทางการเมืองและเล่ห์สนกลใน…
ยังห่างชั้นกันเหลือเกิน
การยกเลิกงานแต่งของฉู่หลิงอวิ้นกับสกุลซู คนตาดีที่ไหนก็มองออกทั้งนั้นว่ามีพิรุธ แต่เพราะมีราชโองการของฮ่องเต้กดไว้ ถึงได้ทำเป็นหูหนวกตาบอดไปเสีย
หากว่าฉู่หลิงซิ่วเกิดมาตายตอนนี้ นั่นต้องเป็นเพราะซูหลินไม่พอใจ แล้วลอบกำจัดนางแน่
ถึงเวลานั้นฮ่องเต้อาจจะไม่แสดงออกมากนัก แต่ในใจย่อมมีสะเก็ดแผลตกค้าง…
ว่าสกุลซูไม่เห็นราชโองการและอำนาจของพระองค์อยู่ในสายตา
จากนิสัยของพระองค์ มีหรือจะทนไหว? ความรุ่งเรืองของสกุลซูคงมาถึงทางตันแล้ว!
คงต้องชมเชยว่า แผนการของฉู่ฉีเหยียนสามารถตัดไฟแต่ต้นลม เลือกได้ประเสริฐยิ่งนัก
เหยียนหลิงจวินไม่ได้เอ่ยต่อ ขี่ม้าไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ผ่านไปสักพักเขาก็เปิดปากอีกครั้งด้วยท่าทางครุ่นคิด “ฉู่ฉีเหยียนสามารถเลือกทางที่ง่ายกว่านั้น ความจริงเขาไม่ควรใช้ฉู่หลิงอวิ้นเป็นแต้มต่อตั้งแต่แรก เขาแต่งกับซูหว่านเองเลยก็จบแล้ว สุดท้ายจะได้ไม่ยุ่งเหยิงแบบนี้”
“จะว่าไปแล้ว…” ฉู่สวินหยางเม้มปาก หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว “ไม่ใช่ว่าฉู่ฉีเหยียนไม่เด็ดขาดหรอก มีคำพูดที่ว่าแม้เป็นพี่น้องก็ต้องแบ่งกำไรขาดทุนให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ? เรื่องที่ต้องฝืนใจทำประเภทนี้ หากผลักให้ผู้อื่นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองนี่? แต่…ใครจะคิดว่าฉู่หลิงอวิ้นจะไม่เห็นแม้กระทั่งราชโองการของฮ่องเต้อยู่ในสายตา?”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? เจ้าจะทำอย่างไร?” เหยียนหลิงจวินถาม
“ข้า?” ฉู่สวินหยางยักไหล่อย่างไม่แยแส ฉีกยิ้มให้เขาทีหนึ่ง “มองเสือฟัดกันไง ข้าจะตั้งตาคอยชมเลยล่ะ”
ฉู่ฉีเหยียนละทิ้งสกุลซู นางก็ไม่เคยมีความคิดจะดึงสกุลซูมาเข้ากับฝั่งตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เหยียนหลิงจวินไม่ตอบ เพียงมองนางอย่างเงียบๆ
“เจ้าไม่ต้องมามองข้าแบบนี้” ดวงหน้าของฉู่สวินหยางออกจะกระอักกระอ่วนเล็กๆ หัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวว่า “อย่างที่เจ้าเห็น ความจริงข้าก็ไม่ชอบใจสกุลซูอยู่แล้ว และการเลือกซูหลินเป็นผู้สืบทอด ก็เหมือนการกำหนดชะตาที่ริบหรี่ของสกุลซูไว้แต่แรกแล้ว แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ข้ารู้จัก…”
ฉู่สวินหยางกล่าว ก่อนจะส่ายหน้าอย่างลึกลับ
ฉู่เพ่ยเป็นคนไม่เอาญาติพี่น้อง เพื่อบัลลังก์แล้วเขาสามารถนั่งมองสกุลฉู่ทั้งหมดต้องพบเจอกับหายนะโดยไม่กระพริบตา ทั้งยังลงมือฆ่าลูกในไส้ของตัวเองได้ลง คนประเภทนี้…
จะนึกถึงความรู้สึกของขุนนาง? จะระลึกถึงความดีความชอบที่ช่วยพระองค์ให้ขึ้นนั่งบัลลังก์รึ?
เสร็จศึกย่อมต้องฆ่าโค เพียงแค่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะๆ เท่านั้นเอง!
ความคิดหวนนึกย้อนไป อารมณ์ของฉู่สวินหยางเริ่มดำดิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เหยียนหลิงจวินเห็นเข้า ในอกก็รู้สึกบีบแน่นไม่สบายตัว
เขาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไป กุมมือสองข้างของฉู่สวินหยางที่จับบังเหียนเอาไว้อย่างแผ่วเบา
แม้ว่าจะสวมเสื้อหนาชั้น แต่อากาศกลางเหมันต์ก็หนาวเหน็บ นิ้วมือที่อยู่นอกร่มผ้าของฉู่สวินหยางกลายเป็นสีแดง เวลานี้ได้รับความอบอุ่นหัวใจของนางพลันเต้นแรงตามไปด้วย ซึมซับถึงความรู้สึกนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันหน้าไปมองเขา
คนสองคนจ้องตากันนิ่ง
สายตาของเหยียนหลิงจวินวูบหลบ คล้ายจะกลับไปเป็นเหยียนหลิงจวินคนเดิมที่ระแวดระวังตัวเหมือนตอนอยู่หุบเขาเพลิงอัคคี
จากนั้น เขาทำเป็นหัวเราะออกมาอย่างจริงจัง เอ่ยว่า “นับแต่อดีต ราชนิกุลทุกพระองค์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นับญาติถือมิตร มีเพียงอำนาจในสายตา คนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ไม่มีค่าพอให้เจ้าเสียเวลาไปคิดถึง มองพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าก็พอ!”
ฉู่สวินหยางตกใจเล็กน้อย…
เขากำลังปลอบใจนางอยู่หรือ?
ท่าทางจริงจังเช่นนี้ กลับทำให้ฉู่สวินหยางทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
นางมองตาเขา อยากจะทำตลกกลบเกลื่อนไปเสีย แต่พอเห็นสายตาจริงใจแรงกล้าของเขา คำพูดพลันจุกอยู่ที่ลำคอ ทำได้เพียงมองเขาอย่างเงียบๆ
เท่าที่จำได้นางไม่เคยเห็นเหยียนหลิงจวินแสดงอารมณ์ที่ลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน ตอนที่เขาพูดมันออกมา ไม่เหมือนว่ากำลังปลอบใจนาง แต่คล้ายเป็นความในใจของคนที่เคยประสบมาก่อนมากกว่า
แม้ว่าเขาจะเก็บสีหน้าและอารมณ์ได้มิดชิด แต่ฉู่สวินหยางก็ยังรับรู้ถึงความหนักอึ้งได้จากรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเขา
เหยียนหลิงจวินเห็นนางเงียบไปนาน นึกว่านางกังวลเรื่องเหล่านี้ มือที่กุมมือนางอยู่จึงออกแรงบีบเบาๆ ดึงสติของนางกลับมา ก่อนจะยื่นแขนไปหานาง เอ่ยบอก “มานี่สิ!”
ฉู่สวินหยางงุนงง แต่บางทีอาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของร่างกาย นางจึงยื่นมือส่งให้ก่อนสองแขนของเขาจะรับนางมาอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน
มือของฉู่สวินหยางคล้องคอเขาอยู่ เขาอุ้มนางมาวางไว้ที่กลางอกเขา ก่อนจะดึงผ้าคลุมผืนใหญ่มาห่มให้
หน้าหนาวปลายปี ถนนที่พวกเขาเดินผ่านช่างเงียบเหงา จึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็น
ฉู่สวินหยางพิงอยู่กับอกเขา ยิ้มตาหยีแล้วเงยหน้าถามว่า “เจ้ายังมีคำที่อยากปลอบใจข้าอีกหรือ? พูดมาสิ ข้าจะฟังทั้งหมดแหละ!”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างว่องไว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกทั้งโมโหและขบขัน เรื่องในอดีตที่ผุดเข้ามากลางหัวใจจึงค่อยๆ สลายไปด้วย
เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะก่อนจะขยี้ผมหน้าม้าของนางแรงๆ คล้ายเป็นการทำโทษ
ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงดัง มุดหน้าซุกอกเขาพร้อมกับผมที่ยุ่งเหยิงเพื่อหลบหลีก
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางเหมือนเด็กๆ ของนางก็กลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ เอ่ยอย่างจนปัญญาทั้งเอ็นดูว่า “ไม่รู้นิสัยแบบนี้ของเจ้าได้ใครมาใคร ไม่คิดอะไรมากมายจริงๆ”
ฉู่สวินหยางโผล่หน้าออกมาจากอกเขา ใช้มือจับผมหน้าม้าของตัวเองเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งก็มุ่ยปากใส่อย่างไม่ค่อยสนใจว่า “คิดน้อยไม่ดีหรือไง? ข้ายอมเป็นแบบนี้ตลอดไปยังจะดีกว่า! พวกคนที่คิดซับซ้อนวุ่นวาย พวกนั้นไม่เหนื่อย แต่ข้าเบื่อจะตายชัก!”
ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ “เสียดายทำไม่ได้!”
ใต้หล้านี้มีเรื่องมากมายที่ไม่เป็นดั่งใจต้องการ ใช่ว่าอยากจะเลี่ยงแล้วจะเลี่ยงได้เสมอไป
เหยียนหลิงจวินมองนางอีกครั้ง ก่อนจะเบือนสายตาหนี
เขาจงใจเคลื่อนตัวผ่านถนนสายเล็กไปอย่างเชื่องช้า ภายใต้แสงแดดอบอุ่นกลางฤดูหนาว สองคนหนึ่งม้าเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่กลางตรอกไร้ผู้คน ม้าของฉู่สวินหยางเดินบ้างหยุดบ้างเป็นระยะ ใบหญ้าข้างกำแพงร้างสะบัดไหวตามแรงลม ลดความอ้างว้าง กลับดูเปล่งประกายภายใต้อาทิตย์ที่สาดส่อง
สองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย หัวข้อสนทนาก็วนเวียนอยู่ในวงขุนนางผู้ดีในกำแพงเมืองหลวงแห่งนี้
สายตาของเหยียนหลิงจวินเหลือบมองหญิงสาวที่ขดตัวอยู่ในอกของเขาคล้ายกับแมวน้อยตัวหนึ่งเป็นพักๆ รอยยิ้มที่ยกขึ้นดูงดงามน่ามองขึ้นหลายส่วน ไม่ทันรู้ตัว ดวงหน้าก็เบ่งบานราวดอกไม้ ทิ่มแทงสายตาคนยิ่งนัก
“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว!” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางพิงอกเขาอยู่ นิ้วก็พันเชือกผูกคอของผ้าคลุมเล่น
“อืม!” เหยียนหลิงจวินรับคำเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เจ้าจะกลับไปหรือไม่?” ฉู่สวินหยางครุ่นคิด แล้วเงยหน้ามองเขาอย่างอดไม่อยู่
เหยียนหลิงจวินได้ฟังคำถาม ก็ใจลอยไปพักหนึ่ง ในตอนนั้นเขาก็กำลังก้มหน้าลงมาพอดี
ด้วยความบังเอิญ วินาทีที่นางแหงนหน้าขึ้น คางของเขาก็กดลงมา ริมฝีปากนุ่มจึงปัดผ่านกันไป
สัมผัสแผ่วบาง เบาคล้ายขนนก และผ่านแวบไปคล้ายกับดาวตก
มันนุ่มนิ่ม ชื้นเปียก ความหอมหวานที่เฉียดผ่านเบาจนคล้ายฝัน เมื่อสูดลมหายใจเข้าไป มันหลอมรวมกับเลือดในกาย แผ่กำจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนเป็นพลังจู่โจมที่ไม่ทันตั้งรับ กระแทกเข้ากลางหัวใจเสียงดังสนั่น ระเบิดพราวในสมองเหมือนกับดอกไม้ไฟ แสงระยิบระยับพร่างฟ้า ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ทั้งสองคนต่างก็ไม่คาดฝัน
——————————————-