สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (3)
ฉู่สวินหยางหันมางับประตูปิด แล้วเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับฉู่ฉีเฟิง นางไม่อ้อมค้อมก็เปิดปากเข้าประเด็นทันที “ท่านพ่อต้องการให้พี่รองแทรกซึมเข้าไปในกองทัพ แล้วหาทางควบคุมทหารเมืองฉู่สองแสนนายใช่หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางเป็นคนเฉลียวฉลาด นางคาดเดาแผนการนี้ของฉู่อี้อันออก ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เขาเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยตามจริงว่า “แม่ทัพฮั่วเป็นคนของท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าเจ้าล้วนรู้ดี ส่วนฝ่าบาททางนั้นแม้ตอนนี้จะยังไม่ทันสังเกต แต่ในใจก็ระวังแม่ทัพฮั่วอยู่ตลอด มากสุดไม่เกินสามปี ฃแม่ทัพฮั่วต้องถูกฝ่าบาทบีบให้เกษียณตัวเองแล้วถูกส่งกลับเมืองหลวง ถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่ ต่อให้เป็นท่านพ่อก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นต้องรีบฉวยโอกาสเสียตอนนี้ ตอนที่แม่ทัพฮั่วยังพอช่วยดึงใจคนได้ ให้พวกเขาเข้าเป็นคนของวังบูรพาด้วยความเต็มใจ”
“ท่านพี่หมายถึง…” ฉู่สวินหยางหยุดคิด อารมณ์ในดวงตายิ่งเข้มลึกมากยิ่งขึ้น “ช่วงนี้สถานการณ์ศึกที่เมืองฉู่อาจจะเลวร้ายลงอีก?”
หากคิดจะผลักผู้คุมทัพคนใหม่ออกไป วิธีที่ได้ผลที่สุดคือสร้างสถานการณ์ให้เพลี่ยงพล้ำ ให้เขาเสียความน่าเชื่อถือ
ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าอย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่ปิดบัง “ก่อนกลับมาข้าวางแผนกับแม่ทัพฮั่วเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะเสนอให้โจมตีค่ายของศัตรู ฉวยโอกาสคืนส่งท้ายปีเก่าที่ทุกคนคลายความระวังตัว ตอนนั้นจะชนะให้สวยงามสักหน่อยไม่ใช่เรื่องยาก แต่เวลาเดียวกันก็ต้องยั่วยุให้พวกหนานฮวาบ้าคลั่งคิดแก้แค้น ผู้คุมทัพคนใหม่เป็นพวกมองสูงแต่ไร้ความสามารถ ย่อมต้องเอาแต่ภาคภูมิใจกับชัยชนะที่อยู่เบื้องหน้า ขอเพียงแม่ทัพฮั่วเล่นอุบายนิดหน่อย เขาคงจะหลงกลได้ไม่ยาก”
ผู้คุมทัพคนใหม่เป็นบุตรชายคนรองของจวนหลัวกั๋วกงซึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ของฮองเฮา ฮ่องเต้เลือกใช้คนผู้นี้ หนึ่งเพราะให้เกียรติฮองเฮาหลัว สองเพราะคนผู้นี้มีความกล้าหาญมากกว่าความฉลาด ง่ายต่อการควบคุม
“หากว่าหลัวอี้เป็นอะไรไป เกรงว่าฮองเฮาคงไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ!” ฉู่สวินหยางกังวล
ฮองเฮาหลัวผู้นี้ หากว่าใครไปล้ำเส้นเข้า ก็จะกัดไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว
“วางใจเถอะ ไม่ปล่อยให้เขาตายหรอก เพียงแต่…” ฉู่ฉีเฟิงตบหลังมือของนาง ส่งสายตาให้เป็นเชิงปลอบโยน ก่อนมีแสงวูบผ่าน นัยน์ตาพลันถูกเคลือบด้วยความเย็นเยือกบางๆ ชั้นหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ทหารสามพันนายที่ติดตามเขาไปคงไม่อาจให้รอดกลับมา”
ฮ่องเต้สั่งการว่า ให้ใช้ทหารรักษาประตูเมืองของพระองค์คอยคุ้มครองหลัวอี้ เรียกให้น่าฟังก็คือปกป้อง ความจริงนั้น…
หนึ่งเพราะง่ายต่อการบงการหลัวอี้ สอง…
ก็เป็นเหมือนดาบคมปลาบที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะฮั่วกัง คอยจับตามองความเคลื่อนไหวเขาทุกขณะ
“หากว่าท่านพ่อคาดเดาไม่พลาด หลัวอี้เป็นเพียงฉากหน้าหลอกตาเท่านั้น ทหารสามพันนายต่างหากที่เป็นอาวุธสังหารตัวจริง!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ทุกคำฟังแล้วหนาวเยือก
ฉู่สวินหยางได้แต่ส่งยิ้มขื่น “ยิ่งอายุมากเท่าไร โรคหวาดระแวงของเขาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที”
เขาที่พูดถึงนั้น ย่อมหมายถึงฮ่องเต้
“นั่นสินะ!” มุมปากของฉู่ฉีเฟิงกระตุกขึ้นคล้ายเย้ยหยัน นิ้วมือก็เคาะที่วางแขนของเก้าอี้ไปพลางๆ
เงียบไปพักใหญ่ ฉู่สวินหยางก็คิดเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้ “ไปแตะต้องทหารของพระองค์เข้า กลัวว่าแม่ทัพฮั่วอาจจะโดนหางเลขไปด้วย?”
“แม่ทัพฮั่วมีความดีความชอบ แต่ให้การศึกครั้งแรกจะสะเพร่าตกหล่น แต่เมื่อหักล้างกับผลงานแล้ว คงไม่มีโทษหนักถึงชีวิต มากสุดก็คงถูกเรียกตัวกลับเมือง เลี้ยงดูเอาไว้ก็เท่านั้น” ฉู่ฉีเฟิงตอบ เห็นชัดว่าได้คำนวณผลดีผลเสียทุกอย่างเอาไว้แต่แรกแล้ว
เขาเหลือบตามองฉู่สวินหยางทีหนึ่ง กล่าวว่า “ให้เขาคืนกำลังทหารเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้น เพื่อหาทางกันเขาไม่ให้เข้าร่วมกับพรรคพวกใดในราชสำนัก พระองค์ต้องใช้การแต่งงานของคุณหนูสกุลฮั่วมาเป็นเครื่องมือแน่ เจ้าก็รู้นี่ว่าแม่ทัพฮั่วรักครอบครัวของเขาขนาดไหน”
ฮั่วกังรับราชการทหารแต่เด็ก บุกบั่นไปทั่วทั้งเหนือใต้ อายุพ้นสามสิบปีมาแล้วถึงได้มีฮั่วชิงเอ๋อร์ลูกสาวคนนี้ นอกนั้นก็ไม่มีใครอื่นอีก เขาจึงรักใคร่หวงแหนนางเหลือเกิน
ฉู่สวินหยางขบคิด กลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หมากที่สมควรเดินเท่าไร
“ในเมื่อพี่กับท่านพ่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่กังวลใจอีก” เมื่อคิดตก ฉู่สวินหยางก็ส่งยิ้มหวานมาให้ จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อขึ้น จุ่มนิ้วลงในถ้วยชาแล้วตวัดนิ้วว่องไวลากเส้นง่ายๆ ลงบนโต๊ะ
เดิมฉู่ฉีเฟิงเพียงมองมันอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอจ้องเส้นหนานั้นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าแผนที่คุ้นตาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ เขาเด้งตัวลุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โน้มร่างเข้ามาดู
“ช่วงนี้ข้าว่างไม่มีอะไรให้ทำ เลยนั่งวิเคราะห์ภูมิประเทศแถบเมืองฉู่เล่น ข้าถึงเจอว่า หากท่านพ่อต้องการกุมอำนาจของที่นั่น ความจริงไม่จำเป็นต้องเอาความดีความชอบไปแลกอำนาจในมือพระองค์เลย สงครามฉากนี้ ไม่จำเป็นต้องคว้าชัย ขอเพียงถ่วงเวลาคนของหนานฮวาเอาไว้ ยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งดี” ฉู่สวินหยางลากเส้นเพิ่มอีกสองเส้น ก่อนจะยกมือแล้วจิ้มไปบนแผนที่ เอ่ยว่า “ดูจากแผนที่นี้ จุดตั้งค่ายของเรายังไม่ใช่ชัยภูมิที่ดีที่สุด รอพี่รองกลับไปแล้ว ค่อยเสนอให้ย้ายค่ายไปตรงช่องเขาทางทิศตะวันตก ที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ลึกเข้าไป ทั้งซับซ้อนด้วยมีภูเขาโอบล้อมรอบด้าน หลังเขายังมีปราการธรรมชาติเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไม่เป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี ป้องกันง่าย รุกรานยาก รอถึงตอนนั้น ขอเพียงพี่รองไม่อยากทำศึก ทัพหนานฮวาก็ทำได้แต่มองตาปริบๆ ท่านอยากจะยืดเวลาออกไปนานเท่าไรก็ย่อมได้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!”
ชัยภูมิตรงนั้น นางได้ทุ่มเทกำลังศึกษาแผนที่เมืองฉู่อย่างละเอียดเพื่อตามหาจุดตั้งทัพตั้งแต่ชาติที่แล้ว ปีนั้นนางก็มีความคิดเหมือนกับฉู่อี้อัน แค่อยากจะกุมอำนาจทหารของเมืองฉู่ไว้ให้นานที่สุด เพราะว่าทั้งบิดาและพี่ชายต่างมีตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยงในวังหลวง ขอเพียงนางมีกำลังทหารอยู่ในมือ ฮ่องเต้ก็คงจะเกรงใจอยู่บ้าง อีกทั้งภูมิประเทศตรงนั้นก็ประเสริฐด้วยประการทั้งปวง ตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ศัตรูจะเข้าโจมตี ทุกสนามศึกนับจากนั้นล้วนตกอยู่ในกำมือนาง นางเตรียมการและควบคุมทุกอย่างได้ตามใจสั่ง ดังนั้นจึงยังไม่เคยตกเป็นฝ่ายปราชัย
จะปราบทัพหนานฮวาได้หรือไม่ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ล้วนแต่ไม่ส่งผลกระทบทางใดแก่วังบูรพาทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือดึงทัพหนานฮวาไว้ให้ได้นานที่สุด ยิ่งยื้อไว้ได้นานเท่าไร อำนาจทหารในมือก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ฉู่ฉีเฟิงจ้องหน้าโต๊ะด้วยสายตาเป็นประกาย ตราบจนรอยน้ำบนโต๊ะถูกความร้อนจากเตาไฟในห้องทำเอาเลือนหายไปกับสายลม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าทอประกายยินดี เงยหน้ามองฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ
ฉู่สวินหยางกลัวเขาจะเห็นพิรุธ จึงฉีกยิ้มยิงฟัง เอ่ยว่า “ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นบนกระดาษ รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่เลว แต่ความจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องรอให้พี่รองกลับไปตรวจสอบเสียก่อนจึงจะรู้”
ฉู่ฉีเฟิงมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน
ฉู่สวินหยางคว้าแขนเสื้อเขาแล้วดึงตัวลุกขึ้น กระพริบตาปริบๆ “แต่จะใช้ได้จริงหรือไม่ก็ตามแต่ ในฐานะที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยพี่รอง พี่รองต้องตอบแทนข้า ข้าไม่ต้องขึ้นเขาไปกับพี่ได้หรือไม่?”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ!” ฉู่ฉีเฟิงชะงักไป เห็นว่านางอ้อมวนไปเสียไกลก็เพื่อจะพูดคำนี้ จึงกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ งอนิ้วดีดหน้าผากนางไปทีหนึ่ง
“งั้นข้าถือว่าพี่รองรับปากข้าแล้วนะ!” ฉู่สวินหยางไม่สนใจเขา เอาแต่หัวเราะชอบใจ “พอออกไปแล้ว พี่รองก็ส่งข้ากลางทาง ถึงเวลาข้าจะไปรอที่เรือนมีสุขตรงใกล้ๆ ประตูเมือง ตอนเย็นที่ท่านกลับเข้ามาก็อย่าลืมแวะรับข้าด้วยล่ะ!”
ฉู่ฉีเฟิงเห็นว่านางตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ ก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่านางไม่ได้วางแผนมาแต่ทีแรก ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยว่า “เอาเถอะๆ ตามใจเจ้า!”
ฉู่สวินหยางหัวเราะ ดวงตาสุกใสทอประกายเจ้าเล่ห์เล็กๆ จากนั้นก็ยกประโปรงหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว “ข้าขอกลับไปหยิบเตาพกก่อน เสร็จแล้วจะไปรอท่านที่หน้าประตู!”
ฉู่ฉีเฟิงมองตามแผ่นหลังของนาง ยิ้มแย้มอารมณ์ดีก่อนจะเข้าไปหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
ทันทีที่ฉู่สวินหยางก้าวเท้าออกจากเรือนจิ่นโม่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จืดจางไปหลายส่วน รีบเร่งฝีเท้าเดินไปทางเรือนจิ่นฮว่า
ชิงหลัวกับชิงเถิงที่รู้เรื่องแล้วก็ออกมารอที่ประตู เห็นนางกลับมาจึงเดินเข้าไปรับ “ท่านหญิงจะเปลี่ยนชุดไหมเจ้าคะ? หรือว่าออกไปทั้งแบบนี้!”
“ไม่เปลี่ยนแล้ว!” ฉู่สวินหยางตอบ ซอยเท้าหายแวบเข้าไปด้านใน “ข้าจะไม่ออกไปนอกเมืองหรอก ชิงหลัวเจ้าไปจวนผู้อาวุโสเฉินแทนข้าที เชิญใต้เท้าเหยียนหลิงไปที่เรือนมีสุข ข้ามีเรื่องด่วนต้องการให้เขาช่วย!”
ชิงหลัวตกตะลึง “ใต้เท้าเหยียนหลิง? แล้วเมื่อครู่ที่ท่านหญิงออกไป…”
คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ หัวใจของฉู่สวินหยางพลันรู้สึกแปลกๆ แต่นางไม่อาจบอกชิงหลัวได้ว่าเพราะนางรีบหนีออกมาก่อน ถึงได้ลืมคุยเรื่องสำคัญเสียได้
“บอกให้ไปก็ไปเถอะน่ะ อย่าเพิ่งถามมากความ!” เมื่อตั้งสติได้ ฉู่สวินหยางก็เอ่ยตอบอย่างไม่ชอบใจ
ชิงหลัวเห็นท่าทางเคร่งเครียดของนางก็ไม่กล้าชักช้า รีบรับคำสั่งแล้วจากไป
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาเตาพกด้านในห้อง ทั้งยังบอกให้ชิงเถิงพกเงินไปด้วยจำนวนหนึ่ง เสร็จแล้วก็เดินออกไปขึ้นรถม้ากับฉู่ฉีเฟิงที่หน้าประตู
——————————————-