สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 80 ศัตรูคู่แค้น (4)
รถวิ่งไปตามเส้นทางเดิมที่เคยใช้ ฉู่สวินหยางยิ้มแย้มจำนรรจากับฉู่ฉีเฟิงเป็นปกติไปตลอดทาง เอ่ยถามข่าวคราวเรื่องในกองทัพบ้าง ในรถม้าจึงมีเสียงหัวเราะรื่นเริงดังออกมา ช่างเป็นภาพที่แสนสุขยิ่งนัก
พอมาถึงเรือนมีสุขที่ตั้งอยู่แถวประตูเมือง ฉู่ฉีเฟิงก็สั่งให้หยุดรถ ปล่อยฉู่สวินหยางลงตรงนั้น เขาเปลี่ยนไปขี่ม้า ก่อนไปก็ยังกำชับอย่างเป็นห่วงว่า “เพราะเราออกมาช้า ฟ้าอาจจะมืดก่อนแล้วตอนข้ากลับมา…”
“รู้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่แหละ!” ฉู่สวินหยางตอบ โบกมือล่ำราเขา
ฉู่ฉีเฟิงส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างจนปัญญา แล้วพาพวกเจี่ยงลิ่วห้อม้าเดินทางต่อไป
ฉู่สวินหยางยืนอยู่หน้าเรือนมีสุขจนส่งเขาออกนอกประตูเมืองไป เจี่ยงลิ่วหันศีรษะกลับมามองหลายครั้ง ก่อนจะเหล่ตามองสีหน้าของฉู่ฉีเฟิงอย่างลังเลคล้ายอยากจะพูดบางอย่าง จนกระทั่งฉู่ฉีเฟิงหันมาเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ
“มีอะไรก็ว่ามา อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้?” ฉู่ฉีเฟิงมุ่นคิ้วถาม
เจี่ยงลิ่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้ยินว่าช่วงนี้ท่านหญิงไปมาหาสู่กับใต้เท้าเหยียนหลิงรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงคนใหม่อยู่บ่อยๆ”
เขาใช้คำอย่างระมัดระวัง ให้ฟังดูไม่บาดหูมากนัก
ฉู่ฉีเฟิงได้ฟังก็หน้าแข็งทื่อทันที ดวงตาหรี่ลงแล้วหันมามองด้วยความเย็นเยือก ทำเอาหัวใจของเจี่ยงลิ่วหล่นวูบ รีบก้มหน้าลงทันที
“ไม่รู้จักขอบเขตหน้าที่ของตัวเองหรือไง?” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย น้ำเสียงน่ากลัว ต่างจากท่าทีสุภาพอ่อนโยนโดยปกติอย่างสิ้นเชิง “ใครใช้ให้เจ้าอาจหาญสืบเรื่องของสวินหยาง?”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!” เจี่ยงลิ่วตกใจรีบขอโทษ แต่พอคิดๆ ไปก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี จึงเอ่ยปากครั้งอย่างติดใจ “แต่ว่า… ใต้เท้าเหยียนหลิงผู้นั้นมีอะไรแปลกๆ นะขอรับ”
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงเอ่ยว่า “เรื่องของสวินหยาง ต่อไปไม่อนุญาตให้พูดถึง แล้วก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง นางรู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่ฉู่อี้อันเองยังมีท่าทีชัดเจนไม่เข้าแทรกแซง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเคลือบแคลงสงสัยอะไรอีก
เจี่ยงลิ่วเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ถึงได้ก้มหน้ากดความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่อยู่ในอก ไม่กล้าปากมาก
ฉู่ฉีเฟิงขี่ม้าอยู่หน้าขบวน หลับตาลงเล็กน้อย จนแทบไม่มีใครทันสังเกตเห็น ตอนนั้นเอง…
‘เหยียนหลิงจวิน’ คำสามคำแล่นผ่านหัวสมองเขาอย่างว่องไว
เขาจำได้ คืนนั้นที่ค่ายทหารเมืองฉู่ ฉู่สวินหยางเคยถามเขาอย่างไม่จริงจังครั้งหนึ่งว่า ‘ราชสำนักของหนานฮวามีขุนนางหรือตระกูลสูงศักดิ์ที่ใช้แซ่สองตัวอย่างเหยียนหลิงหรือเปล่า’
หรือว่า?
เป็นเพราะคนผู้นั้น?
ฉู่สวินหยางทางนี้ยังยืนนิ่งอยู่หน้าเรือนมีสุข รอจนกลุ่มม้าของพวกฉู่ฉีเฟิงลับตาไปแล้วถึงได้เดินเข้าด้านใน
ชิงเถิงเตรียมห้องส่วนตัวที่ไม่สะดุดตาคนไว้ นางลงมารออยู่ที่ห้องโถงด้านล่าง ส่วนฉู่สวินหยางเดินขึ้นห้องชั้นสองไป
ตอนนี้เหยียนหลิงจวินยังมาไม่ถึง ฉู่สวินหยางนั่งเบื่อหน่ายอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ดึงใบไม้สีทองที่แอบเก็บกลับมาจากหน้าประตูจวนสกุลซูออกจากเอว ใช้นิ้วลูบมันครั้งแล้วครั้งเล่า นัยน์ตาทอแสงเคร่งขรึม ไม่เหลือท่าทางร่าเริงยิ้มแย้มอย่างที่เคยเป็น
มองออกว่าใบไม้ใบนี้ถูกตีขึ้นจากช่างฝีมือเยี่ยม ทำออกมาได้อย่างประณีต ตัวแผ่นบางกริบ ซ้ำบางกว่าใบไม้ของจริงถึงสามส่วน เมื่ออยู่กลางแสงแดดเช่นนี้ คล้ายว่าจะมีลำแสงอบอุ่นทะลุผ่านใบไม้ออกมา
ใบไม้สีทองที่เหมือนกันนี้ ชาติก่อนฉู่สวินหยางก็เคยเห็น และรู้ด้วยว่า…
มันเป็นสมบัติของคนเพียงคนเดียว!
ไม่!
ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง นี่เป็นสัญลักษณ์ของเขา!
ซูชิงสุ่ย!
คุณชายชิงสุ่ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชาติก่อน สู้รบปรบมือกับนางมาครึ่งค่อนชีวิตอันแสนสั้น เป็นคู่กัดที่สุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้า!
ชาตินี้ยังต้องมาเจอกันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
ความคิดของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล ควานหาความทรงจำในสมองที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดอีกครั้ง
ซูชิงสุ่ย เหมือนคนที่ตกลงมาจากฟ้า เพราะจู่ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพหนุ่มทรงอำนาจภายในเวลาแค่สามปี เริ่มจากทำศึกกับกองทหารม้าที่นอกด่านเป่ยเจียง[1] ใช้แผนดักซุ่มโจมตีอันยอดเยี่ยม ตัดหัวทหารม้าสามพันนายที่ได้ชื่อว่าอาจหาญที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขับไล่ชาวเป่ยเจียงที่จ้องจะยึดครองดินแดนจงหยวนให้ถอยร่นออกไปนอกด่าน จากนั้นก็เคลื่อนทัพไปทางทะเลฝั่งตะวันออก ฟาดฟันกับโจรสลัดจอมอำมหิตร้อยเล่ห์ เวลาเพียงสองปี เขาก็เอาชนะโจรสลัดที่กดขี่ชาวประมงตลอดแนวชายฝั่งเหนือจรดใต้ได้สำเร็จ จนพวกมันต้องหนีไปซ่อนตัวที่เกาะร้าง เขาใช้เวลาสองปีแทรกตัวเข้าไปมีอำนาจเหนือทหารเรือแสนนายที่เดิมควรจะเป็นของสกุลซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น และขึ้นแท่นเป็นแม่ทัพหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนักซีเยว่ตอนนั้น
ช่วงนั้นเรื่องที่ชาวบ้านพากันซุบซิบมากที่สุดก็คือสตรีผู้พิทักษ์พรมแดนกับแม่ทัพหนุ่มแน่น คุณชายชิงสุ่ยผู้กวาดล้างท้องน้ำนำความผาสุขมาคืนสู่ชาวบ้าน
เขากับฉู่สวินหยางในตอนนั้น คนหนึ่งอยู่ตะวันออก คนหนึ่งอยู่ตอนใต้ ทั้งยังไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง ต่างคนจึงไม่เคยพบหน้ากัน แต่อาจเพราะเป็นความเลื่อมใสที่มีต่ออีกฝ่าย ฉู่สวินหยางเคยสั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลทั้งหมดของเขา ศึกษาทุกๆ สนามรบน้อยใหญ่ที่เขาเคยข้ามผ่าน สุดท้ายก็พอจะสรุปได้ว่า…
คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะด้านการทหารสมคำร่ำลือ
แน่นอน หลังจากเหตุการณ์พลิกหมุนไปมา คงจะไม่เกินไปหากเรียกเขาว่า ผู้ปราดเปรื่องเรื่องการเล่นเล่ห์เพทุบาย
เพราะหลังจากสร้างความชอบที่เป่ยเจียงและได้กุมอำนาจทหารเรือแล้ว เหมือนว่าความทะเยอทะยานของเขาจะยิ่งโหมกล้า หรือไม่อาจแค่ต้องการจะก้าวหน้าเติบใหญ่ในดินแดนอื่น ต้องการแสดงให้เห็นว่าความสามารถทางการทหารของเขายอดเยี่ยมเพียงใด ไม่นานเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ค่ายทหารเมืองฉู่ซึ่งนางประจำอยู่ ถวายฎีกาหลายต่อหลายครั้ง อ้างเหตุผลว่านางคุมทัพไร้ความคืบหน้า และเสนอตัวมาทำหน้าที่แทนนาง
อำนาจทางการทหารที่เมืองฉู่มีความหมายต่อวังบูรพามาก นางย่อมไม่ยอมปล่อยมือ ดังนั้น แม้ทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าอย่างเป็นทางการ แต่ก็ปะทะกันหลายครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลังผ่านระยะทางนับพันลี้ แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็เหมือนเผชิญกับศึกใหญ่ กัดกันไม่ยอมปล่อยเสียที
เขาใช้ลูกไม้แพรวพราว ทำทุกอย่างเพื่อบีบนางให้ลงจากตำแหน่ง
นางพลิกแผนรับมือ ขวางทุกทางไม่ให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไป
ตอนนั้น ซูชิงสุ่ยดื้อดึงนัก อย่างไรก็จะยึดอำนาจทหารเมืองฉู่ให้จงได้!
หากว่าเขาโอหังอวดดีอยากจะลองแก่งแย่งชิงดีกันสักตั้งก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้าเขามีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งกับสิ่งที่จะได้ตามมา…
ที่แห่งนั้นเป็นพรมแดนของซีเยว่กับหนานฮวา เป็นชัยภูมิที่สำคัญที่สุดในการปกป้องอธิปไตยของแว่นแคว้น!
อาจเพราะเคยลงมือกันแรงๆ กับคุณชายชิงสุ่ยผู้เคยได้ยินเพียงชื่อ บัดนี้ได้บังเอิญมาพบกัน ฉู่สวินหยางจึงอดจะระแวงเขาไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าชาตินี้เขาจะมีความคิดอะไรอีก หากยังยึดติดกับอำนาจทหารเมืองฉู่ไม่ยอมปล่อย นั่นย่อมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉู่ฉีเฟิง
พอนึกถึงคนผู้นี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ ตอนที่กำลังใจลอย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังลอยมาจากนอกห้อง ไม่นานก็เห็นเหยียนหลิงจวินผลักประตูเดินเข้ามา
เวลานี้ฉู่สวินหยางนั่งอยู่หน้าหน้าต่าง เหม่อมองใบไม้สีทองที่ถูกแสงแดดส่งกระทบอย่างไม่เข้าใจ
ตอนที่เหยียนหลิงจวินเห็นนาง เป็นครั้งแรกที่สายตาของเขาไม่วนเวียนอยู่แต่ที่ดวงหน้าของนาง แต่กลับทอประกายวาบ แล้วตวัดผ่านใบไม้สีทองในมือนางอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง
เขางับประตูปิด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “รีบร้อนเรียกข้ามา มีเรื่องอะไรรึ?”
“อืม มีเรื่องขอให้เจ้าช่วย!” ฉู่สวินหยางตอบ น้ำเสียงล้อเล่นแฝงกระเซ้า “เจ้ารักษาความลับได้ดี คิดว่าวิธีสืบข่าวของเจ้าคงไม่ด้อยไปกว่ากัน”
สายตาของเหยียนหลิงจวินตวัดผ่านใบไม้สีทองในมือนางอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปตรงหน้านางแล้วสะบัดชายเสื้อทิ้งตัวลงนั่ง เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ และเรียบเฉยดังเก่า “แล้ว?”
“แล้ว…” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ทำนิ้วมือเลียนแบบท่าทางตอนที่ซูอี้ใช้ใบไม้สีทองข่มขู่ซูหลินในคืนนั้น สองนิ้วคีบใบไม้ส่งไปเบื้องหน้าของเหยียนหลิงจวินอย่างช้าๆ เอ่ยเน้นทีละคำว่า “ข้าอยากให้เจ้า…ช่วยข้าสืบเรื่อง…คนผู้นี้!”
——————————————-
[1] เป่ยเจียง หมายถึง พรมแดนทางเหนือ