สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 81 ผูกคอตาย? (1)
มือที่กำลังรินน้ำชาของเหยียนหลิงจวินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
“ทำไมเล่า?” เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าเป็นปกติ
“ก็แค่อยากรู้!” ฉู่สวินหยางเบะปาก มือก็เล่นใบไม้ต่อไป “ช่วงเวลาที่เขาปรากฏตัวมันประจวบเหมาะเกินไป เรื่องที่ทำก็ไม่สมเหตุสมผล ทำให้ข้าคิดอะไรได้บางอย่างน่ะ!”
เหยียนหลิงจวินฟังออกว่าวาจาของนางมีความนัย อดจะยิ้มๆ ไม่ได้ “เจ้าสงสัยอะไรเขาล่ะ?”
“ก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร เขามาถึงสกุลซูทันห้ามไม่ให้ซูหลินยกเลิกงานแต่งพอดี เห็นชัดว่ามีการวางแผนมาล่วงหน้า” ฉู่สวินหยางเอ่ย กระพริบตา มองเขาผ่านโต๊ะที่กั้นอยู่ตรงกลาง
อาจเพราะมีชนักติดหลัง เหยียนหลิงจวินถูกสายตาของนางจับจ้องจนรู้สึกขยุบขยิบในใจ แต่พยายามรักษาความสุขุมไว้สุดความสามารถ ไม่ให้ตัวเองหลุดอาการอะไรออกไป แล้วส่งรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
ฉู่สวินหยางโยนใบไม้สีทองลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็ถอนมือแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นางเบือนหน้าออกไปมองแสงจ้าแสบตาด้านนอก ก่อนจะเปิดปากช้าๆ ด้วยความจริงจังเคร่งเครียด
“เขาเป็นคนของจวนอ๋องฉางซุ่น!” ฉู่สวินหยางกล่าว ไม่มีท่าทางหยั่งเชิงหรือลังเล มีแต่น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตอบกลับ นางหาได้สนใจแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เขาต้องการปกป้องสกุลซู ไม่มีทางที่จะทำไปโดยไร้เหตุผล สองสามวันมานี้ข้าพลิกหาข้อมูลของจวนอ๋องฉางซุ่นจนหมด ซูหังที่เป็นอ๋องฉางซุ่นคนปัจจุบันแม้จะเป็นบุตรชายสายหลักของซูจิ่นรั่ง แต่ว่าเขาไม่ใช่บุตรชายคนโต บุตรชายคนโตของสกุลซูชื่อว่าซูไหวตายอยู่กลางสนามรบตั้งแต่สิบสี่ปีก่อน ตัวเขาทิ้งทายาทเอาไว้สองคน ก็คือคุณชายสองซูอี้กับคุณชายสามซูฉี ตอนนั้นซูจิ่นรั่งฝากความหวังทั้งหมดไว้กับบ้านใหญ่ ทั้งยังสั่งสอนเลี้ยงดูเด็กทั้งสองด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น ข้าจึงลองไปถามท่านพ่อดู ปีนั้นซูจิ่นรั่งเคยยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งซูฉีเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จริงๆ ได้ยินว่าเด็กคนนั้นเฉลียวฉลาด ความจำเป็นเลิศ ซูจิ่นรั่งจึงกำหนดตัวให้เขาเป็นผู้รับช่วงต่อคนต่อไปของจวนอ๋องฉางซุ่น แต่เพราะเขาไม่ใช่หลานคนโต ฝ่าบาทถึงชะลอเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตรัสว่าสักสองสามปีค่อยว่ากันใหม่ แต่หลังจากนั้นสองปี หรือก็คือปีที่สามของรัชสมัยกวงตี้ เด็กคนนั้นก็บังเอิญป่วยหนักจนเสียชีวิตไป อาจเพราะหมดกำลังใจตายอยาก ซูจิ่นรั่งจึงยอมเขียนฎีกาให้แต่งตั้งลูกชายคนรองซูหังเป็นผู้สืบทอดแทน”
ซูหลินเป็นบุตรชายสายหลักของลูกคนรอง และซูหว่านก็คือน้องสาวแท้ๆ ของเขา เรื่องพวกนี้มิได้เป็นความลับอะไรในราชสำนัก ว่ากันตามหลักแล้ว เมื่อซูไหวตายไป การที่ตำแหน่งผู้สืบทอดจะตกไปอยู่ที่ลูกคนรองก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ภายในกลับมีเรื่องลับซุกซ่อนอยู่…
นั่นก็คือ เรื่องที่อ๋องฉางซุ่นคนเก่า ซูจิ่นรั่งผู้นั้นเคยถวายฎีกาขอให้แต่งตั้งหลานชายคนเล็กเป็นผู้สืบทอด
แต่เพราะข่าวไม่ได้ถูกแพร่ออกไปในวงกว้าง ภายหลังถึงค่อยๆ เงียบหายไป
ฉู่สวินหยางเล่าเรื่องในวันวานอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่น ส่วนเหยียนหลิงจวินก็จิบชาเงียบๆ นั่งฟังด้วยสีหน้านิ่งขรึม ไม่ได้ขัดจังหวะนาง
ความคิดของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล สายตาทอดมองนอกหน้าต่างไม่ได้หันกลับมา เงียบไปพักหนึ่งถึงได้เล่าต่อว่า “คงเพราะเขาคาดหวังกับเด็กคนนั้นมากเกินไป ตอนที่ซูฉีจากไป ซูจิ่นรั่งก็ล้มป่วย นอนซมอยู่บนเตียงได้สองเดือนก็ลาจากโลกนี้ตามไปด้วย ดังนั้น ซูหังที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งซื่อจื่อก็กลายเป็นอ๋องฉางซุ่นรุ่นที่สองอย่างถูกต้องเหมาะสม ซูหลินได้รับตำแหน่งซื่อจื่อในอ๋องฉางซุ่นเป็นลำดับถัดไป”
เหยียนหลิงจวินไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
เกี่ยวกับเรื่องซูอี้ เขารู้มันทั้งหมด ฝ่ายหนึ่งคือสหายสนิท ฝ่ายหนึ่งคือนาง…
เขาไม่อยากมีความลับกับนางแม้แต่ประโยคเดียว ด้วยความลำบากใจ จึงทำได้เพียงปิดปากแล้วนั่งฟังเท่านั้น
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา จึงดึงสายตากลับจากด้านนอก นางคิ้วเลิกสูง ส่งสายตาตั้งคำถามไปให้เขา
เหยียนหลิงจวินถูกนางจ้องจนอึดอัด ด้วยจนปัญญา ถึงได้ถอนหายใจเบาๆ อย่างหมดหวัง “ได้ยินว่าตอนนั้นผู้เฒ่าอ๋องฉางซุ่นก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ตัวเขาก็มีโรคภัยรุมเร้าจากการทำศึกมานาน หลานชายที่รักจากไปอย่างกะทันหัน เขารับความกระทบกระเทือนไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ ซูหังผู้นั้น แม้จะถือว่าเจ้าเล่ห์มากแผนการเมื่อเทียบกับซูหลิน แต่ถ้าจะบอกว่าเขาสังหารบิดาตัวเอง? การเชื่อมโยงนี้ออกจะเกินเลยไปหน่อย!”
หากจะบอกว่าซูหังทำบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนั้น ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจ แต่ว่าปัญญาของซูจิ่นรั่งนั้นสูงส่งระดับใด ฝีมือของเขาก็ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยม ประเมินจากสถานการณ์ตรงหน้า ซูหังคงไม่ถึงขนาดทำร้ายบิดาของตนด้วยตัวเอง
อย่างไรก็เป็นเรื่องตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ทั้งยังเกิดทางตอนใต้ที่ห่างออกไปนับพันลี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนเลือนรางจนแทบไม่เหลือ ฉู่สวินหยางก็คร้านจะเปลืองสมองไปขบคิด จึงตอบกลับไปว่ารับรู้แล้ว
นัยน์ตาของนางทอแสงวาบ วางมือลงบนโต๊ะแล้วลุกยืนขึ้น โน้มกายข้ามโต๊ะเข้าประชิดใบหน้าของเหยียนหลิงจวิน เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น คุณชายรองซูอี้ผู้นั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นในจวนสกุลซูอีกต่อไป เรื่องนี้ คงจะบังเอิญมากไปหน่อยกระมัง?”
ทันทีที่ซูจิ่นรั่งตายไป ไม่แปลกหากจวนของสกุลซูจะสั่นคลอน เพียงแต่สถานที่ที่ซูอี้หายไปนั้นช่างน่าสงสัยเหลือเกิน
ราวกับว่าภายในคืนเดียว สกุลซูทั้งหมดก็ทำเหมือนคนผู้นี้ไม่เคยมีตัวตน ไม่มีใครกล่าวถึงเขาอีก บอกกับคนภายนอกว่าร่างกายของเขาไม่ดี จึงส่งไปรักษาตัวที่จวนนอกเมืองแล้ว
หลานชายของบ้านหลักที่ได้ชื่อว่าตัดสัมพันธ์กับสกุลซูมาสิบกว่าปี บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อาศัยฐานะของคนนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องของสกุลซู?
จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง?
ใครเขาจะเชื่อ?
ดวงตาของฉู่สวินหยางสว่างวาบ การมองเขาจากมุมสูงเช่นนี้ แม้จะไม่มีเจตนาจะบังคับเค้นคอ แต่ก็ทำให้เหยียนหลิงจวินรู้สึกประหม่า
“อะแฮ่ม…” เขากระแอมเบาๆ เบือนสายตาหนีไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือนาง แล้วดึงให้มานั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ตน สมองแล่นอย่างว่องไวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสงสัยเขาก็ถูกแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อ เขาเองก็ได้ชื่อว่าแซ่ซู หากเมื่อใดที่สกุลซูเจอกับหายนะเขาก็ต้องถูกลากไปเกี่ยวด้วย”
“เขาไม่ไปคุยเรื่องนี้กับซูหลินเป็นการส่วนตัว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่อาจมองหน้าผู้คุมหางเสือได้อย่างสนิทใจ?” สมองของฉู่สวินหยางค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วจึงถามออกมา
ความลับของซูอี้เขาไม่อาจเผย ดังนั้นประเด็นที่เกี่ยวกับซูอี้ เหยียนหลิงจวินได้แต่หลบเลี่ยงไปอย่างแนบเนียนว่า “เพราะอย่างนี้ เจ้าจึงกังวลว่าเขาจะเข้ามาขวางแผนการของฉู่ฉีเหยียน?”
“แล้วมันเป็นไปไม่ได้หรือ?” ฉู่สวินหยางย้อนถามกลับไป “เขาเคยทำครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งที่สองเป็นธรรมดา!”
คิ้วของเหยียนหลิงจวินพันกันเล็กน้อย
เกี่ยวกับแผนการที่ฉู่ฉีเหยียนมีต่อสกุลซู ความจริงฉู่สวินหยางก็เห็นดีเห็นชอบ หากว่าซูอี้คิดจะเข้ามาขวางกลางจริงๆ…
เด็กคนนี้อาจจะลงมือทำอะไรอีกก็เป็นได้!
เหยียนหลิงจวินรู้สึกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยต้องลังเลเช่นนี้มาก่อน เพราะแค่เรื่องเล็กๆ เป็นเมล็ดงาเช่นนี้ เขากลับไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ใช้สมองอยู่สักพัก เขาจึงเปิดปาก “เจ้าคิดจะทำอะไร? หยุดเขา?”
การต่อสู้ระหว่างฉู่ฉีเหยียนกับซูหลินพี่น้องเกิดขึ้นตรงหน้า ตอนนี้ฉู่สวินหยางกับซูอี้ยังจะเข้าไปร่วมวงด้วยอีก?
เหยียนหลิงจวินรู้สึกปวดหัวอยู่รางๆ
ฉู่สวินหยางแย่งถ้วยชาจากมือเขา ประคองมันไว้ในมือแล้วสังเกตดอกไม้สีอ่อนที่ลอยอยู่ในนั้น ผ่านไปสักพักถึงกล่าวว่า “ตรงกันข้าม ข้ากลับคิดว่าควรตอบแทนน้ำใจเขาจะเป็นการดีกว่า”
เหยียนหลิงจวินตะลึงไป พลันรู้สึกว่าไล่ตามความคิดของนางไม่ค่อยทัน
ฉู่สวินหยางหรี่ตาลง เก็บใบไม้สีทองที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาเปล่งแสงเจ้าเล่ห์ “ในเมื่อเขาไม่ออกไปพบกับซูหลินซึ่งๆ หน้า ก็หมายความว่าระหว่างกลางมีแค้นเก่าที่ติดค้าง สิ่งที่เขาอยากปกป้อง…ความจริงก็แค่จวนอ๋องฉางซุ่นกระมัง? พอดีเลย ข้าก็ไม่ได้พิศวาสซูหลินสองพี่น้องนั่นนัก หากว่าอนาคตจวนอ๋องฉางซุ่นจะเปลี่ยนให้คุณชายรองผู้นี้มาเป็นหัวเรือแทน ไม่แน่ข้าอาจจะพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย!”
เพราะว่าเรื่องราวเกี่ยวพันถึงชะตาของวังบูรพาในภายภาคหน้า ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างของฉู่สวินหยางจึงรอบคอบและระมัดระวังเป็นที่สุด แต่ครั้งนี้แม้แต่คำทักทายสักคำยังไม่เคยได้เอ่ยกับซูอี้ นางก็เลือกที่จะเดินทางสายนี้แล้ว ดูท่า…
การตัดสินใจครั้งนี้ ออกจะทำได้ลวกๆ ไปหน่อย!
เหยียนหลิงจวินมองหน้านางด้วยความสงสัยอย่างลึกซึ้ง
ฉู่สวินหยางฉีกยิ้มให้ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อกับพี่รองทางนั้นมีเรื่องอื่นให้วุ่นวายมากพอแล้ว ข้าไม่อยากเพิ่มปัญหาให้พวกเขาน่ะ เรื่องนี้เจ้าก็ช่วยข้าสืบหน่อยเถอะ อย่างน้อยที่สุดข้าก็อยากรู้ว่าในมือของคุณชายรองคนนั้นมีหมากอยู่มากน้อยเท่าไร จะคุ้มค่าพอให้ข้าวางเดิมพันข้างเขาได้หรือไม่อย่างไรเล่า!”
ซูอี้กับสกุลซูตอนนี้ยืนอยู่คนละฝั่งกัน เรื่องนี้นางมั่นใจได้แล้ว ซูอี้ผู้นี้มากความสามารถด้านการศึก เมื่อชาติก่อนเขาก็เก็บตัวคอยบงการอยู่เบื้องหลัง ถึงขนาดราดไฟใส่น้ำมัน ยืนมองสกุลซูถูกยึดอำนาจทางทหารไปเพราะทำให้สงครามชายทะเลต้องเสียเปรียบ จากนั้นค่อยพลิกมือรวบเอากำลังทหารส่วนนั้นมากุมไว้เสียเอง เห็นชัดๆ ว่าเขาคิดจะแก่งแย่งและกดซูหังพ่อลูกให้ตกต่ำ ชิงคมดาบในมือสกุลซูกลับคืนสู่มือตัวเอง ตอนที่ฉู่เพ่ยคุมอำนาจเขาอาจเป็นได้แค่สัตว์ที่จำศีล แต่ตอนนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ถึงสามปีห้าปี รอให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาแค่อาศัยความดีความชอบในสนามศึก เบียดแทรกคนแซ่ซูพ่อลูกขึ้นรับตำแหน่งแทน นั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
แน่นอนว่า เหตุและผลเหล่านี้ นางไม่อาจพูดให้เหยียนหลิงจวินฟังได้
โชคดีที่เหยียนหลิงจวินไม่ได้ซักไซ้ เพียงหยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ก็ได้ อีกสองสามวันข้าจะส่งข่าวให้เจ้า!”
พอจบประเด็นนี้ได้ หัวใจของเหยียนหลิงจวินก็เบาลงทันที เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอกทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาฉู่สวินหยาง เห็นว่านางชุดที่นางใส่ยังเป็นชุดเดียวกับที่เจอเมื่อช่วงเช้า ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้ากลับไปแล้วก็ออกมาเลยรึ?”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางดื่มน้ำชาอย่างไม่ใส่ใจ “เดิมต้องไปอารามเมตตากับพี่รอง แต่วันนี้ข้าไม่อยากไปจริงๆ เลยมารอเขาอยู่ที่นี่!”