สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 82 ขับไล่ (1)
ฉู่สวินหยางเปลี่ยนหน้าเร็วเกินไป ชายารองเหลยถูกเสียงนางทำให้ตกใจ จากนั้นขาพลันอ่อนยวบ ต้องออกแรงฝืนไว้ไม่ให้เข่าของตนกระแทกลงพื้น
นางหน้าซีดขาว มองฉู่สวินหยางอย่างตื่นตระหนก
ฉู่สวินหยางหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะตวาดอีกครั้งว่า “กล้าเล่นตุกติกกับของที่จะส่งเข้าวังหลวง เจ้ามีหัวกี่หัวกันน่ะ?”
หัวใจของชายารองเหลยกระตุกวูบ
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหันมามองนางเป็นตาเดียว
แม้จำนวนคนไม่มาก แต่ว่าสายตาก็ต่างออกไปหลายหลาก ทั้งยังรู้สึกว่ามีคนมองอย่างทิ่มแทงอยู่เบื้องหลัง
ชายารองเหลยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว หลุดปากออกมาว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร ข้าเปล่า…”
“เจ้าเปล่า?” ฉู่สวินหยางแสยะยิ้ม หรี่ตากวาดมองข้าวของที่กองอยู่บนพื้น “เจ้ากล้าบอกว่าเปล่า? เจ้าสาบานกับสวรรค์ต่อหน้าของพวกนี้ บอกข้าสิ ว่าเจ้าไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร? ไม่ได้มีเจตนาชั่วช้า?”
“ข้า…” ชายารองเหลยร้อนรน สายตาเลิ่กลั่กมองไปทั่ว คล้ายกำลังต่อสู้กับตัวเองว่าควรจะสาบานดีหรือไม่
แต่ฉู่สวินหยางไม่รอให้นางคิดออกก็ใช้เท้าถีบเข้าที่ผัาพับจนกระเด็น มันลอยลิ่วออกไปก่อนจะตกคลุมร่างของชายารองเหลยพอดี
ชายารองเหลยยกมือดึงทึ้งอย่างลนลาน
ฉู่สวินหยางถอยหลังไปสองก้าวอย่างใจเย็น เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฉู่เยว่เหยียนที่หายใจรวยริน ยิ้มให้น้อยๆ พลางเอ่ยเป็นเชิงหารือว่า “น้องห้า ในเมื่อเจ้าหายใจคล่องแล้ว ก็ขยับไปทางอื่นก่อนเถอะ ให้ข้านั่งบ้าง?”
ฉู่เยว่เหยียนกำลังถูกคำพูดอุกอาจที่นางตวาดใส่ชายารองเหลยทำเอาตกใจจนอ้าปากค้าง ตอนนี้มาเจอรอยยิ้มของนาง พลันรู้สึกจุกในอก เกือบจะสำลักอากาศหายใจ
“เจ้า…” ฉู่เยว่เหยียนอับอายจนกลายเป็นโกรธ เสียงแหบแห้งผ่านลำคอมาได้ครึ่งคำ จนใจที่คอนางเจ็บจนแสบร้อน จึงได้หยุดพูด แต่เพราะความอัดอั้นจึงกระโจนเข้าใส่ฉู่สวินหยางด้วยร่างที่โอนเอน
และปฏิกิริยาของนางก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นเล็กน้อย คว้าข้อมือของนาง แล้วกระชากไปด้านข้าง
ชิงหลัวคอยรับอยู่ พลิกมือตบเข้าให้อีกที ผลักฉู่เยว่เหยียนไปใส่อ้อมแขนของสองสาวใช้ข้างกายนาง
ทั้งคู่ใจหายแวบ รีบเข้าไปรับฉู่เยว่เหยียนไว้
แม้จะแค่ละครฉากหนึ่ง แต่ฉู่เยว่เหยียนก็บาดเจ็บไม่น้อย ทั่วร่างอ่อนยวบไร้แรง แทบจะทิ้งตัวใส่แขนของสองสาวใช้
ฉู่สวินหยางไม่มีกะใจจะสนใจนาง เพียงสะบัดกระโปรงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างสง่าผ่าเผย
ทางด้านชายารองเหลยก็กระชากผ้าปักออกแล้วโยนลงพื้น กำลังจะอาละวาด ฉู่สวินหยางก็ตวาดใส่ทันทีว่า “ลอบทำร้ายราชนิกุล! คนแซ่เหลย เจ้ามีหัวกี่หัวกันล่ะ?”
ชายารองเหลยได้ฟัง สมองก็โง่เขลาทันที พลันรู้สึกว่างเปล่าทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
ทันทีที่นางลังเล คนก็มองออกแล้วว่านางมีชนักติดหลัง
ชิงหลัวไม่รอให้ฉู่สวินหยางสั่ง ก็ก้าวขึ้นไปขาหนึ่ง ถีบเข้าที่ข้อพับของชายารองเหลย
ชายารองเหลยไม่ทันตั้งตัว สองเข่ากระแทกตึงลงพื้น ร้องเจ็บออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะหันมาตะคอกใส่ “นังบ่าวชั้นต่ำ กล้าดียังไง…”
“พวกเจ้าบังอาจ กล้าปฏิบัตต่อชายารอง…” แม่นมกุ้ยร้องเสียงหลงพุ่งตัวเข้ามาปกป้อง แต่กลับถูกชิงหลัวคว้าหมับที่แขน แล้วถีบลงไปกองกับพื้น ได้ยินเป็นเสียงโอดครวญเหมือนหมูที่ถูกเชือด
ฉู่สวินหยางหมุนสายตาไปรอบๆ ก่อนที่นัยน์ตาจะสว่างวาบ
หัวใจของแม่นมกุ้ยแทบจะหยุดเต้น เสียงกรีดร้องติดอยู่ที่ลำคอ
“ฉู่สวินหยาง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ชายารองเหลยตะคอกถามอย่างไม่ยอมแพ้
ฉู่สวินหยางกวาดตามองเศษเล็กเศษน้อยที่กระจายอยู่เต็มพื้น ร้องเหอะทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ชายารองอธิบายให้ข้าฟังก่อนดีกว่าไหมว่าของพวกนี้ใช้ทำอะไร?”
ชายารองเหลยมองตามไป ได้แต่กลืนน้ำลายแห้งผาก ยังฝืนหยัดหลังตรง เอ่ยว่า “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าเอาของพวกนี้มากจากไหน ข้าไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าอธิบายอะไร?”
“ไม่เคยเห็น?” ฉู่สวินหยางไม่ต่อปากกับนาง เพียงเหลือบตาไปมองแม่นมกุ้ยทีหนึ่ง “เจ้านายของเจ้าไม่รู้จัก แล้วแม่นมกุ้ยรู้จักหรือไม่เล่า?”
แม่นมกุ้ยพยายามกดศีรษะให้ต่ำ ไม่กล้าหายใจแรง เพียงใช้หางตาเหล่มองชายารองเหลย
ชายาเหลยเห็นว่านางมองมาก็ยิ่งร้อนรน ตะคอกว่า “นางถามความเจ้า เจ้ามามองข้าทำไม?”
แม่นมกุ้ยหัวไว รีบตอบว่า “บ่าว… บ่าวก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน!”
ฉู่สวินหยางได้ฟัง ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยว่า “ดูท่าความจำของพวกเจ้านายบ่าวจะไม่ดีเอาเสียเลย เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะจำได้เองแหละ!”
ทำไมอยู่ดีๆ นางถึงคุยง่ายขึ้นเป็นกองเช่นนี้?
ชายารองลอบสงสัยในใจ ระแวดระวังตัว
ฉู่สวินหยางพูดต่อไปว่า “ชิงเถิง ไม่ใช่ว่าสองวันนี้มีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นในวังรึ? ชายารองถูกขังไว้นานเลยตกข่าวไปบ้าง ถือโอกาสว่าตรงนี้มีแต่คนกันเอง เล่าให้นางฟังคลายเหงาสักหน่อยสิ!”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเถิงรับคำยิ้มๆ ก้าวออกมาข้างหน้าชายารองเหลยก่อนจะเริ่มเล่าด้วยเสียงดังฟังชัด “สามวันก่อน นางกำนัลข้างกายหรงเฟยสังเกตเห็นว่ายาบำรุงครรภ์มีรสแปลกๆ สืบเจอว่า บ่าวที่รับผิดชอบต้มยาที่โรงครัวสะเพร่า ลืมใส่สมุนไพรไปสองชนิด ตอนนี้บ่าวผู้นั้นถูกโบยจนตายทั้งเป็น บ่าวไพร่คนอื่นๆ ในโรงครัวก็ถูกจับขังคุกทั้งหมด วันรุ่งขึ้น ตอนที่หมอหลวงไปจับชีพจรหรงเฟย ก็พบโดยบังเอิญอีกว่ารูปสลักหยกกวนอิมม่วงไม่ปกติ พอตรวจดูก็พบว่าฐานล่างกลวงโล่ง มีคนยัดกลิ่นชะมดกับผงดอกกระดังงาใส่ไว้ด้านใน สืบแล้วพบว่า วันที่รู้ข่าวการตั้งครรภ์ของหรงเฟย โจวกุ้ยเฟยได้นำมามอบให้และวางบนโต๊ะบูชาให้ด้วยตัวเอง ฝ่าบาททราบเรื่องเข้าก็พิโรธหนัก ประทานโทษตายแก่ทุกคนในวังหลิวอวิ๋นอย่างไม่มียกเว้น องค์ชายสี่เร่งเดินทางกลับทั้งคืนเพื่อมาขอความเมตตา แต่ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า โจวกุ้ยเฟยตอนนี้ถูกส่งเข้าวังเย็น ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น ทั้งไม่อนุญาตให้ออกมาตลอดชีวิต โจวเชียนขุนนางกรมพิธีการก็ถูกปลดจากตำแหน่ง ส่วนเรื่องล่าสุดนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคืน และบ่าวเพิ่งได้รับข่าวตอนเช้านี้เองว่านางกำนัลของหรงเฟยที่อยู่เวรกลางดึกออกมาเข้าห้องน้ำ ด้วยความเลินเล่อจึงปิดประตูไม่สนิท จนมีแมวป่าแอบหนีเข้าไป ทำเอาหรงเฟยตกใจขวัญหนี หัวของนางกำนัลคนนั้นตอนนี้ถูกแขวนประจานไว้ที่หน้าประตูวัง ชายารองสนใจไปชมดูหรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้อื่นนั้นยังไม่เอ่ยถึง แต่โจวกุ้ยเฟยผู้นั้น นางติดตามฮ่องเต้มานานสามสิบกว่าปีจนคนแก่เฒ่าแล้ว เบื้องหลังยังมีองค์ชายสี่คอยหนุนหลัง วันนี้จะบอกว่าปลดก็ปลดได้ง่ายๆ เลยงั้นรึ?
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสตรีต่างเผ่าหนึ่งคนกับเด็กในครรภ์ที่ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง
เรื่องราวเหล่านี้ แน่นอนว่าชายารองเหลยได้ยินเป็นครั้งแรก ที่ฉู่สวินหยางกล้าเล่าออกมา แสดงว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง
แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับตน แต่พอได้ฟัง นางก็อดจะมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาไม่ได้
ฉู่เยว่เหยียนหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ด้วยถูกท่าทางของฉู่สวินหยางยั่วให้โมโหสุดๆ แต่เพราะเจ็บคอพูดจาไม่สะดวก จึงทำได้เพียงถลึงตามองนางอย่างเกรี้ยวกราด หวังจะให้ร่างนางพรุนไปทั้งตัว
ชายารองเหลยยังตกอยู่ในอาการตะลึง จู่ๆ ก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา อารมณ์บนใบหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางถึงได้รับช่วงต่อ เอ่ยว่า “กุ้ยเฟยที่เคียงข้างฝ่าบาทมานับสิบปียังต้องมีจุดจบเช่นนี้ คนแซ่เหลย เจ้าว่าหากข้าวของที่เจ้าเตรียมเอาไว้ถูกส่งไปอยู่เบื้องหน้าหรงเฟย เจ้าในตอนนี้จะมีชะตากรรมอย่างไร?”
“ของพวกนี้เกี่ยวอะไรกับข้า?” รองชายาเหลยเปิดปาก หัวคิ้วขมวดกันยุ่งเหยิง
“ของพวกนี้ ฮูหยินใหญ่เตรียมไว้เพื่อจะส่งเข้าวังหลังจากที่รู้ว่าหรงเฟยตั้งครรภ์ ภายหลังตรวจพบว่ามีคนเล่นตุกติก ทำให้ของพวกนี้สกปรกเสียแล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ ขณะพูดก็โน้มตัวไปข้างหน้า จ้องตาชายารองเหลยเขม็ง “คนแซ่เหลย เจ้ากล้าพูดไหมว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า?”
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณ ชายารองเหลยจึงเลี่ยงที่จะสบตากับนาง
ตอนที่มึนงง ปฏิกิริยาแรกที่นางแสดงออกจึงดูเหมือนคนที่ถูกจับได้ แต่พอมีสติขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตวาดกลับไปทันที “เจ้าว่าไงนะ? เจ้าจะบอกว่าข้าวางแผนทำร้ายราชนิกุลงั้นรึ? บ้าน่ะสิ โจวกุ้ยเฟยพวกนั้นทำเพราะแย่งชิงความโปรดปราน แล้วข้าจะทำไปทำไม? เจ้าใส่ร้ายผู้อื่นนี่!”
ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้ม แต่ไม่พูดว่าอะไร
“เจ้าใส่ความข้า!” ชายารองเหลยโกรธจัด ตอนที่กำลังจะเถียง ในสมองพลันมีความคิดบางอย่างแวบผ่าน
ทันใดนั้นเอง นางเลิกสนใจฉู่สวินหยาง สะบัดหน้าไปมองฮูหยินใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เอ่ยว่า “นังสารเลว เป็นเจ้า! เจ้าใส่ร้ายข้า!”
ฮูหยินใหญ่มองนางนิ่งๆ ด้วยแววตาอ่อนโยน มุ่นคิ้วเบาๆ เอ่ยว่า “วาจาเช่นนี้ของชายารองมาจากไหนกัน? ท่านก็รู้นี่ว่าของพวกนี้จะต้องถูกส่งเข้าวังเพื่อให้หรงเฟยใช้บำรุงครรภ์ ในเมื่อนายท่านวางใจให้ข้าคอยดูแลกิจในเรือนไปชั่วคราว ข้าน้อยย่อมทุ่มเทจิตใจจัดการดูแล เมื่อตรวจพบว่าสิ่งของพวกนี้ผิดปกติ ข้าจะกล้าส่งเข้าวังไปอีกหรือ? หากเวลานั้นเกิดเรื่องขึ้นมา คงต้องพบกับหายนะกันหมดแน่”
“ของผิดปกติ?” ชายารองเหลยกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุกไม่หยุด เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “ต่อให้มันผิดปกติจริง จะมีใครกล้ารับประกันว่าเจ้าไม่ใช่โจรที่ร้องให้ผู้อื่นจับโจรเล่า?”
“ของพวกนั้นข้าจัดเองกับมือ หากว่ามีของสกปรกส่งเข้าวังไป ข้าย่อมเป็นคนแรกที่ถูกผลักออกไปรับผิด” ฮูหยินใหญ่กล่าว หว่างคิ้วเริ่มมีริ้วความโกรธขึ้นมาบ้าง “ชายารอง ข้ารู้ว่าเพราะเรื่องที่นายท่านให้เกียรติข้า ทำเอาหลายวันนี้ท่านหงุดหงิดใจ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพี่น้องเรือนหลัง เพื่อจะยัดเยียดความผิดฐานบกพร่องในหน้าที่ให้กับข้า แม้แต่ชีวิตของนายท่านกับหลายร้อยคนในจวนท่านก็ไม่ไยดีแล้วรึ? วิธีการเช่นนี้… ออกจะเสียสติเกินไปหรือไม่?”
“เจ้าว่าไงนะ?” ชายารองเหลยถูกนางชี้จมูกด่าให้ยกหนึ่ง ดวงตาพลันเบิกโต “เจ้ากล้าสั่งสอนข้า? เมื่อใดกันที่สตรีต่ำช้าเหมือนสุนัขแอบอ้างบารมีนายอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาติติงข้า”
“ข้าน้อยแค่กล่าวตามจริง” ฮูหยินใหญ่ไม่ยอมอ่อนข้อ “สิ่งของเหล่านี้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่บ่ายวันเดียวกับที่ข่าวดีประกาศออกมา มันถูกเก็บไว้ที่ห้องเสบียงชั่วคราวเพื่อรอส่งเข้าวังในเช้าวันถัดไป คืนนั้นนอกจากแม่นมกุ้ยข้างกายท่านที่เรียกร้องจะเอาผ้าพับสองผืนให้จงได้ ก็ไม่มีใครอื่นเข้าใกล้ห้องเสบียงอีก หรือข้าน้อยจะปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายท่านได้งั้นรึ?”
คำพูดของฮูหยินใหญ่ครบพร้อมด้วยเหตุและผล ชายารองเหลยรู้ว่าเรื่องใหญ่ตึงมือ เหงื่อจึงผุดเต็มหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ฉู่เยว่เหยียนเดิมทีก็โกรธแค้นแทนนาง แต่พอเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้นก็ไม่กล้าเปิดปากอีก เพราะชายารองเหลยหรือมารดาที่ตนรู้จักนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะใช้อุบายชั่วช้าเพื่อใส่ร้ายฮูหยินใหญ่จริงๆ
แม่นมกุ้ยเหมือนหัวใจถูกไฟแผดเผา ร้องเสียงดังว่า “บ่าวแค่ไปหยิบผ้าเท่านั้น จะเอาไปตัดชุดเพื่อใช้วันงานปีใหม่ รับรองว่าไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลยสักนิด บ่าวกล้าสาบานต่อสวรรค์ บ่าวไม่ได้แตะต้องของพวกนั้นเลย!”
“งั้นก็ดี!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เบาๆ อย่างสงบ “ข้าได้ยินว่าหลานชายคนโตของแม่นมกุ้ยน่ารักเฉลียวฉลาด อายุยังน้อย แต่อ่านหนังสือมากนัก ไม่แน่ภายภาคหน้าอาจได้รับราชการนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัว ในเมื่อแม่นมกุ้ยบริสุทธิ์ใจ มิสู้สาบานด้วยอนาคตของเขา ข้าไม่เพียงจะลืมเรื่องเก่าๆ ทั้งหมด แต่จะขอโทษนายของเจ้าต่อหน้าทุกคนอีกด้วย!”
แม่นมกุ้ยออกแรงทั้งหมดจิกเล็บใส่ฝ่ามือ แม้ว่าชายารองเหลยจะแอบส่งสายตาให้อย่างไร นางก็เอาแต่หลบเลี่ยง อ้ำอึ้งอยู่ครึ่งวันแต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงหลุดออกมา
เห็นท่าเช่นนี้ ใครๆ ล้วนมองออก แม่นมกุ้ยหาได้บริสุทธิ์ใจตามที่กล่าวอ้าง
———————————————————–