สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 82 ขับไล่ (2)
ชายารองเหลยรู้ว่าหลานชายคนนี้เป็นจุดอ่อนของแม่นมกุ้ย จึงไม่คิดบีบบังคับนาง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์อาจตาลปัตร ทำความสัมพันธ์นายบ่าวขาดสะบั้นลง
ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก นางได้แต่เถียงฉู่สวินหยางคอเป็นเอ็นว่า “ข้าบอกว่าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ข้าไม่พอใจสตรีชั้นต่ำแซ่เหยานั่นอยู่ แต่คงไม่ไร้สมองถึงขนาดทำเรื่องที่ทำร้ายตัวเองหรอก”
“เจ้าไม่ยอมรับ?” ฉู่สวินหยางกำลังเล่นแหวนนิ้วหัวแม่มือสีหยกที่เพิ่งเก็บขึ้นมาจากข้างเท้า ยกมันขึ้นส่องกับแสงเพื่อตรวจสอบคุณภาพอย่างไม่รีบร้อน
ท่าทางเย็นชาและเรียบง่าย มองแล้วให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก คล้ายว่าบรรยากาศตึงเครียดไม่อาจสัมผัสถึงตัวนางได้เลย
ยิ่งชายารองเหลยเห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง ในใจก็ยิ่งร้อนรนไม่เป็นสุข
“ข้าพูดมากกับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกเรื่องล้วนมีนายท่านเป็นคนตัดสิน อย่าว่าแต่เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำเลย ต่อให้มีเรื่องที่ข้าผิดจริง มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่คนรุ่นหลานอย่างเจ้าจะมาตั้งศาลเตี้ยสอบสวนข้า!” ชายารองเหลยตวาดก้อง เห็นชัดว่าหายใจไม่ทัน พูดจบแล้วก็สะบัดตัวเดินหนี
ชิงหลัวยืนอยู่ด้านหลังนาง ยื่นมือข้างหนึ่งมากดไหล่ของนางไว้ ไม่ยอมให้นางขยับตัว
บุกไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ ความสุขุมที่ฝืนมาครึ่งวันพลันทะลายครืนในชั่วพริบตา
“เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” ชายารองเหลยเหมือนสติขาดผึง ตวาดเสียงแหลมสูงดังก้องไปทั่ว
“ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ ก็ควรยอมรับผลที่ตามมา” ฉู่สวินหยางเอ่ย สายตาเอาแต่มองแหวนนิ้วหัวแม่มือ คล้ายว่าของไม่ถูกใจนัก
นางโยนของเล่นชิ้นนั้นทิ้งไปง่ายๆ
จากนั้นฉู่สวินหยางก็ปัดมือไปมา “เรื่องในวันนี้ข้าจะปิดเอาไว้ก่อน แต่การที่คนนอกไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น สตรีเช่นเจ้า…ห้องพระของวังบูรพาคงจะเล็กเกินไป”
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอะไร?” ชายารองเหลยเสียงสั่น แม้แต่ความกล้าหาญที่จะแผดเสียงก็หายไปสิ้น รู้สึกถึงความหายนะที่กำลังจะเกิด
“จากสภาพของน้องห้า คาดว่างานเลี้ยงปีใหม่ในวังคงเข้าร่วมไม่ได้แล้ว รั้งตัวอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะให้เป็นที่นินทา” ฉู่สวินหยางเอ่ย หยุดใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชิงหลัว สั่งว่า “เจ้าไปแจ้งกับพ่อบ้านเฉิง ให้เขาเตรียมรถม้า ส่งชายารองกับน้องห้าออกไปเสียตอนนี้เลย สภาพของน้องห้าต้องการการพักฟื้น มีชายารองคอยดูแลข้างกาย ท่านพ่อก็จะได้ไม่เป็นห่วง จวนนอกเมืองหลังนั้นก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมไว้นานแล้วนี่?”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงหลัวรับคำทันใด หมุนกายไปทันที
หัวคิ้วของฮูหยินใหญ่พันกันเล็กๆ
คนแซ่เหลยแม่ลูกทำหน้าโง่งม
ผ่านไปพักหนึ่ง ชายารองเหลยถึงได้สติกลับมา
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองฉู่สวินหยางอย่างไม่อยากจะเชื่อ กระซิบเสียงแผ่วว่า “เจ้าไล่ข้าออกจากจวน?”
“วังบูรพาของข้าไม่มีทางเก็บตัวหายนะไม่รู้จักหนักเบาทั้งยังอาจหาญเทียมฟ้าเอาไว้แน่!” ฉู่สวินหยางเอาชนะด้วยรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น
“เหอะ…” ชายาเหลยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รอยยิ้มสาวงามที่มาพร้อมกับหยดน้ำตาที่พรั่งพรู
จู่ๆ นางก็หยุดหัวเราะเอาดื้อๆ ราวกับถูกใครบีบคอเอาไว้ สายตาเหี้ยมโหดเกลียดชังตวัดมองฉู่สวินหยาง เค้นเสียงลอดฟันออกมาว่า “ข้าคือชายารองที่แต่งเข้ามาอย่างสมเกียรติ เจ้านับเป็นตัวอะไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้าออกจากจวน?”
“ข้านับเป็นตัวอะไร?” ฉู่สวินหยางไม่โกรธ ยังคงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อน สายตาที่มองนางก็ราบเรียบ “ขออภัยทีเถอะ คนแซ่เหลย ปีนั้นเจ้าเข้าจวนมาอย่างยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าไม่มีวาสนาได้ชื่นชม แล้วก็ไม่ได้อยากจะ
รับรู้ด้วย ข้ารู้เพียงว่าเจ้าเป็นอนุคนหนึ่งในเรือนหลังของท่านพ่อที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันนี้ยังทำความผิดร้ายแรง การที่ข้าลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”
นางจงใจย้ำเสียง ‘อนุ’ สองพยางค์ให้ชัดเจน
สิ่งที่เรียกว่าอนุ หากไม่นับตามลำดับขั้น พูดตามภาษาชาวบ้านก็ถือเป็นเมียน้อยชั้นสูง มีฐานะเป็นเจ้านายอยู่ครึ่งหนึ่ง
ชายารองเหลยเริ่มเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ สีแดงก่ำเรื่อหน้า ริมฝีปากสั่นระริก กำลังจะอ้าปาก แต่ฉู่สวินหยางไม่เปิดโอกาสให้นาง
นางลุกขึ้น ก้าวขาไปด้านข้างเท้าหนึ่ง ใช้สายตาเย็นชาจดจ้องชายารองเหลย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“อย่าคิดใช้ความอาวุโสมากดทับข้า! เจ้าไม่คู่ควร! ข้าหาใช่เป็นคนสามัญ ที่นี่คือวังบูรพา เป็นราชสกุล! ต่อให้สกุลของเจ้าจะได้อยู่ในผังราชวงศ์เพราะท่านพ่อ แต่เอาเข้าจริง ข้าเป็นท่านหญิง เจ้าเป็นอนุ หรือจะเรียกสามัญชนก็ยังได้ พฤติกรรมของเจ้าก็เห็นๆ อยู่ วันนี้ยังสร้างเรื่องสร้างราว ที่ข้าลงโทษเจ้าย่อมเป็นสิ่งถูกทำนองคลองธรรม!”
ครอบครัวของขุนนางทั่วไป ต่อให้เป็นบุตรธิดาของบ้านใหญ่ก็ยังต้องให้เกียรติแม่รองอยู่หลายส่วน
แต่เมื่อเป็นราชสกุล ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
สายโลหิตสูงส่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น!
ต่อให้ลำดับศักดิ์ของชายารองจะพอสูสีกับฉู่สวินหยาง แต่ถ้าพูดกับตรงๆ ฉู่สวินหยางเป็นราชนิกุลหญิงที่มีสายเลือด ขัตติยวงศ์ ทั้งปีนั้นยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ ชายารองเหลยกับนางจึงห่างชั้นกันอย่างไม่ต้องเปรียบ
ชายารองเหลยเบื้อใบ้ ได้แต่มองนางอย่างตกตะลึง
เรื่องอื่นๆ นางยังพอดันทุรังเถียงต่อได้ มีเพียงกฎของราชวงศ์เท่านั้นที่นางจนปัญญาจริงๆ
ฉู่สวินหยางเหลือบมองนางทีหนึ่ง แล้วโบกมือส่งให้ เอ่ยว่า “แยกย้ายกันไปเสีย ชิงเถิง ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ด้านนอกคนมากวุ่นวาย บอกพ่อบ้านเฉิงว่าไม่ต้องตระหนี่ ส่งคนคุ้มกันตามไปมากหน่อย อย่างไรก็ต้องส่งชายารองกับน้องห้าไปให้ถึงจวนนอกเมืองอย่างปลอดภัย”
ปากบอกว่าคนคุ้มกัน แต่ความจริงคือผู้คุม นี่คือการตัดความหวังที่พวกนางจะร้องขอความช่วยเหลือจากจวนสกุลเหลย
ชายารองเหลยถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนสีหน้างุนงง รับมือไม่ไหว ตัวคนคล้ายจะสติหลุดไปแล้ว ยืนโง่งมแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ฮูหยินใหญ่ส่งสายตาให้ทีหนึ่ง หรูโม่รีบออกไปนอกเรือน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับสาวใช้รุ่นใหญ่ตัวบึกบึน
“ชายารองเหลยกับท่านหญิงห้ามีฐานะสูงส่ง แม้ว่าจะอยู่ด้านนอกแต่ก็ไม่อาจให้เสียเกียรติ” ฮูหยินใหญ่เอ่ย “พวกเจ้าทั้งหมดติดตามไปรับใช้ อย่าได้อิดออดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
ชายารองเหลยกับฉู่เยว่เหยียนจะออกจากจวน สาวใช้ประจำกายสองคนอย่างไรก็ต้องพาไปด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ มิอาจให้พวกนางเลือกสรรได้ตามใจ
สาวใช้รุ่นใหญ่พวกนี้ล้วนแต่ทำงานหยาบอยู่นอกจวน ก่อนนั้นที่ชายารองเหลยมีอำนาจก็ไม่เคยเห็นหัว ไม่เคยมองหน้าพวกเขาเสียด้วยซ้ำ ภายภาคหน้าจะลำเลิกทวงบุญคุณต่อกันย่อมเป็นไปไม่ได้
“ตอนนี้ฟ้ายังไม่ทันมืด รีบไปเสียเถอะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวจบก็หมุนกายเดินหนี เห็นชัดว่าไม่สนใจเรื่องต่อจากนี้แล้ว
สาวใช้รุ่นใหญ่เดินออกมา พยายามจะลากชายารองเหลยแม่ลูกออกไป
ฉู่เยว่เหยียนที่อึ้งอยู่นานเพิ่งจะได้สติ รู้ว่าชายารองเหลยยังเอาตัวไม่รอดจึงไม่ฝากความหวังไว้อีก ไม่รู้ว่านางเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ผลักสาวใช้รุ่นใหญ่ที่กำลังดึงนางอยู่จนล้ม สับขาวิ่งตามฉู่สวินหยางไปทันที
“พี่สาม!” สายตาชิงชังโกรธแค้นก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปทันที นางกระโจนเข้าไปกอดขาฉู่สวินหยาง แหกปากคร่ำครวญว่า “ข้าผิดไปแล้ว เป็นข้าที่โง่เขลา วันนี้ข้าไม่ควรมาก่อกวนฮูหยินใหญ่! พี่สาม ข้าไม่อยากไปจากจวน เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะไปสารภาพผิดกับท่านพ่อ ขอร้องล่ะ อย่าส่งข้าออกจากจวนเลย!”
หากออกไปแล้ว นางคงไม่มีหวัง กลัวว่าการกลับมาครั้งต่อไปก็คงถูกหามแต่งเข้าจวนสกุลเหลยเลย
เพราะว่าลำคอได้รับความบาดเจ็บ เสียงของนางจึงแหบและต่ำ ฟังคล้ายเครื่องอัดลมเก่าๆ ตัวหนึ่ง
และมีเพียงฉู่เยว่เหยียนที่เข้าใจ ว่าทุกคำที่ตนเอ่ยออกไปคล้ายมีน้ำมันร้อนๆ ลวกลำคอ ทรมานอย่างสาหัส
ทางเดินของฉู่สวินหยางถูกนางขวางไว้ มองจากด้านบนเห็นดวงหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฉู่เยว่เหยียนยอมรับผิด แม้น้ำเสียงท่าทางจะฟังจริงใจไม่เลว แต่จากที่นางเห็น กลับน่าขบขันยิ่งนัก
“น้องห้า สันดรขุดได้ สันดานขุดยาก เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าวิ่งมายอมรับผิดกับข้า แล้วข้าจะเชื่อเจ้ารึ?” ฉู่สวินหยางยิ้ม ดวงตากระจ่างใสแฝงความเย้ยหยันที่ไม่คิดจะปิดบัง
นางโน้มตัวลงไป ปัดมือของฉู่เยว่เหยียนที่ดึงชายกระโปรงของนางเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้คลื่นลม “เจ้าลืมไปแล้วหรือไง? พวกเรายังมีบัญชีแค้นเก่าอีก? แค่ให้เจ้าแต่งกับเหลยซวี่ ถือว่าข้าเมตตามากแล้ว”
ฉู่เยว่เหยียนถูกนางผลักออก ร่างกายเอนไปอีกทาง ตกตะลึงไม่ขยับเขยื้อน
หญิงผู้นี้ จะไม้อ่อนหรือไม่แข็งก็ใช้ไม่ได้ผล!
นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมก้มศีรษะ ขอร้องผู้อื่นเสียงอ่อนเสียงหวาน สุดท้ายกลับได้มาเพียงวาจาเหยียบหยันให้อับอาย
ฉู่สวินหยางคร้านจะเปลืองน้ำลายกับนาง จึงเดินอ้อมตัวนาง มุ่งหน้าไปทางเรือนจิ่นฮว่า
ด้านหลัง ชายารองเหลยกับลูกสาวต่างก็ยื้อยุดอย่างไม่ยินยอม เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วบริเวณ ฉู่สวินหยางทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน
กลับมาถึงเรือนจิ่นฮว่า ชิงหลัวรินน้ำชาให้นางจิบดับกระหาย ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านหญิง ในเมื่อจวนเรามีตัวปัญหาอย่างชายารองเหลยกับลูกสาวลดไปสองคน ต่อไปเรื่องวุ่นวายคงจะหายไปมาก แต่ว่าส่งชายารองเหลยออกไปเช่นนี้ ต่อไปฮูหยินใหญ่จะไม่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ผู้เดียวหรือเจ้าคะ?”
“ขอเพียงนางรู้ขอบเขตของตัวเอง จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จก็ไม่เป็นไร” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึว่านางอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ที่ช้ายอมเล่นละครเรื่องเดียวกับนาง หนึ่งเพราะให้นางติดค้างน้ำใจข้า สองคือ… ข้าก็อยากจะหาเหตุผลส่งผู้หญิงไร้สมองอย่างชายารองออกไปให้ไกลๆ ในจวนนี้ไม่มีนางมาวุ่นวาย คงจะสงบขึ้นมาก”
ชิงเถิงเก็บของอยู่ด้านข้าง ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ หันหน้ามามอง เอ่ยว่า “ท่านหญิงหมายถึง เรื่องนี้… ความจริงแล้วเป็นฮูหยินใหญ่ที่ใส่ร้ายชายารองเหลย?”
ฮูหยินใหญ่นั้นมองดูใจดีไร้พิษสง แต่ถึงคราจะยืมดาบฆ่าคน…
คิดแล้วก็ชวนให้ตื่นตะลึงในใจ
“ทำไมล่ะ? เจ้ารู้สึกว่าชายารองเหลยถูกกระทำ? สงสารรึ?” ฉู่สวินหยางยังมีท่าทีไม่ใยดีแยแส ทั้งยังมีอารมณ์มาเอ่ยกระเซ้าอีก
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ…” ชิงเถิงกล่าว หัวคิ้วมุ่นเบาๆ อารมณ์บนหน้าพันกันยุ่งเหยิง “ชายารองเหลยก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่า…”
“ครั้งนี้นางพลาดท่าเสียที แต่หากนับจริงๆ ก็ไม่ถือว่าถูกกระทำทั้งหมด” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ไม่ต้องการฟังนางพูดต่อไปอีก นางหลุบตาจิบชา รอยยิ้มในดวงตาจางจืดไป ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ชายารองเหลยสายตาตื้นเขินอยู่บ้าง แต่นางไม่โง่ขนาดไปงัดข้อกับฮูหยินใหญ่ทั้งที่ตนมีความผิดฐานทำร้ายราชนิกุล ก็จริงตามที่นางพูด ต่อให้นางเกลียดชังฮูหยินใหญ่เพียงใด ก็คงไม่ลงทุนใช้ตัวเองเพื่อกำจัดอีกฝ่ายหรอก”
“เช่นนั้น…” ชิงเถิงอ้าปากอ้าง สายตาที่มองฉู่สวินหยางพลันเปลี่ยนเป็นความซับซ้อน
ฉู่สวินหยางไม่เคยใช้อุบายชั่วช้าเช่นนี้ไปทำร้ายผู้คน เว้นแต่จะเจอคนที่ไม้รู้จักประเมินตนมารนหาที่ตาย
แต่ถ้าครั้งนี้นางช่วยฮูหยินใหญ่ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าชายารองเหลยไม่ได้มีความผิด…
ฉู่สวินหยางเข้าใจว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ก็เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินใหญ่มิใช่คนปั้นน้ำเป็นตัว ปฏิกิริยาก่อนหน้านั้นของชายารองเหลยกับแม่นมกุ้ย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่นางคิดเป็นความจริง ชายาเหลยจะต้องทำอะไรบางอย่างกับข้าวของเหล่านั้นแน่ เพียงแต่เป้าหมายคือฮูหยินใหญ่เพียงคนเดียว หาได้ร้ายแรงอย่างที่ฮูหยินใหญ่พูดไว้ จะว่าไปแล้ว กำจัดชายารองเหลยไปได้ ก็ไม่ใช่ว่าข้าใส่ร้ายนางทั้งหมด”
“นางจะทำอะไรได้หรือเจ้าคะ?” ชิงเถิงมักจะสนใจข่าวตบตีแย่งชิงของเรือนหลังอยู่เสนอ ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องทันควัน
“ข้าไม่รู้หรอก” ฉู่สวินหยางถอนหายใจยาว บิดตัวแก้เมื่อยแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง “ต้องไปถามฮูหยินใหญ่เจ้าตัวเอาเอง”
———————————————————–