สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 82 ขับไล่ (3)
เวลาเดียวกันที่เรือนหย่าถิง ฮูหยินใหญ่นั่งดื่มชาอยู่ในเรือนเงียบๆ
หรูโม่ออกไปจัดการธุระพักหนึ่ง รอจนส่งชายารองเหลยกับลูกสาวขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมา
“เรียบร้อยดีไหม?” ฮูหยินใหญ่ถาม
“เจ้าค่ะ!” หรูโม่พยักหน้า “คุณหนูสบายใจได้ บ่าวเห็นกับตาว่ารถเคลื่อนออกจากตรอกไปแล้ว พ่อบ้านเฉิงส่งผู้คุ้มกันไปด้วยสิบหกคน บ่าวรุ่นใหญ่ที่ตามไปก็จัดการดีแล้ว ครั้งนี้คนแซ่เหลยแม่ลูกคงจะได้อยู่ที่จวนนอกเมืองอย่างสงบจนกว่าท่านหญิงห้าจะออกเรือนเลย”
“อืม!” ฮูหยินใหญ่ยิ้มเล็กๆ ทว่าหาได้มีความยินดีแฝงอยู่สักเท่าไร ไม่นานก็ส่ายหน้ายิ้มขื่น “เดิมทีข้าคิดจะยืมมือเด็กคนนั้นกักบริเวณนาง ให้นางก่อเรื่องวุ่นวายให้น้อยหน่อย คิดไม่ถึงว่านางจะถอนรากถอนโคน ตัดปัญหาที่จะตามมาเสีย!”
แผนการของฉู่สวินหยาง ยากที่ใครจะคาดเดา
“ความจริงส่งนางออกไปก็เป็นเรื่องดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ!” หรูโม่เอ่ย หลุบตาต่ำเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่มองนางทีหนึ่ง ยกมือขึ้นตบหลังมือของนาง “เจ้าพูดจาปากไม่ตรงกับใจเพื่อปลอบโยนข้า เด็กคนนั้นฉลาดเพียงใด มีหรือจะไม่รู้ว่าข้าจงใจยืมมือนาง แค่นางไม่เปิดโปงข้าเท่านั้นเอง หลังจากนี้ก็อยู่เงียบๆ ไปก่อนเถอะ หากว่าเอะอะเกินไปคงไม่ใช่เรื่องดี”
หรูโม่คิดเล็กน้อย แต่ก็อดจะเปิดปากถามไม่ได้ “ความจริงเรื่องนี้คุณหนูสามารถบอกท่านหญิงสวินหยางไว้ล่วงหน้า อย่างไรชายารองเหลยก็คิดไม่ซื่อ เป็นคนคิดร้ายกับคุณหนูก่อน”
“บอกแล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าเพราะคนแซ่เหลยคิดร้ายต่อข้า นางถึงร่วมมือกับข้าจัดการคนแซ่เหลยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังรึ?” ฮูหยินใหญ่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย นางลุกขึ้นเดินไปข้างห้อง มองต้นเหมันต์เขียวเตี้ยๆ ที่ตัดแต่งเองกับมือซึ่งวางอยู่บนชั้น เอ่ยว่า “เอาเข้าจริง นางก็ไม่ใช่ลูกสาวข้า ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยข้าเดินหมาก วันนี้นางยอมหลับตาข้างหนึ่งผสมโรงกับข้า นั่นเพราะนางเองก็ต้องการเช่นนี้ ทั้งเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงโดยรวม ตอนนี้ในจวนบนๆ ล่างๆ นอกจากนายท่านกับคังจวิ้นอ๋อง ยากนักที่ใครจะคิดหาเรื่องเอาเปรียบนางด้วยมือเปล่าได้? ”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หรูโม่ก็ใจสั่นไปหมด
นางเดินออกไปหน้าประตูชะเง้อมองซ้ายมองขวา เสร็จแล้วก็งับปิดอย่างระมัดระวัง เดินกลับมาที่ข้างกายฮูหยินใหญ่ เอ่ยว่า “คุณหนู ท่านไม่ได้บอกว่าที่คังจวิ้นอ๋องกลับจวนอย่างกะทันหันเป็นเพราะได้รับการชี้แนะลับๆ จากนายท่านหรือเจ้าคะ? ท่านคิดว่า… ท่านอ๋องจะทอดทิ้งท่านจ่างซุนแล้วมาสนับสนุนให้คังจวิ้นอ๋องขึ้นรับตำแหน่งแทน?”
“ไม่ใช่ข้าคิด เป็นฉู่สวินหยางต่างหาก” ฮูหยินใหญ่เอ่ย “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาไปเมืองฉู่ครั้งก่อน แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ตั้งแต่กลับมาจากเมืองฉู่ เด็กสวินหยางนั่นก็มีท่าทีต่อคนแซ่เหลยต่างไปจากเดิม อย่าคิดว่านายท่านแค่รักนางมากกว่าใครๆ หลายปีก่อนท่านพ่อเคยบอกกับข้าว่า ภายภาคหน้านายท่านจะผลักดันใครรับตำแหน่ง หาได้มองว่าใครเก่งกล้ากว่าใคร สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือจะต้องคิดและสามารถปูทางให้กับอนาคตของฉู่สวินหยางได้ แต่ก่อนท่านจ่างซุนกับ
สวินหยางก็แค่ไม่สนิทกัน แต่ว่าบัดนี้เขาเลอะเลือนถึงขั้นยินยอมและยังยั่วยุให้คนนอกเข้ามาทำร้ายนาง จากจุดนี้ เส้นทางการขึ้นเป็นผู้สืบทอดของเขาคงจบสิ้นแล้ว หากนายท่านทอดทิ้งเขา อนาคตเขายังจะมีอะไรเหลืออีก?”
น้อยครั้งที่ฮูหยินใหญ่จะเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ แม้ว่าหรูโม่จะพอเดาในสิ่งที่นางคิดออก แต่พอได้ฟังแล้วก็อดจะหวั่นในใจมิได้
“คุณหนูจะบอกว่า…ท่านผู้เฒ่ามองออกแต่แรกแล้ว ว่าต่อไปข้างหน้านายท่านจะเลือกผู้สืบทอดตามความต้องการของท่านหญิงสวินหยาง?”
ฉู่อี้อันคือรัชทายาท ผู้สืบทอดของเขาหาใช่ตำแหน่งสามัญ นั่นคือผู้นำแคว้นเหนือเหนือประชานับหมื่นแสนในอนาคต
ต่อให้เขารักบุตรสาวมากเพียงใด แต่บ้านเมืองหาใช่ละครฉากหนึ่ง จะตัดสินใจเลือกผู้สืบทอดจากคนที่บุตรสาวพอใจได้อย่างนั้นรึ?
คิดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินใหญ่ก็นวดหว่างคิ้วอย่างเหน็ดเหนื่อย “นั่นสิ ตอนแรกข้านึกว่านายท่านแค่รักสวินหยางมากกว่าคนอื่นๆ ก็เท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้ มันเกินไปไกลกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก”
หรูโม่ถอนหายใจซ้ำ อารมณ์ร้อยพันตีกันไม่หยุด สุดท้ายก็อดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ “ปีนั้นใครๆ ก็พูดว่านายท่านมัวเมาด้วยเพราะคนแซ่ฟางเลอโฉม แต่เพราะถูกบีบคั้นจากฮองเฮาและขุนนางในราชสำนัก แม้จะยอมส่งคนออกไปแต่หัวใจของนายท่านก็ยังลืมนางไม่ลง หรือเพราะสาเหตุนี้ เขาถึงได้ให้ความสำคัญกับท่านหญิงสวินหยางมากกว่าใครๆ”
“ใครจะรู้เล่า?” ฮูหยินใหญ่ยิ้ม ทว่ามีรอยขมขื่นให้เห็นอย่างชัดเจน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้เกี่ยวข้องย่อมต้องกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ปีนั้นที่ฉู่อี้อันยินยอมรับอนุอย่างพวกนางให้แต่งเข้าจวน เจตนาเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของฮองเฮา เพราะตอนแรกเขาดึงดันทำทุกทางเพื่อจะตั้งคนแซ่ฟางขึ้นเป็นเมียใหญ่ ฮองเฮาจึงเริ่มไม่พอใจเขา ทว่าเขากลับไม่ยอมถอย ตอนที่ฮ่องเต้ประทานความเมตตา เขาก็ยอมเปลี่ยนท่าที สุดท้ายฝืนใจยอมรับ ทำตามสิ่งที่ฮ่องเต้จัดสรรไว้ให้ แต่งตั้งคนแซ่เหลยเป็นชายารอง ทั้งรับอนุอย่างพวกนางอีกสามคน
เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้สุด คนที่ควรหลงก็หลง คนที่ควรยกย่องก็ยกย่อง จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครานั้น เหล่าขุนนางก็หุบปากกันสนิท หากวันนี้มีใครเอ่ยถึง ก็จะเล่าว่าเขาในวัยหนุ่มยังไม่รู้ความ และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อตำแหน่งของเขาในราชสำนัก
ในใจของฮูหยินใหญ่รู้ดีกว่าอะไรทั้งหมด แม้จะเพียงในนาม แต่เขาก็ยังเก็บตำแหน่งชายาเอกเอาไว้หลายปีเพื่อคนแซ่ฟางผู้นั้น ทว่านางเริ่มสัมผัสถึงบางสิ่งได้อย่างชัดเจน…
ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่าเขายังฝังใจกับคนแซ่ฟางเพียงไร แต่ความจริง ฐานะของคนแซ่ฟางในใจเขาคงจะไม่หนักแน่นและลึกซึ้งไปกว่าฐานะที่เขาครอบครองอยู่ในตอนนี้
ดีไม่ดี…
เขาอาจจะมั่นใจมากพอว่าตนมีวิธีการที่จะคว้าทั้งสองอย่างมาครอบครอง
“ช่างเถอะ!” ทิ้งเรื่องราวน่าปวดใจเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง ฮูหยินใหญ่ยกมือโบกไปมา เอ่ยว่า “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ท่านพ่อเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักหลายสิบปี การแก่งแย่งชิงดี กลอุบายมากเล่ห์พวกนี้ล้วนถูกมองออกจนทะลุปรุโปร่ง หากเขาพูดมาเช่นนี้แปดส่วนคงไม่ผิดเป็นแน่ ข้าอาศัยอยู่จวนนี้มาก็เกือบยี่สิบปีแล้ว มีอะไรที่ปลงไม่ลงอีก ก่อนหน้านี้เคยอยู่อย่างไร ต่อไปก็อยู่เช่นนั้นแหละ”
หรูโม่มองรอยยิ้มสงบนิ่งของนาง ในใจก็พลันเจ็บปวด
แค่ความรู้สึกระหว่างชายหญิง ทว่าไม่อาจทำทุกอย่างได้ตามใจหวัง ทั้งยังล่วงเลยผ่านมานับหลายปีแล้ว
“จดหมายฉบับนั้นของชายารองเหลย…” เมื่อตั้งสติได้ หรูโม่ก็เอ่ยถามว่า “ยังต้องเก็บไว้ไหมเจ้าคะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก” ฮูหยินใหญ่ตอบ “ของไร้ค่าเช่นนั้น เด็กสวินหยางนั่นคงไม่เห็นในสายตา เผาทิ้งเสีย หากว่าวันข้างหน้าเกิดหลุดออกไปเดี๋ยวได้เป็นเรื่องอีก นิสัยของฮองเฮาเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้”
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว!” หรูโม่พยักหน้ารับ เดินเข้าไปด้านในห้อง หยิบแผ่นคล้องเคลือบทองออกมาจากช่องลับที่โต๊ะเครื่องแป้งของฮูหยินใหญ่ แผ่นคล้องนั้นตีออกมาได้อย่างประณีต ตัวเกี่ยวสองฝั่งติดสลับกัน พอเลื่อนออกก็จะกลายเป็นสองแผ่น
แผ่นคล้องเช่นนี้ยากจะพบเห็น แต่เหล่าฮูหยินสกุลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงจะคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นเครื่องรางที่พระอาจารย์ชื่อดังในวิหารหลวงทำขึ้น ด้านในสามารถแกะออกแล้วใส่กระดาษลงไปได้ ใช้เพื่ออธิฐานขอพร เล่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
เครื่องรางชิ้นนี้ฮูหยินใหญ่ไปขอมาให้ฉู่เยว่หนิงตั้งแต่สองเดือนก่อน คิดจะให้เป็นสินเจ้าสาวเพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อมาหรงเฟยตั้งครรภ์พอดี เพื่อแสดงความจริงใจ ถึงได้นำออกมาเตรียมจะส่งเป็นของขวัญเข้าวัง
ฉู่สวินหยางเดาเอาไว้ไม่ผิด ชายารองเหลยไม่ได้โง่งมถึงขนาดทำให้ตัวเองต้องโทษคิดร้ายต่อราชวงศ์ นางแค่สั่งให้แม่นมกุ้ยเข้าไปในห้องเสบียง ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครคอยระวังสับเปลี่ยนจดหมายในแผ่นคล้องนั้นเสีย
จากเครื่องรางอวยพรธรรมดา กลายเป็นจดหมายที่ฮูหยินใหญ่เขียนเองกับมือ ว่าต้องการดึงนางมาเป็นพวก เหมือนกับสารผูกมิตรที่ส่งให้กับศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
ปีนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ค่อยจะใส่ใจกับเหล่าสตรีในวังหลังเหมือนในอดีต แต่หลังจากทั่วป๋าหรงเหยาเข้าวังไป คล้ายว่าพระองค์จะกลับมาลุ่มหลงกิจธุระระหว่างชายหญิงอีกครั้ง ระยะนี้ก็ค้างที่ตำหนักของนางแทบทุกคืน จนวันนี้นางตั้งครรภ์แล้ว…
แม้ฮองเฮาจะไม่พูดอะไร แต่ข้างในคงเห็นนางเป็นตะปูตำเท้า
ถึงข้าวของจะส่งไปให้ทั่วป๋าหรงเหยาทางนั้น แต่ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าหลัวฮองเฮาใช้วิธีใดในการปกครองวังหลัง ไม่มีเรื่องใดสามารถเล็ดลอดสายตาหลัวฮองเฮาไปได้ นั่นเท่ากับว่าฮูหยินใหญ่เดินมาชนปากกระบอกปืนของนางเอง แส่หาเรื่องตายชัดๆ!
การยืมดาบฆ่าคนเช่นนี้ ถือว่าชายารองเหลยทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงมองทะลุถึงนิสัยของนาง ทั้งยังคำนวณแผนการที่หลัวฮองเฮาใช้ปกครองวังหลังได้อย่างไม่ตกหล่น
แต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่ที่ไม่เคยมีบทบาทอะไรจะระวังตัวถึงเพียงนี้ พอรู้ว่าแม่นมกุ้ยเข้าไปที่ห้องเสบียง ก็สั่งคนให้ตรวจสอบของทั้งหมดที่จะส่งเข้าวังอีกรอบหนึ่ง จนค้นเจอจดหมายฉบับนั้นเข้าโดยบังเอิญ
ทว่ายังมีเรื่องที่เหนือชั้นยิ่งกว่า ฮูหยินใหญ่เรียกคนมาจัดการกับข้าวของ ใส่สิ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอซูบผอมเพิ่มไปด้วย จากนั้นก็ค่อยแอบมาฟ้องฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางเก็บของเอาไว้ ยังไม่เคลื่อนไหวชั่วขณะ ประจวบกับวันนี้ที่ฉู่เยว่เหยียนมาก่อเรื่องถึงได้คิดออกกะทันหัน ทำเอาชายารองเหลยไม่อาจตั้งรับได้ทัน
หรูโม่หยิบเอากระบอกจุดไฟขึ้นมา แล้วเผาจดหมายทิ้ง
แซ่เหลยสองแม่ลูกถูกส่งออกไปแล้ว วังบูรพาสงบขึ้นมาก ฮูหยินรองเพิ่งจะถูกปล่อยออกมาจากห้องพระ วันๆ ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่โผล่หน้าออกไปไหน ฮูหยินสามนั้นแม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าปล่อยแรง หลบอยู่มุมห้องเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ
วุ่นวายกับการตระเตรียมงานใหญ่ พริบตาเดียวก็ถึงวันสุดท้ายของปีแล้ว
เช้าตรู่วันนี้ ขุนนางในเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปและเหล่าชายาที่ได้รับราชโองการแต่งตั้งตั้งแต่ขั้นสี่จะต้องสวมชุดทางการเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวง
ฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่ในชุดเต็มยศสีเหลืองทองหรูหราเปี่ยมบารมี ขณะนี้กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ประธาน ก้มมองเหล่าขุนนางที่มารวมกันเต็มท้องพระโรงด้วยสีหน้าเมตตาอบอุ่น ทุกคนจะถูกเรียกเข้าไปด้านในเพื่อถวายพระพรตามลำดับบรรดาศักดิ์สูงต่ำ เหมือนกับสายน้ำที่ไหลเข้าออกไม่ขาดสาย วนไปวนมาเช่นนี้จนใกล้เที่ยงถึงเป็นอันเสร็จครบจบพิธี
งานเลี้ยงในวังจะจัดขึ้นตอนบ่ายยามเว่ย[1] เมื่อพิธีถวายพระพรสิ้นสุดแล้ว ฮ่องเต้กับฮองเฮาจะเสด็จกลับไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่ตำหนัก คนอื่นอยู่ว่างๆ ก็ได้แต่เดินเล่นในอุทยานหรือตามตำหนักสามสี่แห่งที่จัดเตรียมเอาไว้ให้
ฉู่สวินหยางไม่พิศวาสงานเลี้ยงเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิม นางอยู่ร่วมวงกับพวกฉู่เยว่หนิงกล่าวทักทายพูดคุยเหล่าชายาและคุณหนูที่มาร่วมงาน ทว่าสายตาก็คอยสังเกตุการณ์เคลื่อนไหวของคนรอบด้าน วนเวียนอยู่หลายทีจนพบคนที่นางสนใจในที่สุด
นางหันไปมอง คล้ายว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกตัว จึงขมวดคิ้วมองกลับมา
ฉู่สวินหยางยิ้มบางๆ ก่อนจะหาข้ออ้างผละตัวออกจากกลุ่มคนแล้วเดินไปนอกตำหนัก
คนผู้นั้นตะลึง ดวงตาเคร่งขรึมมองตามแผ่นหลังของนางไป จากนั้นก็ตัดสินใจเดินตามออกไปทันที
———————————————————–
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลาประมาณ 11.00-13.00น.