สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 83 ลอบสังหาร (1)
ฉู่สวินหยางเดินออกมาจากตำหนัก และเลี้ยวหายไปตรงสุดระเบียงทางเดิน
ฉู่ฉีเหยียนที่เดินตามมาและมองตรงมาอย่างแน่วแน่กลับหยุดอยู่เพียงหัวโค้งนั้น แล้วหันไปมองกิ่งดอกเหมยในแปลงดอกไม้ด้านล่าง
“เจ้าจงใจเรียกข้าออกมา มีธุระกับข้ารึ?” ฉู่ฉีเหยียนถามเสียงเรียบจนฟังเหมือนทุ้มต่ำอยู่ในทีอย่างตรงไปตรงมา
หากมองจากมุมของแขกที่เดินเข้าออกตำหนักอยู่ไกลๆ นั้น จะเห็นเขากำลังชมวิวทิวทัศน์อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครมารบกวนเขา
ฉู่สวินหยางยืนอยู่อีกด้านของกำแพงและไม่ได้หันกลับมามองเขาเช่นกัน เพียงถามกลับว่า “ข้านึกว่าเจ้ามีเรื่องจะบอกข้าเสียอีก!”
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงชั่วครู่ก็เดินจากไปเอง
เขานั้นมุ่งมั่นและอดทนมาโดยตลอด แค่โดนเด็กคนเดียวยั่วยุไม่ทำให้เขาตีตนไปก่อนไข้หรอก
ถ้าหากเป็นคนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เหมือนเขา อย่างไรก็คงอดทนไม่ไหวแน่ ยังดีที่รู้สึกได้ถึงแผนการอันแยบยลที่ฉู่สวินหยางปิดบังเขาไว้ จึงเอ่ยปากถามไปในทันใดว่า “ได้ยินว่า…สนมของซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นป่วย!”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนนั้นเหมือนมีแสงส่องสว่างท่ามกลางความมืดอย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นเขาก็หยุดแล้วหันมาบอกเสียงเรียบว่า “คงไม่ต้องให้ท่านหญิงสวินหยางเป็นกังวลให้เหนื่อยอีกต่อไปแล้ว สองวันก่อนซื่อจื่อซูพบคังจวิ้นอ๋องระหว่างทางกลับวัง ‘โดยบังเอิญ’ 2-3 วันมานี้เปลี่ยนทั้งหมอและยา ได้ยินมาว่าอาการดีขึ้นมากทีเดียว!”
ซูหว่านนั้นยังไม่รู้ประสา เพียงแค่พี่น้องฉู่หลิงอวิ้นแกล้งแสดงความเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งนางเองก็อยากจะประจบประแจงฉู่ฉีเหยียน วันนั้นได้จึงวางยาลงในอาหารของฉู่หลิงซิ่ว
แต่เรื่องนี้จะว่าซูหลินโง่เกินไปก็ไม่ได้ ตั้งแต่ซูอี้ได้เตือนเขาตอนนั้นก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า อันที่จริงเขาไม่ได้อยากลงมือจัดการฉู่หลิงซิ่วในช่วงนี้ เพียงแค่รอโอกาสในภายภาคหน้าเท่านั้น
ทว่า เขาโกรธจนปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ ดังนั้นพอได้ยินว่าฉู่หลิงซิ่วล้มป่วย และยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจังก็จำต้องเล่นตามน้ำไปก่อน…
อย่างไรเสียสตรีนางนี้ก็ต้องตรอมใจจนป่วยตาย ต่อให้ถึงตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการสืบหาความจริงก็ไม่มีทางสืบไปถึงตระกูลซูของเขาแน่
เดิมทีแผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ 2 วันก่อนที่ฉู่หลิงซิ่วใกล้ตาย ซูหลินดันเจอฉู่ฉีเฟิงระหว่างทางกลับวังโดยบังเอิญพอดี
ฉู่ฉีเฟิงเตือนเขาอย่างคลุมเครือ 2-3 ประโยค ทีแรกเขาก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของฉู่ฉีเฟิงทั้งหมด แต่ถือว่ากันไว้ก่อนจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงที่ไว้ใจได้ไปตรวจและพบร่องรอยผู้ก่อเหตุอย่างที่คาดไว้
ซูหลินตกใจจนเหงื่อเย็นไหลทั้งตัวทันที และพอดูตามหลักฐานที่พบแล้วก็อยากจะลากตัวซูหว่านมาสั่งสอนเองสักที
ด้วยเหตุนี้น้องชายและน้องสาวทั้งสองคนเจอกันก็เหมือนเจอศัตรู เห็นฝ่ายตรงข้ามขัดหูขัดตาไปเสียหมด
แผนร้ายของฉู่ฉีเหยียนคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง แต่เขากลับยังไม่ถอดใจ เวลาที่เจอพี่น้องของฉู่สวินหยางก็ทำตัวปกติ ไม่แสดงท่าทางเคียดแค้นหรืออาฆาตแม้แต่น้อย
ฉู่สวินหยางหันมามองใบหน้าด้านข้างของเขาที่รู้เรื่องดีทุกอย่างแต่สีหน้ากลับไม่ยินดียินร้ายอย่างสนใจ และยังเน้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตามที่ข้ารู้มา ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีการเปลี่ยนตัวให้คนในตระกูลซูรับผิดชอบดูแลยาของชายาซื่อจื่อโดยเฉพาะด้วยนี่!”
ขณะนั้นนัยน์ตาที่ทอดมองอย่างนิ่งเฉยราวกับซ่อนความนัยบางอย่างไว้ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหันกลับไปมองนางจนได้
“แน่นอนว่าซูหว่านก็เป็นคนจัดการเรื่องนางในคนใหม่ด้วย!” ฉู่สวินหยางกล่าวพร้อมกับสบตาเขาโดยตรง “ถึงซูหว่านเป็นคนทำเรื่องนี้ทั้งหมด ต่อให้หลังจากนี้จะมีคนสืบหาความจริง คนของตระกูลซูที่มีส่วนพัวพันก็ต้องรับผิดชอบเอง เพียงแต่ว่าท่านหญิงซูเกี่ยวพันกับเรื่องนี้… อย่างลึกซึ้งมากจริงๆ!”
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับข้าล่ะก็ บอกเลยว่าไม่จำเป็นสักนิด!”
“ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้าเอาไว้สักเล็กน้อย! ซื่อจื่อวางหมากเอาไว้ตั้งมากมาย คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผยจุดอ่อนและปิดช่องโหว่ได้ และนั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่” ฉู่สวินหยางเอ่ย มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ย
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนเดินกลับไปแล้ว แต่พอได้ยินที่คำพูดเหล่านั้นก็เกิดลังเลขึ้นมาจึงหยุดเดินทันใด
เขาหันกลับมาแล้วทอดสายตามองฉู่สวินหยางอย่างท้าทาย และถามกลับว่า “แล้วเหยียนหลิงจวินเล่า? เขาถือว่าเป็นจุดอ่อนและช่องโหว่ของเจ้าหรือไม่?”
ถึงแม้อาการป่วยของฉู่หลิงซิ่วจะไม่ดีขึ้น แต่ไม่ว่าซูหว่านจะทำร้ายยังไงก็ตามกลับไม่ได้ทำให้อาการป่วยทรุดลงอีกเลยเช่นกัน
ระหว่างซูหลินกับเหยียนหลิงจวินมีความบาดหมางกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญเขาไปตรวจที่จวนอ๋องฉางซุ่น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้…
ทั้งสำนักหมอหลวงตกอยู่ใต้อำนาจของเหยียนหลิงจวิน จะมีหมอคนไหนหนีการควบคุมของเขาไปได้?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่ฉู่หลิงซิ่วสามารถอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ต้องเป็นฝีมือของคนคนนี้แน่นอน!
น้ำเสียงของฉู่ฉีเหยียนไม่ดีนัก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของฉู่สวินหยาง
นางเอียงศีรษะไปเผยใบหน้าให้เขาเห็นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากเจ้ามีฝีมือก็ลากตัวเขาออกมาให้ได้ก็พอแล้ว ข้าจะตั้งตาคอย”
ฉู่ฉีเหยียนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ความอึดอัดคับข้องใจอัดแน่นอยู่เต็มอก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าการปรากฏตัวของเหยียนหลิงจวินพอเหมาะพอเจาะเกินไป และต่างรู้สึกว่าคนๆ นี้ลึกลับจนยากจะคาดเดา เบื้องหลังต้องมีไพ่ตายที่ไม่ให้ใครรู้อีกแน่ แต่สืบสวนไปก็ไม่ได้เบาะแสอันใด
ฉู่สวินหยางพูดมาแบบนี้แสดงว่ามีที่พึ่งพิงจึงไร้ซึ่งความหวาดกลัว เห็นทีว่าเรื่องคราวนี้เขาคงยื่นมือไปช่วยไม่ได้แน่
“อย่างที่เจ้าว่ามา ยังไงหมาจิ้งจอกก็ต้องโผล่หางออกมาสักวัน เช่นนั้นพวกเราคอยดูแล้วกัน!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว แม้สีหน้าจะแสดงออกอย่างเย็นชา แต่กลับมีรอยยิ้มนิ่งขรึมปรากฏออกมา
เขามองฉู่สวินหยางเพียงครั้งเดียว แล้วเลิกชายเสื้อขึ้นและหันตัวเดินกลับเข้าตำหนักไป
ฉู่สวินหยางยังคงยืนอยู่ตรงกำแพงอีกด้านที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แสงบริเวณนี้ค่อนข้างมืดสลัว ทำให้กว่าครึ่งใบหน้าของนางซ่อนอยู่ในเงาของกำแพงจึงมองเห็นไม่ชัดนัก
จนกระทั่งเงาของฉู่ฉีเหยียนออกห่างไปไกลแล้ว จึงมีคนรูปร่างเตี้ยเดินฝ่าดอกไม้ที่บานสะพรั่งออกมาจากหลังดงต้นเหมยที่อยู่ตรงหน้าฉู่สวินหยางพอดี
ฉู่สวินหยางยังคงยืนอยู่บนระเบียงทางเดินนั้นไม่ขยับเขยื้อน
เหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้จะปีนรั้วขึ้นไป เพียงแค่ยืนอยู่ในแปลงดอกไม้ด้านล่างเท่านั้น แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองนางเล็กน้อย สีหน้าครุ่นคิดบางอย่างแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร? ได้อะไรบ้างหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้ยังไง?” ฉู่สวินหยางส่ายหัว น้ำเสียงเจือความผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าข้าหาเบาะแสเจอง่ายขนาดนั้น เขาก็คงไม่ใช่ฉู่ฉีเหยียนแล้ว!”
เหยียนหลิงจวินหัวเราะและเอ่ยปลอบใจว่า “เช่นนั้นก็คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว วางใจเถอะ ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น วันนี้เขาก็คงไม่มีกะจิตกะใจมาจัดการท่านหญิงแล้ว!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าแล้วยิ้ม “งั้นคงต้องรบกวนคนมีความสามารถอย่างใต้เท้าเหยียนหลิงให้ลงมือแล้ว”
เหยียนหลิงจวินเห็นนางยังมีอารมณ์หยอกล้อได้ก็เบาใจ เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งกำลังจะพูดบางอย่างก็เห็นคนเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเฟิงนั่นเอง
เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย หยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น และกล่าวอย่างจำใจว่า “ข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าและไม่ได้รั้งเขาไว้ พอเห็นเขาหมุนตัวจากไป พลันนึกถึงคำพูดของฉู่ฉีเหยียนเมื่อครู่ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เหยียนหลิง!” โดยลืมสนใจเสียงฝีเท้าของฉู่ฉีเฟิงที่กำลังเข้ามาใกล้ทางด้านหลังไปชั่วขณะ ฉู่สวินหยางก็ตะโกนเรียกเขาขึ้นมา
เหยียนหลิงจวินหยุดอยู่กับที่ แล้วหันมามองด้วยแววตาสงสัย
ฉู่สวินหยางมองไปที่เขา สีหน้าคล้ายกำลังลังเลอย่างหนักอยู่ชั่วอึดใจ ถึงจะกล่าวออกมาว่า “เจ้า…ระวังตัวด้วย!”
เหยียนหลิงจวินอึ้งไปแล้วก็มีรอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากตามมา “ขอรับ งั้นอีกสักครู่พวกเราค่อยเจอกันในงานเลี้ยง!”
ฉู่สวินหยางก็ยิ้มตามไปด้วยและมองส่งเขาจากไป
เพียงชั่วพริบตาฉู่ฉีเฟิงก็เดินมาจากด้านหลัง สายตาเหลือบมองตามเงาคนไกลตรงนั้นอย่างมีเลศนัย แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“มายืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?” ฉู่ฉีเฟิงถามและตบลงบนบ่าของฉู่สวินหยางเบาๆ “ต้องไปฝ่ายหน้าแล้ว อีกหนึ่งเค่อ[1]งานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางหันกลับมายิ้มให้เขา “ไปกันเถอะ!”
พี่ชายและน้องสาวเดินกลับไป แต่ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกรอบ สถานที่ๆ คนนั้นเคยยืนอยู่เมื่อครู่เหลือเพียงความงดงามของเงาดอกไม้ใต้แสงแดดเท่านั้น
ผู้คนต่างมุ่งหน้าไปตำหนักเจาเต๋อที่อยู่ข้างหน้า ขณะนั้นรถม้าของฮ่องเต้และเหล่าสนมแห่งวังหลังยังไม่เสด็จ ทุกคนต่างทยอยเข้าสู่งานเลี้ยงตามการชี้นำของนางในและขันที
จนกระทั่งจัดการที่นั่งด้านนี้ค่อนข้างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียงขันทีด้านนอกประกาศว่า “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”
ทุกคนที่เพิ่งนั่งลงรีบลุกขึ้นในทันใด และต่างคุกเข่ารอรับเสด็จอยู่ข้างเก้าอี้ตนเอง
ส่วนเหล่าองค์ชายที่นำโดยฉู่อี้อันนั้นได้ออกไปรับเสด็จตั้งแต่นอกตำหนัก หลังจากแสดงความเคารพแล้วก็เชิญฮ่องเต้เข้ามา
ฮ่องเต้ประทับเป็นองค์ประธานอยู่บนบัลลังก์สูงในห้องอุ่นด้านในสุด ส่วนสนมอื่นๆ ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงก็นั่งเรียงตามลำดับยศศักดิ์
————————————————————————
[1] 1 หนึ่งเค่อ = 15 นาที