สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 83 ลอบสังหาร (2)
ตำแหน่งสี่ชายาเอกแห่งวังหลังของฮ่องเต้นั้นครบแล้ว แน่นอนว่าผู้เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดต้องเป็นคนที่เพิ่งเข้าวังมาเช่นทั่วป๋าหรงเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างนั้นฮ่องเต้ก็ทรงเคารพกฎของฝ่ายในมาโดยตลอด ไม่เคยเลื่อนขั้นให้ใครเป็นพิเศษเพราะโปรดปรานมากกว่าผู้อื่น เช่น ตำแหน่งแรกทางซ้ายมือของเขายังคงต้องยกให้ฉีเต๋อเฟย1ที่มีฐานะรองจากฮองเฮาเพียงเท่านั้น
ทั่วป๋าหรงเหยาจึงทำได้แค่ยอมรับตำแหน่งสนมขั้นที่สามเท่านั้น
การจัดงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีเก่าในราชสำนักเป็นขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ แท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ ทุกอย่างเพียงแค่จัดไปตามประเพณีอย่างที่เคยทำกันมา ท่านหญิงทุกคนต่างเข้าร่วมงานและรับคำอวยพรจากฮ่องเต้ จากนั้นจึงเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ
ทุกคนในงานเลี้ยงต่างรับประทานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าไม่กี่จานไปตามหน้าที่ เพียงแค่ตอนที่ฮ่องเต้ตรัสถึงเรื่องใดขึ้นมา เหล่าขุนนางและท่านหญิงที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงก็จะเออออตามไปด้วยและกล่าวคำที่เป็นสิริมงคล อันที่จริงงานเลี้ยงที่หรูหราตระการตานี้ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่ให้คนมาสรรเสริญเยินยอเท่านั้น
ทุกคนต่างใช้เวลาร่วมกันในงานอย่างเพลิดเพลิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะในห้องอุ่นด้านในสุด ฮ่องเต้ราวกับอารมณ์ดีไม่น้อย บางครั้งยังได้ยินเสียงทรงพระสรวล ขุนนางที่รายล้อมจึงได้ผ่อนคลายไปด้วย
งานเลี้ยงดำเนินไปได้ราวครึ่งทาง พอหลัวฮองเฮาเตือนฮ่องเต้จึงทรงนึกขึ้นได้และโบกพระหัตถ์เรียก “ให้นางรำ…”
ทว่ายังพูดไม่ทันจบ เต๋อเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ยกสองมือขึ้นปิดปากไว้ แล้วลุกออกจากที่นั่งและร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
เสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนั้นดึงดูดสายตาทุกคู่จากทั่วทั้งงานให้หันเหความสนใจไปที่ห้องนั้นโดยทันที
หลัวฮองเฮาได้ยินเต๋อเฟยร้องเสียงดัง คราแรกตั้งใจว่าจะต่อว่า แต่สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหน้าดำคร่ำเครียดในชั่วพริบตา เต๋อเฟยชี้ไปที่มือขวาที่ยังไม่ได้วางลงของฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัว ละล่ำละลักเอ่ยว่า “ฝ่า…ฝ่าบาท พระหัตถ์ของพระองค์…”
ฮ่องเต้ถึงได้หันไปมองมือของตนเอง
ทันทีที่ตั้งสติได้เต๋อเฟยก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น รีบคว้าแขนของฮ่องเต้มาแล้วดึงแขนเสื้อขึ้นให้พ้นข้อศอกทันที
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ผิวกายหย่อนยาน มีรอยกระมากมาย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นด้านในแขนของพระองค์ก็ยังปรากฏเส้นเลือดสีคล้ำอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เส้นเลือดที่ข้อมือขึ้นไปถึงด้านในข้อศอก ขณะนั้นราวกับมีบรรยากาศอึมครึมแผ่กระจายออกมาจากมือขวาของพระองค์อย่างเบาบาง
“เอ่อ…” หลัวฮองเฮาตกใจจนหน้าซีด เกือบจะตะโกนออกมาเช่นเดียวกันแล้ว แต่ดีที่พระองค์คุ้นชินกับงานใหญ่โตแบบนี้จึงรีบยับยั้งอารมณ์ทันที เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกจนเกิดความวุ่นวาย
1 เต๋อเฟย 1 ใน 4 ตำแหน่งชายาเอกของฮ่องเต้ที่มีฐานะรองจากฮองเฮา ประกอบด้วย กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย
พอเห็นฮ่องเต้เป็นเช่นนั้นทั้งฝ่ายในก็เกิดความโกลาหลขึ้นในชั่วพริบตา แต่คนอย่างเต๋อเฟยกลับไม่ได้หวาดวิตกมากขนาดนั้น
หลิวเฟยเป็นคนแรกที่ร้องตะโกนจนเสียงหาย “ยาพิษ! เหมือนถูกพิษเลย! เข้ามา เร็วเข้า! หมอเซวียน!”
เพียงประโยคนี้หลุดออกไป ด้านล่างก็เกิดความวุ่นวายดังที่คาดไว้
หลัวฮองเฮาอยากจะควบคุมสถานการณ์แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ตำหนิเสียงเย็นเยียบว่า “ต่อหน้าพระพักตร์ ส่งเสียงหนวกหูอะไรกัน?”
พูดไปก็ประคองฮ่องเต้ไปด้วยความกังวลใจ แล้วตรัสว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะประคองไปให้หมอฉวนตรวจด้านหลังก่อนเพคะ!”
ฮ่องเต้ทอดมองด้วยสายตาลุ่มลึก ทั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่พระองค์กลับไม่ได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แถมยังปัดมือที่ยื่นมาจะช่วยประคองของหลัวฮองเฮาออก แล้วจึงตรัสอย่างเย็นชาว่า “ปิดทางเข้าออกตำหนัก กักตัวคนที่เข้าออกวันนี้ทั้งหมดไว้ก่อน”
ปฏิกิริยาแรกของพระองค์…
กลับเป็นการควบคุมทางเข้าออก ไม่ให้นักฆ่ามีโอกาสหลบหนีไปได้
เพียงตรัสออกมาเพียงประโยคเดียวก็รู้สึกเวียนหัว สีหน้าคล้ายจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นเหยียนหลิงจวินก็รีบพาหมอหลวงกลุ่มใหญ่เข้ามา
สำนักหมอหลวงในทุกวันนี้อยู่ในความดูแลของเขา หมออาวุโสคังทำท่าจะรีบเข้าไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้ คาดว่าคงอยากจะได้ความดีความชอบ
ฉู่สวินหยางมองอยู่ไม่ไกล ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหยียนหลิงจวินยังคงรักษาท่าทีสงบปากสงบคำ เพียงแค่แอบดึงแขนเสื้อเขาไว้แล้วสะบัดไปด้านหลังเบาๆก็ทำให้แทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว กว่าเขาจะทรงตัวได้ เหยียนหลิงจวินก็ไปถึงหน้าพระพักตร์ก่อนแล้ว
เขาไม่ได้จับชีพจรก่อน แต่สอดส่ายสายตาอย่างไว ทันใดนั้นก็หยิบปิ่นปักผมฝังมุกสองอันมาจากนางในข้างๆ
ปิ่นปักผมอันนั้นเล็กนิดเดียว แม้จะไม่งดงามปราณีตเหมือนเข็มที่ใช้ฝังเข็ม แต่ก็ใช้ได้ไม่ต่างกันมากนัก
เขาลงมือไวมาก อันดับแรกปักปลายปิ่นเรียวบางสกัดจุดตรงเส้นเลือดใหญ่ 2 จุดใหญ่บนแขนฮ่องเต้ แล้วใช้หัวแม่มือนวดหว่างคิ้วและขมับครู่หนึ่ง
ปกติเวลาหมอคนอื่นจะวินิจฉัยโรคต้องตรวจชีพจรก่อน เขานั้นอายุยังน้อย เดิมทีนั้นหลัวฮองเฮาเห็นเขาเป็นพวกสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วยวิธีการสกปรก ทีแรกจึงตั้งใจว่าจะตำหนิ แต่หลังจากเขาใช้ฝีมือกดจุดให้ฮ่องเต้ได้อย่างแม่นยำแล้ว อาการตาพร่าของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างกับปาฏิหาริย์ ส่งเสียงต่ำ “อือ” และไม่สลบไปอย่างไม่น่าเชื่อ
“เมื่อครู่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน กระหม่อมล่วงเกินไป ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ” ในที่สุดเหยียนหลิงจวินก็พูดออกมาและหันไปคารวะฮ่องเต้
ฮ่องเต้หรี่ตามองแขนตนเองอีกครั้ง ไม่มีใครดูออกว่าสีหน้าท่าทางของพระองค์สื่อถึงอะไรกันแน่ หลังจากนั้นก็มองไปที่เหยียนหลิงจวินแล้วตรัสถามว่า “ข้าถูกพิษรึ?”
“พะยะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินตอบ โดยระหว่างที่ตอบนั้นไม่ได้มองฮ่องเต้แม้แต่น้อย แต่กวาดสายตาอันเฉียบแหลมมองคนรอบตัวอย่างไว พร้อมกับอธิบายว่า “พิษชนิดนี้ไม่ได้แพร่ผ่านอาหาร ฝ่าบาทน่าจะทรงสัมผัสพิษผ่านพวกภาชนะถ้วยแก้วโดยบังเอิญ ปกติแล้วพิษชนิดนี้กระจายเร็วมาก แต่ดีที่โดนเพียงผิวภายนอกพิษจึงไม่ได้ซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะหากออกฤทธิ์ขึ้นมาจริงๆ จะยื้อเวลาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดังนั้นดูจากอาการถูกพิษของฝ่าบาทในตอนนี้คงอีกสักครู่ ผู้ที่วางยาน่าจะยังอยู่ในตำหนักนี้แน่!”
ระหว่างที่พูดนั้นท่าทางของเขาไร้ซึ่งความเคารพโดยสิ้นเชิง มองซ้ายมองขวาตลอด ไม่ได้สนใจฮ่องเต้แม้สักนิด
ข้างกายนั้นหมอคังที่โดนเขาตัดหน้าคล้ายจะระเบิดโทสะออกมา แต่กลับเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วชี้ไปที่นางในหน้าตาขี้เหร่ที่อยู่หลังทั่วป๋าหรงเหยาแล้วเอ่ยว่า “ค้นตัวนาง!”
เขาเป็นคนทำตามใจตัวเองมาตลอด ทำให้คนมองแล้วไม่รู้สึกว่าน่าเกรงขามสักเท่าไหร่ ต่อให้พูดจาแบบนี้ก็ไม่รู้สึกว่าเกรี้ยวกราดตรงไหน ท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่เมื่อครู่ตกใจว่าฮ่องเต้ถูกวางยาและรวมตัวมาคุ้มกันก็มีคนได้สติไปลากตัวนางในที่มีท่าทีกลัวจนหัวหดคนนั้นออกมา
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” ทั่วป๋าหรงเหยาตกใจจนรีบถามออกมาเสียงดัง
ตัวฮ่องเต้เองนั้นถูกพิษยังจะจัดการคนอื่นยังไงไหว พอได้ยินที่เหยียนหลิงจวินพูดก็ตรัสไปทันทีว่า “ค้น!”
องครักษ์ผลักตัวนางในคนนั้นลงบนพื้นจะถอดเสื้อผ้าของนางออก
นางในผู้นั้นเงยหน้ามองอย่างตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองทุกคนถึงพบว่าใบหน้าของนางเป็นสีคล้ำเหมือนฮ่องเต้ไม่มีผิด เป็นร่องรอยของการถูกพิษชนิดเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
พลันสายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่จุดเดียวในทันใด
เหยียนหลิงจวินยืนสังเกตนางในคนนั้นอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ตลอด สายตาจับจ้องไปที่ของที่นางกำไว้แน่นในมือขวาและชี้นิ้วพูดว่า “ยาถอนพิษอยู่ในมือนาง!”
พอองครักษ์ได้ยินดังนั้นจึงรีบแกะมือของนางทันที
นางในคนนั้นทีแรกเพียงแค่ตื่นตระหนกที่เขามาค้นตัวนางตามใจชอบ ตอนนี้กลับดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง
แต่เดิมทีนางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอและยังถูกพิษ ไหนเลยจะมีแรงสู้องครักษ์ที่ร่างกายแข็งแรงได้?
องครักษ์นายนั้นแย่งยาเม็ดสีน้ำเงินเข้มมาจากมือนางได้อย่างง่ายดาย และส่งไปให้เหยียนหลิงจวินตรวจดูก่อนอย่างสงสัยใคร่รู้
หลังจากนั้นทั้งหน้าของนางในคนนั้นก็ยิ่งดำคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน นอนมือเท้าเกร็งอยู่บนพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่กลับมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังออกมาจากลำคอ ทั้งที่ไม่มีแม้แต่เสียงจะร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้ทอดมองผ่านไปและสั่งหมอหลวงที่มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ว่า “ยังไม่ไปดูอีก?”
ถ้าหากคนนี้เป็นผู้ลงมือ เช่นนั้นก็ต้องเก็บไว้เป็นพยาน
แต่ดูจากรูปการณ์ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
ด้านหนึ่งเหยียนหลิงจวินทดสอบตัวยาอย่างรวดเร็วและสั่งให้คนไปเตรียมน้ำมาให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้นั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนขี้ระแวง แต่ครั้งนี้กลับกลืนยาตามน้ำที่หลี่รุ่ยเสียงยกมาไปทันที โดยลืมให้คนชิมยาก่อนเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้น่าจะเพราะทรงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายจึงพยายามทุกวิธีทางที่จะเอาชีวิตรอดไปได้
พระองค์หลับตาลงผ่อนคลายครู่หนึ่ง ทางด้านหมอคังคุกเข่ารายงานอย่างตื่นตระหนกว่า “ฝ่าบาท นางในคนนี้ตายด้วยยาพิษแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
เหยียนหลิงจวินยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปดูศพของนางในคนนั้นและกล่าวว่า “ตอนถวายยาพิษให้ถึงมือฝ่าบาทน่าจะไม่ทันระวังจึงโดนพิษไปด้วย พิษชนิดนี้ร้ายแรงนัก ถ้าไม่รักษาก็อาจถึงตายได้อย่างที่คิดไว้ ไม่ได้เป็นความผิดของหมอคังหรือผู้ใดหรอกพะยะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย”
——————————————————————