สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 83 ลอบสังหาร (3)
ตอนนั้นเองทั่วป๋าหรงเหยาที่อึ้งไปนานจึงถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าหมายความว่าหรงเอียนวางยาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้งั้นรึ?”
เหยียนหลิงจวินมองสายตาที่จ้องมาอย่างประสงค์ร้ายของนางแล้วยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “พระสนมได้โปรดสงบใจก่อน ข้าน้อยเป็นเพียงหมอที่มีหน้าที่รักษาผู้ป่วยเท่านั้น มิได้รับผิดชอบการสอบสวน”
อยู่ๆ สาวใช้ของทั่วป๋าหรงเหยาก็มาตายอย่างอนาถตรงหน้าจึงกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ความคิดตีกันสับสนวุ่นวายจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีในเวลานี้
พอกล่าวออกไปแล้ว นางอึกอักถามฮ่องเต้อย่างไม่สบายใจว่า “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจ
ทางด้านหลัวฮองเฮาตรัสอย่างรวดเร็วว่า “ของที่ฝ่าบาททรงหยิบจับตรงนี้เมื่อสักครู่ก็มีไม่กี่ชิ้น ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านช่วยตรวจดูให้ละเอียดหน่อย มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่?”
“พะยะค่ะ ฮองเฮา!” เหยียนหลิงจวินรับคำสั่ง แล้วตรวจสอบสิ่งของที่จัดวางอยู่บนโต๊ะหน้าฮ่องเต้ทั้งหมด ท้ายที่สุดเหลือเพียงจานผลไม้มรกตแล้วกล่าวว่า “เครื่องเงินที่ใช้เสวยคงลงมือได้ยาก ปัญหาจึงตกอยู่ที่จานผลไม้ใบนี้ คาดว่าฝ่าบาทคงสัมผัสขอบจานที่อาบยาพิษไว้!”
เพียงเท่านั้นทั่วป๋าหรงเหยาก็หน้าซีดเผือดไปทันที และตะโกนเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้!”
นัยน์ตาของฮองเฮาทอประกายดุดันแล้วเอ่ยว่า “เพราะหรงเฟยชอบกินลิ้นจี่มาก ฝ่าบาทจึงทรงให้สาวใช้ของนางนำไปแบ่งให้นางครึ่งหนึ่ง!”
ตรัสมาได้เพียงครึ่งเดียวก็เบี่ยงประเด็นไปชี้หน้าทั่วป๋าหรงเหยาว่า “หรงเฟย เจ้ากล้ามาก กล้าสั่งให้คนของเจ้าวางยาฝ่าบาท!”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำนะเพคะ!” ทั่วป๋าหรงเหยาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่รุ่ยเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้เดินถือแส้หางม้าออกไปตรวจดูมือทั้งสองข้างของหรงเอียนที่บวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด ด้วยถูกพิษร้ายแรงจนแทบจะแตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
“ฝ่าบาท” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย “ถ้าหากกระหม่อมเดาไม่ผิด นางในคนนี้คงทายาพิษไว้ที่มือตนเอง แล้วพยายามทุกวิถีทางทายาพิษที่เครื่องใช้ใกล้พระหัตถ์ฝ่าบาทให้ได้ หลังจากนั้นใต้เท้าเหยียนหลิงมาพบได้ทันเวลา ทำให้นางไม่สามารถกินยาถอนพิษได้ทันจนตายในที่สุด”
ของที่ห้องเครื่องส่งมาทั้งหมดนั้นต้องผ่านการตรวจสอบนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าอยากวางยาก็คงไม่ง่ายนัก และงานเลี้ยงในตำหนักนี้ก็มีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย หากมีใครสักคนทำอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยจะดึงความสนใจจากคนอื่นได้ง่ายมาก ดังนั้นการวางยาลงในอาหารและใช้อาวุธลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งจึงทำได้ยาก
ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ใช้สองมือของตนเองสัมผัสพิษโดยตรง ถือว่ารนหาที่ตายแท้ๆ
สีหน้าของฮ่องเต้กลับเย็นชาและไร้ซึ่งโทสะ แต่ทว่าราวกับมีเมฆหมอกบดบังสายตาคู่นั้น เพียงทอดมองมาทั่วป๋าหรงเหยาก็สั่นไปทั้งตัว
“หรงเฟย อธิบายมา!” ฮ่องเต้ตรัสเพียงเท่านั้น
ทั่วป๋าหรงเฟยเบิกตาโตและตอบไปอย่างหวาดหวั่นว่า “ฝ่าบาท พระองค์ก็สงสัยหม่อมฉันเหมือนกันงั้นรึเพคะ? หม่อมฉัน…”
“นางเป็นสาวใช้ของเจ้า!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชาทุกถ้อยคำ
ทั่วป๋าหรงเฟยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว สมองตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหัวอย่างร้อนรนแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ได้ทำ ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเรื่องมันเป็นมายังไง หม่อมฉัน…”
“เจ้าไม่ได้ทำ? งั้นใครทำ?” ฮ่องเต้ตรัสแทรกเสียงเย็น ไม่รู้ว่าคิดอะไรจึงทอดมองด้านล่าง
จิตใจของเหล่าขุนนางและท่านหญิงที่หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรด้านล่างพร้อมใจกันหนาวสะท้าน
ในที่สุดสายตาของฮ่องเต้กลับไปหยุดอยู่ที่พี่น้องทั่วป๋าไหวอัน
มุมปากของพระองค์ยกยิ้ม แต่กลับแสดงอารมณ์ขัดกับรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง เพียงตรัสอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นพี่ชายของนาง นางอธิบายไม่ได้ งั้นเจ้าพูดมา! ดูสิ่งที่คนโม่เป่ยอย่างเจ้าทำลงไป นางบอกว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจะเป็นฝีมือเจ้างั้นรึ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย!” ทั่วป๋าไหวอันหน้าเขียว รีบคุกเข่าลงกลางตำหนักทันที
ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลุกออกมาคุกเข่าอยู่ข้างเขาอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
ทั่วป๋าไหวอันกระวนกระวายใจเพราะคำถามของฮ่องเต้ แต่เทียบกับทั่วป๋าหรงเหยาแล้ว สถานการณ์ของเขายังถือว่าดีกว่ามาก ดังนั้นจึงรีบตั้งสติแล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “กระหม่อมมาด้วยพระบรมราชโองการของราชาแห่งโม่เป่ย มาพร้อมด้วยความจริงใจที่อยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับฝ่าบาทอย่างมากล้น อีกทั้งยังได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากฝ่าบาท กระหม่อมซาบซึ้งยิ่งนัก ไม่มีทางที่จะทำเรื่องทรยศเช่นนี้เด็ดขาด ขอฝ่าบาทโปรดสอบสวนโดยละเอียดและให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพะยะค่ะ”
“ความเป็นธรรม!” ฮ่องเต้ยิ้มเย็นยะเยือก “แขกผู้มาเยือนจากโม่เป่ยอย่างเจ้ากล้าลงมือลอบสังหารข้าอย่างโจ่งแจ้งในงานเลี้ยงราชสำนักท่ามกลางคนมากมายในวันแบบนี้ เจ้ายังกล้ามาขอความเป็นธรรมจากข้าอีกรึ?”
“เอ่อ…” ทั่วป๋าไหวอันร้อนใจ
คนใกล้ชิดรอบกายทั่วป๋าหรงเหยาหลายคนไม่เพียงเป็นคนที่พามาจากโม่เป่ยเท่านั้น แต่ทุกคนยังเป็นคนเก่าแก่ที่ติดตามรับใช้นางมาหลายปี เวลานี้มีคนลงมือกับฮ่องเต้ในงานเลี้ยงอย่างโจ่งแจ้ง ความจริงข้อนี้ยากที่จะอธิบายอย่างชัดเจนจนพ้นข้อกล่าวหาได้
“ฝ่าบาท แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ที่นี่ผู้คนมากมาย ก็ไม่แน่ว่าหรงเอียนอาจจะโดนซื้อตัวและใช้เป็นเครื่องมือไปแล้วก็เป็นได้พะยะค่ะ” ทั่วป๋าไหวอันตั้งสติตอบไป
“ซื้อตัว?” ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก ซูหลินเหน็บแนมว่า “ทั่วป๋าไหวอัน ข้าว่าที่เจ้าพูดแบบนี้เพราะคนตายไปแล้วยังไงก็ฟื้นมาให้การไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจะใส่ร้ายหรือบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ได้!”
ทุกวันนี้เขาเกลียดฉู่หลิงอวิ้นเข้ากระดูกดำ พอลองคิดดูอีกที ถ้าทั่วป๋าไหวอันไม่เข้ามาวุ่นวายตั้งแต่แรกล่ะก็ เขาคงไม่โดนบังคับให้ขอแต่งงานกับจวนอ๋องหนานเหอต่อหน้าธารกำนัล จนเกิดจนเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ขึ้นมาได้
ครั้งนี้ทั่วป๋าไหวอันเข้าไปพัวพันกับแผนการลอบปลงพระชนม์ เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม
ทั่วป๋าไหวอันรู้ดีว่าเขาไร้มารยาท แต่สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะตอบโต้ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเลิกชายเสื้อขึ้นและคารวะฮ่องเต้อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ตามที่ซื่อจื่ออ๋องฉางซุ่นกล่าวมา เรื่องในวันนี้คนตายไปแล้วก็พูดอะไรไม่ได้ นางคนนี้มาจากราชสำนักโม่เป่ย เรื่องนี้กระหม่อมปฏิเสธไม่ได้ แต่ไม่ควรให้เรื่องนี้กระทบความสัมพันธ์จนทำลายความปรารถนาดีที่ราชาของกระหม่อมมีต่อพระองค์ ฝ่าบาทเป็นผู้มีปรีชาสามารถ ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดด้วยพะยะค่ะ ยังไงความจริงก็ต้องปรากฏ หาตัวฆาตกรที่แท้จริง ล้างมลทินให้กระหม่อมและชาวโม่เป่ยด้วยพะยะค่ะ”
“ในเมื่อองค์ชายห้าพูดมาเช่นนี้ และที่นี่ก็เป็นสถานที่สำคัญของฝ่ายในราชสำนักซีเยว่ของข้า สิบกว่าปีมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้มาก่อน แต่หลังจากที่ชาวโม่เป่ยถวายตัวเข้าวังก็เกิดเหตุใหญ่โตเช่นลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง…” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉื่อยชาราวกับพูดลอยๆ แต่กระแสเสียงกลับไม่ได้มีความหวังดีแม้แต่น้อย
คนที่พูดคือ ฉู่อี้เจี่ยน
ถ้าจะเทียบเรื่องความเด็ดขาดและเข้มงวดกับคนอื่นแล้ว เขากลับเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งเครียด
ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายเจี่ยนผู้นี้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับขาจึงไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานาน มีนิสัยเอาแต่ใจตน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่ตนเองพูดนั้นจะมีปัญหาตรงไหน
คำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้ทำให้ทั่วป๋าไหวอันรู้สึกหวั่นเกรงอย่างรุนแรงในทันที…
และเพราะคำพูดที่คล้ายซ่อนยาพิษไว้นี้ทำให้ทุกอย่างพุ่งเป้ากลับไปที่ทั่วป๋าหรงเหยาอีกครั้ง
ทั่วป๋าหรงเหยารับได้แค่ไหน เขารู้ดีแก่ใจ ถ้าคนพวกนี้พุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว เขายังพอรับมือได้บ้าง…
แต่ทั่วป๋าหรงเหยานั้นไม่แน่
ฉู่อี้เจี่ยนยังพูดไม่จบ องค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงรีบเอ่ยปากต่อทันทีว่า “อย่างนี้เรียกว่าอะไรนะ? คนต่างถิ่นไว้ใจไม่ได้! คนรอบตัวเสด็จพ่ออยากเข้าใกล้ยังทำได้ยาก และหลายปีมานี้ก็อยู่อย่างสงบสุขกันมาตลอด ตอนนี้มีมือสังหารโผล่ที่ตำหนักของหรงเฟย ทั้งยังเป็นคนที่เจ้าพามาจากโม่เป่ย เจ้ากลับพูดอยู่คำเดียวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทางโม่เป่ยงั้นรึ? ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับโม่เป่ย งั้นจะเป็นฝีมือใครได้อีกเล่า? นอกจากคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าแล้ว ใครจะมีแรงจูงใจก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก?”
ไม่เหมือนกับฉู่อี้เจี่ยนที่พูดจาอ้อมค้อม เขาคนนี้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย
คนอื่นฟังแล้วทำเพียงแค่มองแต่ไม่พูดอะไรสักคำ…
โจวกุ้ยเฟยมารดาของฉู่อี้ชิงถูกถอดยศก็เพราะหรงเฟย เขาจะแค้นใจก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“แค่เพราะข้าเป็นคนต่างถิ่น พวกเจ้าก็เชื่อสนิทใจว่าข้าจะทำร้ายฝ่าบาทงั้นรึ?” ทั่วป๋าหรงเหยาอดรนทนไม่ไหวจนโต้แย้งเสียงดัง
“ไม่มีใครบอกว่าเจ้าทำ!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์
ถึงเขาจะมีนิสัยร้ายลึกอยู่บ้าง แต่เวลาปกติที่ไม่ฉุนเฉียวก็มี อย่างวันนี้ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างโจ่งแจ้ง ตัวพระองค์เองก็เดือดดาลมากพออยู่แล้ว ตรัสเพียงแค่ประโยคเดียว ถึงแม้ไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงใจสั่นโดยพร้อมเพรียง
ทว่าเทียบกับเมื่อครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่พระองค์มีต่อทั่วป๋าหรงเหยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
…………………………………………………………….