สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 84(2)
“ทั่วป๋าไหวอัน เจ้าบังอาจมาก!” ซูหลินเป็นคนแรกที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนตบโต๊ะลุกขึ้นมา “ฝ่าบาทของข้าเป็นผู้มีปรีชาสามารถจะทำพฤติกรรมชั้นต่ำแบบนั้นได้อย่างไร? เจ้ากล้าจาบจ้วงในงานเลี้ยงราชสำนัก ข้าว่ามันก็ชัดเจนแล้วว่าโม่เป่ยแอบคิดคดและมีเจตนาเอาใจออกห่างตั้งนานแล้ว!”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็แล้วแต่ว่าเจ้าจะคิดยังไง!” ทั่วป๋าไหวอันเผชิญหน้าและไม่สนใจคำครหาของเขาโดยสิ้นเชิง ยิ้มเยาะว่า “ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเขตของพวกเจ้าชาวซีเยว่ ข้าก็อยู่ที่นี่ จะฆ่าจะแกงก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า!”
“เจ้ามันบ้าระห่ำมาก!” ฉู่อี้อันก็ทนไม่ไหวจนโมโหขึ้นมาเหมือนกัน
ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ข้างๆ คิ้วกระตุก กำลังชั่งใจว่าควรหรือไม่ควรก้าวออกมา ก็เห็นหลี่หลินเดินหน้าซีดเข้ามาจากประตูด้านข้างบานนั้น
ฉู่ฉีเหยียนเลิกสนใจทั่วป๋าไหวอันไปชั่วขณะ รอแค่หลี่หลินเดินมา ทว่าพอกวาดสายตาไปจึงเห็นว่าระหว่างนิ้วมือนั้นอาบไปด้วยสีแดงของเลือดซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขา
“ใช้ดาบรึ?” ฉู่ฉีเหยียนกดเสียงต่ำลงถาม นัยน์ตาทอประกายความโหดเหี้ยมอย่างเบาบาง แตกต่างจากสีหน้าที่อดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านตอนนี้โดยสิ้นเชิง
“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เจี่ยงลิ่วรับมือยากเกินไป นางคนนั้นออกจากวังไปแล้วขอรับ” หลี่หลินกล่าวอย่างละอายใจ “ไม่รู้ว่าคนด้านนอกจะขวางนางไว้ได้หรือไม่!”
“คงยากแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนตอบเสียงเย็น
เขาอุตส่าห์เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จัดเตรียมให้คนเฝ้าอยู่นอกประตูวังแต่ละด้านตลอดเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงก็เตรียมพร้อมมาเหมือนกัน ข้ามฉู่สวินหยางไปก่อน แค่เจ้าฉู่ฉีเฟิงจอมสอดรู้สอดเห็นไปซะทุกอย่างนั่น ถ้าหากเขาไม่ได้จัดการล่ะก็…
นั่นถึงจะเรียกว่าแปลก!
“ช่างเถอะ!” ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว ฉู่ฉีเหยียนตัดสินใจได้แล้ว “ไปจัดการบาดแผลให้เรียบร้อยก่อน อย่าให้ใครเห็น!”
ในวังเข้มงวดเรื่องการพกพาอาวุธเข้าออก ถึงแม้ตอนนี้เจี่ยงลิ่วจะเป็นคนลงมือ แต่ถ้าต้องสู้กันจริงๆ ฉู่ฉีเฟิงต้องกัดเขาไม่ปล่อยแน่ ถึงตอนนั้นเขาคงได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะเป็นช่วงที่ผู้คนแต่ละฝ่ายในตำหนักกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดพอดี การกระทำลับๆ ล่อๆ ของเขาในมุมนี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครเท่าไหร่
หลี่หลินปิดบังอาการบาดเจ็บที่ข้อมือและถอยออกไปอย่างไร้เสียง
ฉู่ฉีเหยียนราวกับกำลังคิดบางอย่าง สายตามองข้ามทั้งท้องพระโรง ก่อนจะกลับมาหยุดที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งฉู่สวินหยางกำลังก้มหน้าดื่มชาหน้าตาเฉยอีกครั้ง
สีหน้าของหญิงสาวสงบนิ่ง ท่าทางราวกับไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เพียงแค่ชายตามองเหยียนหลิงจวินที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในห้องอุ่นจากมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเป็นบางครั้ง
ราวกับนางไม่ได้ตั้งใจเข้าไปยุ่งกับเรื่องคืนนี้ แต่นางส่งชิงหลัวออกไปนอกวังด้วยเหตุใดกัน? ถ้าแค่เพื่อกู้หน้าให้เหยียนหลิงจวิน แทนที่เขาจะวางใจลงบ้าง กลัวแต่ว่า…
ในใจฉู่ฉีเหยียนมีความไม่สบายใจอยู่เลือนราง แต่เขากลับไม่ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับความไม่สบายใจนั้นนานนัก สงบสติอารมณ์ได้ในชั่วพริบตา จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้นมา เข้าไปตบบ่าปลอบทั่วป๋าไหวอันว่า “องค์ชายห้า ท่านร้อนใจเรื่องความปลอดภัยของพระสนมหรงเฟยก็มีเหตุผล ดังนั้นจะเข้าใจผิดไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจะปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ ทำลายมิตรภาพที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากของเราทั้งคู่ จะไม่น่าเสียดายรึ?”
แต่ทั่วป๋าไหวอันกลับหัวเราะเยาะอย่างไม่ไยดี และสะบัดไหล่หลุดจากมือเขา
ฉู่ฉีเหยียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมว่า “ตอนนี้พระสนมหรงเฟยจะเป็นหรือตายยังไม่รู้แน่ชัด ท่านก็จะพานางไปเช่นนี้ จะไม่เป็นการใส่ความฝ่าบาทโดยมิชอบรึ? สถานการณ์เมื่อครู่สับสนอลหม่าน ทุกคนต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท ดังนั้นจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงคำพูดที่รุนแรงเกินไปได้ ขอท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”
เขาพูดไปก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ภายนอกเหมือนไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ที่จริงแล้วแอบใช้แรงตบบ่าทั่วป๋าไหวอัน
สายตาทั่วป๋าไหวอันเข้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับในใจนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่กลับลังเลไม่พูดไม่จาไปชั่วครู่
ทางด้านหมอคังเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครุ่นคิดไปพร้อมกับชำเลืองมองปฏิกิริยาของฮ่องเต้เป็นระยะ แต่กลับเห็นสีหน้าฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและรำคาญใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกใจสั่น พลันนึกขึ้นได้…
ฮ่องเต้เงียบกับเรื่องนี้มาได้พักใหญ่แล้ว
หัวใจหมอคังกระตุกไปทีหนึ่ง แล้วรีบกล่าวว่า “กระหม่อมโง่เขลาเบาปัญญา แต่ไม่ได้มีเจตนาจะสงสัยพระสนมหรงเฟยนะพะยะค่ะ พระสนมเป็นคนของฝ่าบาท จะวางแผนทำร้ายฝ่าบาทได้เชียวหรือ? ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านจงใจบิดเบือนคำพูดของข้า ทั้งยังด่วนสรุปแรงจูงใจของพระสนม หรืออยากจะยุแยงให้เราผิดใจกับโม่เป่ยแล้วเกิดสงครามขึ้นอีกงั้นรึ? ”
ตลอด 2-3 เดือนที่พี่น้องทั่วป๋าไหวอันถูกกักตัวอยู่ในเมืองหลวงนี้ ฝ่าบาทก็ปฏิบัติอย่างสมเกียรติแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เห็นได้ชัดว่าทรงอยากจะเจริญสัมพันธไมตรีกับโม่เป่ย
คนทั้งวังเป็นอย่างไร? เวลานี้พลันกระจ่างในทันที…
หากฮ่องเต้อยากจะลงโทษพี่น้องทั่วป๋าไหวอันจริง ก็ไม่น่าจะเงียบและสงวนท่าทีมานานขนาดนี้
ดังนั้น…
หรือฮ่องเต้ก็ไม่อยากให้คนโม่เป่ยมาพัวพันกับเรื่องนี้? หรือเพียงเพราะมือสังหารดันไปโผล่ที่ตำหนักของหรงเฟยจึงไม่อาจเมินเฉยได้?
ในใจของทุกคนตีกันสับสนวุ่นวาย คนที่ตั้งตัวได้เร็วก็พยายามออกหน้าไกล่เกลี่ยปรับความเข้าใจ
ฮ่องเต้หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเหมือนมีเมฆฝนปกคลุม ไม่ได้จับจ้องไปที่ใครเป็นพิเศษ
ที่นี่วุ่นวายไปชั่วขณะ ต่างคนต่างพยายามหาทางรอดให้ทั่วป๋าไหวอันทุกวิถีทาง ใบหน้าทั่วป๋าไหวอันยังไม่ละความโกรธ แต่ถ้าในสถานการณ์แบบนี้หากเขายังไม่ยอมรับความหวังดีของคนอื่นไว้อีกก็เหมือนบังคับให้ตนเองเดินเข้าสู่ทางตันแล้ว ดังนั้นจึงลำบากใจที่ถูกกล่อมให้กลับมานั่งที่เดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าสายตามุ่งร้ายนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันไปรวมอยู่ที่เหยียนหลิงจวินทันที
เพราะต้องหาคนมารับผิดชอบเรื่องในวันนี้ ไม่งั้น…
ก็เหลือแค่โม่เป่ย เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบแน่!
“เหยียนหลิงจวิน เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” หมอคังก็ยังไม่ยอมรามือ ยืดตัวตรงแล้วตวาดถามอย่างเดือดดาล “ยาพิษในมือนางคนนั้น เจ้าเป็นคนให้นางใช่หรือไม่?”
“เจ้าว่ายังไงล่ะ?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ รอยยิ้มที่แสนงดงามนั้นทำให้ถึงแม้เขาจะตกอยู่ท่ามกลางสายตาคุกคามมากมายก็ไม่เหมือนกับกำลังจนมุม
เขามองหมอคังและยังคงยิ้มอย่างสบายใจ “ไม่ต้องพูดถึงว่าข้ามีแรงจูงใจที่จะปองร้ายฝ่าบาทแบบนี้หรือไม่ ก็แค่…หากสาวใช้คนนี้สมคบคิดกับข้าหรือได้รับคำสั่งจากข้าจริง ข้าจะต้องแย่งยาถอนพิษจากมือนางมาช่วยชีวิตฝ่าบาทอีกทำไม? มันไม่ขัดแย้งกันรึ? ข้าจะตัดทางหนีของตนเองงั้นหรือ?”
ทางด้านฮ่องเต้ ถึงแม้เต๋อเฟยจะพบเรื่องถูกพิษเร็วโดยบังเอิญ แต่หากเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เกรงว่าตอนนี้คงกลายเป็นศพแข็งทื่อนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว
หมอคังถูกเขาดักทางไว้ได้ แต่ก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว จึงรีบพูดใหม่ทันทีว่า “นั่นเป็นเพราะคนอื่นรู้แผนร้ายของเจ้าเข้า และเพื่อล้างมลทินให้ตนเอง เจ้าจึงจำเป็นต้องทิ้งแผนเดิมที่วางไว้ แล้วส่งสาวใช้คนนี้ไปตายแทน ส่วนตัวเจ้าเองยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทมากยิ่งขึ้นจากความดีความชอบในครั้งนี้ แล้วต่อไปก็จะหาโอกาสลงมือได้สะดวกขึ้น!”
ฟังที่พูดแล้ว ด้านล่างก็มีคนยิ้มขึ้นมา “ท่านหมอคัง อยู่ที่สำนักหมอหลวงไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่งั้นรึ? คิดได้ละเอียดรอบคอบขนาดนี้ น่าจะลองให้ท่านมาเป็นผู้ว่าการศาลต้าหลี่กับศาลาว่าการพระนคร!”
เป็นที่รู้กันดีว่าถึงแม้สำนักหมอหลวงจะเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่กลับเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้มีอำนาจจริง ถึงแม้จะมีเหยียนหลิงจวินซึ่งเป็นขุนนางระดับ 4[1]เป็นผู้รักษาการแทน แต่ในสายตาของขุนนางที่มีอำนาจหน้าที่จริงเหล่านั้น เขาก็เป็นแค่คนนอก
วันนี้ขุนนางชั้นผู้น้อยระดับ 6 อย่างหมอคังกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกลางท้องพระโรง ก็ถือว่าเสียมารยาทแล้ว
คนที่เอ่ยปากหยอกล้อคือฉู่ฉีเฟิง
เพียงเอ่ยออกไป คนมากมายก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา
หมอคังหน้าแดงไปทั้งหน้า แต่กลับไม่รู้พูดอะไรต่อจึงชะงักไปชั่วครู่ ทำได้เพียงกัดฟันหันกลับไปพูดกับเหยียนหลิงจวินอีกว่า “อย่าหาว่าข้าคิดมากไปเลย เป็นตัวเจ้าเองที่มีเบื้องหลังน่าสงสัย ตอนแรกก็สวามิภักดิ์กับจวนรุ่ยอ๋อง แล้วก็เข้ามาสำนักหมอหลวง คนแบบเจ้าใครจะรับประกันได้ว่าไม่ใช่ไส้ศึกที่ศัตรูส่งมาและจงใจวางแผนร้ายเข้าใกล้ฝ่าบาท?”
ในบันทึกข้อมูลของสำนักหมอหลวง ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะมีประวัติส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์ ทว่าสำหรับสามัญชนคนธรรมดาแบบเขาที่อยู่ดีๆ ก็โดดเด่นขึ้นมา…
คนมากมายต่างก็รู้สึกระแวงและสงสัย ถึงแม้ว่าความสงสัยนี้จะไร้ร่องรอยให้สืบหาอย่างสิ้นเชิงก็ตาม
อันที่จริงหมอคังเหมือนได้พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจทุกคนไปแล้ว
“เหลวไหล!” เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันเสียงลมพัดอื้ออึง ของชิ้นหนึ่งที่น่ายำเกรงราวกับเสือฝ่าแสงอาทิตย์ที่แสบตาจากด้านนอกบินเข้าสู่ตำหนักโดยตรง
——————————————————-
[1] ในสมัยโบราณจีนแบ่งตำแหน่งขุนนางเป็น 9 ระดับ 18 ชั้น โดยขุนนางระดับ 1 ชั้นเอกเป็นขั้นสูงสุดและขุนนางระดับ 9 ชั้นโทเป็นขั้นต่ำสุด